ศพ – ตอนที่ 269 ทรมานให้สารภาพ

ตอนที่ 269 ทรมานให้สารภาพ

 

เมื่อเห็นท่าทางคุกเข่าร้องขอความเมตตาของเฉิงต้าจือเราก็ไม่ได้ทําสีหน้าดีขึ้นแต่อย่างใด

 

ไล่ตามเจ้าหมอนี่ ทําให้เราเสียพลังไปไม่น้อยในที่สุดตอนนี้ก็จับเขาได้แล้วจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่อ่อนให้เขาง่ายๆ 

 

แต่ก่อนหน้านั้น ยังมีสิ่งสําคัญที่ต้องจัดการก่อน

 

ผมจ้องเจิงต้าจือที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หลังจากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “เอาร่างตุ๊กตาสีทองออกมา !”

 

เจิงต้าจอเองก็รู้ดี หากไม่ทําตามที่ผมพูดในเวลานี้เสี้ยววินาทีต่อไปตัวเองอาจจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว

 

เขาจึงไม่กล้าชักช้า รีบเอาหุ่นตุ๊กตาสีทองออกมาจากแขนเสื้อทันที

 

“ ท่าน ท่านนักพรตทั้งสามท่าน นี่ นี่คือร่างทองของผม พวกท่านพวกท่านยกโทษให้ผมเถอะ ! ผม ผมก็ไม่ได้ทําอะไรเลว ”เฉิงต้าคือพยายามอ้อนวอนเพราะกลัวว่าดาบของเราจะเป็นจุดจบของเขา

 

“ ฮี! ยกโทษให้แกงั้นเหรอ ? งั้นก็ต้องดูว่าแกให้ความร่วมมือไหม !” หยางเฉ่วพูดอย่างเย็นชา

 

เจิงต้าจือรีบพยักหน้ารับทันที “ ร่วมมือ ร่วมมือ ไม่ว่าอะไรผมก็ร่วมมือทั้งนั้น !”

 

“ ในเมื่อบอกว่าจะร่วมมืองั้นแกก็ทําลายร่างทองตัวเองซะไม่อย่างงั้นเราจะลงมือลงไม้อีกรอบ ! ”

 

หยางเฉ่วพูดอย่างเย็นชาเหมือนเดิม

 

เพิ่งต้าจ่อเผยสีหน้าขมขื่น และลังเลหน่อยๆ

 

เนื่องจากการมีอยู่ของร่างทอง เขาถึงดมธูปได้ และยังใช้ร่างทองบําเพ็ญสั่งสมพลังได้ สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อผีเร่ร่อนตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

 

ดังนั้น เพิ่งต้าจือจึงอดไม่ได้ที่จะทําลายร่างทองของตัวเอง

 

แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันโหดเหี้ยมของพวกเรา เขาก็เข้าใจทันทีถ้าตัวเองไม่ลงมือ พวกเราก็มียังวิธีทรมานเขาหรือแม้แต่ฆ่าเขาแล้วทําให้วิญญาณของเขาแตกสลาย

หลังจากลังเลอยู่สองสามวินาทีเพิ่งต้าคือก็กัดฟันใช้มือบีบ

 

ตุ๊กตาสีทองที่เคยแข็งเหมือนเหล็ก ไม่ว่าตอนกลางวันพวกเราจะทุบมันขนาดไหนก็ไม่บุบสลายตัวนั้นในตอนนี้กลับโดนเจิงต้าจือบีบจนแตกอย่างง่ายดาย

 

ในวินาทีที่ร่างตุ๊กตาสีทองถูกทําลาย ห้องเช่าฉิงหมิงเวที่อยู่ไกลออกไป โต๊ะบูชาก็ส่งเสียงดัง “ ปัง”

 

มันแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

ด้วยเหตุนี้ เรื่องส่งส่วยให้ผีของฉิงหมิงเฉ่ว ก็จบลงในวินาที่ที่ร่างกุมารทองแตก

 

วันข้างหน้าฉิงหมิงเฉิวและเจ้าเพิ่งต้าคือนี่ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอี

ขอแค่ฉิงหมิงเฉิวมีพลังหยางมากพอ เพิ่งต้าจือก็อย่าคิดว่าจะเข้าใกล้ฉิงหมิงเฉิวได้อีก

 

เพียงแค่เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จึงทําให้อู่ซุ่ยฮุยและฉิงหมิงเฉ่วตกใจจนเกือบเสียสติ พวกเธอกรีดลั่นห้อง

 

กลับมาพูดถึงพวกเราที่อยู่ที่นี่บ้าง หลังจากเห็นร่างตุ๊กตาสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกเราก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้

 

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เรื่องที่อู่ฮียฮุยไหว้วานเราก็จบลงซะที

 

ต่อจากนี้ ก็จะเป็นเรื่องของพวกเราแล้ว

 

ดังนั้นผมเลยพูดกับเจิงต้าจออีกครั้ง “ โอเค ต่อไปฉันจะถามแก ! นักพรตจางคนนี้มีที่มายังไง ? งานที่แกพูดถึงคืออะไร ? ”

 

หน้าเจิงต้าจอกระตุกสองครั้ง หลังจากนั้นก็พูดเสียงติดอ่างหน่อยๆ “ เรื่อง เรื่องนี้ผมไม่ได้พูดไปแล้วเหรอ ? ว่าผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันรู้แค่เขาถูกเรียกว่านักพรตจางเท่านั้น ส่วนเรื่องงาน ก็คือ ก็คือ ก็คือให้พวกเราช่วยคนเยอะๆ ใช่ๆก็คือช่วยคนให้เยอะๆ แต่ละเดือนจะต้องช่วยให้ได้อย่างน้อยห้าคนหรือไม่ก็สิบคน

 

ใช่ ช่วยสิบคน แต่ละเดือนจะต้องช่วยคนสิบคนเรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ… ”

 

หลังจากฟังคําพูดพวกนี้จบเราสามคนก็อดกลอกตาไม่ได้

 

มองสีหน้าท่าทางและยังมีน้ําเสียงติดอ่างนั่นอีก

 

เห็นชัดๆว่ากําลังพูดโกหกนี่มันเห็นเราเป็นคนโง่หรือยังไง ?

 

“ แม่เจ้า นี่แกยังกล้าโกหกอีกเหรอฮะ !” หลังจากพูดจบผมก็เข้าไปถีบทันที

 

เหล่าเฟิงเองก็ไม่เกรงใจ ยื่นเท้าตามมาสมทบเช่นกัน

 

แม้แต่หยางเฉ่ว ก็ตามเราสองคนเข้ามารุมกระทืบเจิงต้าจือเช่นกัน

 

เจ้าหมอนี่ เป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ําตา มาถึงขั้นนี้แล้วมันยังไม่ยอมพูดความจริงออกมาอีก

 

“ สภาพแบบนี้ยังช่วยคนได้ แถมยังช่วยตั้งสิบคนพระเจ้าช่วย แม้แต่พูดโกหกยังไงยังพูดไม่เป็น กระทืบมันให้ตายไปเลยดีกว่า !” ผมทั้งค่าและกระทืบเจ้าหมอ นี้ไปพร้อมๆกัน

 

เพิ่งต้าจ่อถูกกระทืบจนร้อง “ โอ๊ยโอ๊ย” อย่างอนาถตอนแรกเขายังปากแข็งอยู่บ้าง

 

แต่ต่อมา ก็ถูกพวกเรากระทืบจนทนไม่ไหว และยังโดนขู่จนหมดหนทาง

 

เจิงต้าจือจึงเริ่มพูดความจริง “ หยุด หยุดกระทืบได้แล้วฉัน ฉันพูด ฉันพูดแล้ว ไม่ ไม่ใช่ช่วยคน แต่เป็น

 

เป็นเก็บ… แต่ละเดือนจะต้องเก็บให้ได้สิบคนหลังจากนั้นหลังจากนั้นก็เอาไปให้นักพรตจาง

 

ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะต้องตาย…

เมื่อคําพูดพวกนี้ออกมา สีหน้าของพวกเราสามคนก็เปลี่ยนไปทันทีในใจมีเสียงดัง “ อีก”

 

ดีจริงๆ เป็นผีเลวอย่างที่คิดจริงๆ

 

คืออะไร ในลัทธิเต๋ มันถูกเรียกว่าแก่นพลังหยิน

 

ถ้าเปลี่ยนคําพูด มันก็คือแก่นพลังของผู้หญิงและยังเรียกอีกอย่างว่า “ สะสมหยิน ” ก็คือการสะสมหยินเสริมหยาง( การรวมร่างของชายหญิง)

 

ในใจแอบคิดว่า เจ้าชาติหมานี่หน้าไม่อาย เจ้าหมอนี่น่าจะถูกเชิญออกมาสามเดือนแล้ว

 

ถ้าเปลี่ยนมาพูดอีกแบบ ก็คืออย่างน้อยต้องมีผู้หญิงยี่สิบกว่าคนที่โดนเจ้าผีลามกนี้ทําลาย

 

แต่ผมกลับสงสัยในใจ เจ้าการ “ เก็บพลังหยิน ” นี่ก็สามารถให้คนอื่นเก็บไปได้ด้วยเหรอ ?

 

ไม่ได้บอกว่าเรื่องแบบนี้ต้องทําด้วยตัวเองหรอกเหรอ ? 

 

แม้จะคิดแบบนี้แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกมา

 

เพราะไม่ว่ายังไงเจ้าหมอนี่ก็ทําลายผู้หญิงไปจํานวนมากเก็บรวบรวมพลังของผู้คน

 

เจิงต้าจือเห็นหน้าพวกเราในเวลานี้เปลี่ยนเป็นบึงตึงยิ่งกว่าเดิมจึงมองออกทันที่ว่าพวกเราต้องโมโหแล้วแน่ๆ

 

เพิ่งต้าจือกลัวเจ็บ แถมยังกลัวตาย จึงรีบอธิบายว่า “ นัก นักพรตทั้งสามท่านอย่าเพิ่งโมโห ผม ผมโดนบังคังทั้งนั้น ! อีกอย่าง อีกอย่างผมเสี่ยวเฉ่วเชิญผมมาเอง ผมไม่มีทาง แตะต้องเสี่ยวเฉวอย่างแน่นอน พวกผู้หญิงที่เคยโดนเก็บไป ผมก็ไม่ได้เอาชีวิตพวกเธอ ”

 

“ เพียงแค่ดูดพลังหยินของพวกเธอมาเท่านั้น พอตื่นมาอีกครั้ง พวกเธอจะไม่เจ็บปวดเลยอย่างมากอย่างมากก็ฝันเห็นว่ากําลังมีอะไรกับคนอื่นก็แค่นั้น !”

 

หยางเนิ้วเป็นผู้หญิง เมื่อได้ยินคําพูดนี้เธอก็โมโหในทันที “ฝันเห็นว่ามีอะไรกับแม่แก่ซิ ! ตอนนี้ฉันจะทําให้แกฝัน เห็นว่ามีอะไรกับคนอื่นบ้าง !”

 

หลังพูดจบ ดาบในมือของหยางเฉ่ว พุ่งเข้าไปหาเจิงต้าจืออย่างแรง

 

เมื่อเจิงต้าจือเห็นภาพนี้ หน้าก็เปลี่ยนสี เขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาหลบโดยสัญชาตญาณทันที

 

ผลลัพธ์พอเขาเบี่ยงตัวหลบ ดาบไม้ก็พุ่งเขาไปที่ขาอ่อนของเฉิงต้าจือ

 

“ อ้า ” เฉิงต้าจ่อร้องเหมือนหมูโดนเชือด ฟังดูทรมานผิดปกติ

 

“ อย่า อย่าฆ่าฉัน ฉัน ฉันก็โดนบังคับเหมือนกัน ไม่อย่างงั้น ไม่อย่างงั้นฉันก็ต้องตาย ! ” เพิ่งต้าคือพูดด้วยความทรมาน

 

แต่หยางเฉ่วยังคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ “ แกตายก็ดีกว่าไปทําลายผู้หญิงหลายคนขนาดนี้ ! ”

 

หลังจากพูดจบดาบไม้ก็ถูกดึงออกมาและคิดที่จะเข้าไปแทงอีกครั้งเมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็เข้าไปห้ามหยางเฉ่วทันที

 

หยางเนิ้วเห็นผมห้ามเธอ จึงพูดด้วยความไม่พอใจ “ ติงฝานให้ฉันฆ่ามัน !”

 

ผมแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ บัญชีเดียวค่อยคิดไปทีละเรื่องๆรออีกหน่อยนะ… ”

 

หลังฟังผมพูดจบ หยางเนิ่วก็สบัดมืออย่างแรง เค้นเสียงดังฮีแล้วถอยไปอยู่ข้างๆดังเดิม

 

เพิ่งต้าจือเห็นหยางเนิ่วออกห่างแล้ว จึงเอา มือกดขาแล้วพูดกับผมว่า“ ท่านนักพรต ! ที่ผมพูดเป็นค วามจริงทั้งหมด พวกท่านช่วยผมด้วยเถอะ ! ให้ผมหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเขาผมไม่อยากเป็นทาสให้พวกเขาอีกต่อไปแล้ว ! ”

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ผมก็อ่านเจ้าเพิ่งต้าจือคนนี้จนทะลุปรุโปร่งแล้วเขาเป็นแค่คนปากอย่างใจอย่าง

 

ปากพูดแบบนี้ แต่กลับทําอีกอย่าง

 

ตั้งแต่เริ่มคุยกับผีพี่เก้าตนนั้น เขาก็เอาแต่พูดถึงเรื่องลามกจะเห็นได้ว่าเจ้าหมอนี้มันมีแต่ตัญหาขนาดไหน

 

แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เพียงถามอย่างเย้นชาอีกครั้ง “ เขาเป็นใคร ? ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ชี้ไปที่ผีที่ถูกผนึกเอาไว้บนพื้น

 

“ เขา เขาก็เป็นเหมือนผม ล้วนถูกนักพรตจางควบคุมทุกคนเรียกเขาว่าพี่เก้า !”

 

ผมพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดด้วยน้ําเสียงหนักแน่น “ งั้นอาจารย์ของพวกแกละ ? เป็นใคร ? ”

 

แต่ในขณะที่ผมพูดถึงคําว่า “ อาจารย์ ” สองคํานี้ตัวของเฉิงต้าจือก็สั่นอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกในทันทีว่าเขา กลัวมาก ดวงตาทั้งสองอย่างเขียนเอาไว้ว่ากลัวอย่างไม่ต้องคิดเลย

 

เขาปากสั่นเทา ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คําเดียว

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset