ศพ – ตอนที่ 270 อาจารย์ต้องห้าม

ตอนที่ 270 อาจารย์ต้องห้าม

 

เจิงต้าจือเปลี่ยนประเด็น พูดซ้ําๆอึ้งๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดออกมา

 

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น ผมก็พูดด้วยน้ําเสียงเย็นชาทันที“เป็นอะไร ? ยังไม่อยากพูดออกมาละซิ ? ”

 

หน้าเจิงต้าจือกระตุกสองสามครั้ง หลังจากนั้นถึงได้ค่อยๆเงยหน้ามองผม “ พูด พูดอะไรละ ? ฉัน ฉันไม่รู้อะไรเลยอาจารย์อะไร…”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ พวกเราก็เงียบในทันที

 

เห็นได้ชัดว่าเพิ่งต้าจือกําลังโกหก ไม่รู้อะไรได้ยังไง?เห็นอยู่ชัดๆว่าเขารู้ดีแก่ใจ

 

แต่เมื่อเห็นท่าทีของเขา เขาเองก็น่าจะกลัว “อาจารย์ ” คนนี้มากทําให้ลืมความกลัวว่าจะโดนเราอัดไป

 

ถึงได้กล้าพูดโกหกอีกครั้ง

 

ผมทําหน้านิ่ง พูดต่อว่า “ แล้วแกไม่กลัวเราจะอัดแกจนตายเหรอ ? ”

 

* กลัว กลัว แต่ แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาจารย์นั่นจริงๆพวกท่านพวกท่านปล่อยฉันไปเถอะ ! สิ่งที่ควรพูดฉันก็พูดไปหมดแล้ว…” เพิ่งต้าจือพูดด้วยความหวาดกลัว

 

แต่ พวกเราไม่มีความเมตตาต่อเขาเลยสักนิด

เสียงดังฮีแล้วถีบเจิงต้าจืออย่างไม่ลังเล เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วที่อยู่ข้างๆก็ทนไม่ไหวนานแล้ว

 

เมื่อเห็นผมลงมือในเวลานี้ และทุกคนยังเข้ามารุมซ้อมเพิ่งต้าจืออย่างรุนแรง

 

เจิงต้าจือก็โดนอัดจนร้องเสียงหลงอีกครั้ง “ โอ๊ยโอ๊ย ” เห็นได้ชัดว่าเขากําลังทรมานมาก

 

แต่พวกเรากลับรู้สึกว่าวิธีลงมือของตัวเองไม่ได้โหดร้ายถึงขนาดนั้นเมื่อคิดถึงพวกผู้หญิงที่โดนเจ้าหมอนี่ทําลาย พวกเราก็ถือว่าลงมือกับเขานุ่มนวลที่สุดแล้ว

 

“ แกจะพูดออกมาไหมฮะ ? ” หยางเฉ่วกระทืบไปถามไป

 

แต่เจ้าหมอนี่กลับยังไม่ยอมพูดออกมา มันยังแกล้ง ทําเป็นไม่รู้พูดอะไรไม่ชัดเจนสักอย่างเราจึงไม่รู้จะพูดกับมันยังไงดี

 

เมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ยังปากแข็งถึงขนาดนี้ จึงทําได้เพียง อัดมันต่อไปทําให้มันทรมานจนยอมพูดออกมา

 

หลังจาดอัดไปประมาณสี่ห้านาที เจ้าหมอนี่ก็ แทบโดนอัดจนวิญญาณจะแตกสลาย แต่มันก็ยังไม่ยอมพูดออกมา

 

นี่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่คาดคิดมาก่อน คิดไม่ออกจริงๆว่า เจ้าผีกลัวตายตนหนึ่งจะมีความรู้สึกกับ “ อาจารย์ ” คนนี้แบบไหนกันแน่เป็นความกลัวหวาดระแวงเคารพ

 

หรือเป็นอย่างอื่น ถึงได้ปากแข็งไม่ยอมพูดออกมาแม้แต่คําเดียวแบบนี้

 

เมื่อเห็นเจิงต้าจือนอนบนพื้นปางตาย ดวงวิญญาณอ่อนแรงพวกเราก็หยุดมือ

 

หากยังอัดต่อไป วิญญาณของเขาจะต้องแตกสลายจริงๆ แน่

 

“ เหล่าติง ตอนนี้เราจะทํายังไงดี ? ” เหล่าเฟิงพูดเขาเองก็ไม่รู้จะทํายังไง

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ นอกจากเจ้าหมอนี่แล้วตรงนั้นยังมีอีกหนึ่งตัวไม่ใช่เหรอ ? ถามเจ้านี่ไม่ได้งั้นเราก็เปลี่ยนไปถามอีกตัวซิ ! ”

 

เมื่อเหล่าเพิ่งได้ยินแบบนั้น ก็พยักหน้ารับทันที

 

จากนั้นก็หันไปมองสภาพที่ไม่ต่างจากตายแล้วของเจิงต้าจือ “ แล้วจะทํายังไงกับเจ้าหมอนี่ละ ?”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ยังไม่รอให้ผมตอบ หยางเนิ่วที่อยู่ข้างๆก็ชิงพูดว่า “ สิ่งที่เจ้าสัตว์เดรัจฉานี่ทํามันน่ารังเกียจเกินไปไม่ฆ่ามันคงระบายความแค้นให้ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อพวกนั้นได้ยาก !”

 

หลังจากพูดจบ หยางเนิ่วก็ดึงดาบไม้ออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีจิตสังหารอยู่แล้วตอนนี้กําลังจะลงมือฆ่าเจิงต้าจือแล้ว

 

ผมและเหล่าเฟิงต่างเงียบไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

หยางเฉ่วพูดถูก เจ้าเพิ่งต้าจือทําชั่วช้าและน่ารังเกียจเอาไว้มากเกินไป

 

สําหรับผีลามกแบบนี้ไม่ฆ่ามันคงล้างแค้นให้ผู้หญิงเหล่านั้นได้ยาก

 

เพิ่งต้าจือเห็นหยางเฉ่วจะลงมือฆ่าเขา จึงตกใจจนหน้าซีดตัวสั่นปากสั่นระริก “ อย่า อย่าฆ่าฉัน ฉัน ฉันสํานึกผิดแล้วจริงๆ ”

 

หยางเนิ่วพูดหน้าตายด้าน “ สํานึกผิด ? สํานึกผิดแล้วมันล้างบาปที่แกก่อได้เหรอฮะ ? ไปตายซะเถอะ !”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ดาบของหยางเนิ่วก็ฟันออกไปแล้ว

 

“ อ้า ! ” เพิ่งต้าจือร้องอย่างโหยหวนดาบไม้แทงทะลุร่างเขาทันที

 

วินาทีที่เพิ่งต้าจือโดนแทง พลังวิญญาณทั้งหมดก็แตกสลายอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยเสียง “ ปัง” ดังตามมาติดๆ

 

ผมและเหล่าเพิ่งมองดูทุกอย่างตรงหน้า สีหน้าไร้อารมณ์ผีลามกแบบนี้สมควรตายแล้ว วิญญาณแตกสลายเป็นจุดจบที่มันควรได้รับแล้ว

 

เพียงแต่ตอนที่วิญญาณของเจิงต้าจือแตกสลายหายไปแล้วนั้นดวงตาอันเฉียบคมของหยางเฉวกลับทําท่าประหลาดใจอยู่พักหนึ่งเธอก้มตัวไปมอง “ นี่คืออะไร ? ”

 

ขณะพูด หยางเฉ่วก็เหมือนเก็บอะไรบางอย่างขึ้นมา

 

หยางเฉ่วสังเกตมันอยู่แป๊บหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยื่นมา “ พวกนายดูซินี่คืออะไร ? ”

หลังพูดจบหยางเนิ่วก็ยื่นกระดาษแผ่นสีดํามาทางพวก เรา

 

ผมและเหล่าเฟิงก็สงสัยมาก จึงหันมามองทันที

 

ผมพบว่าในมือหยางเฉ่ว คือกระดาษรูปคนหนึ่งแผ่น มันมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือสีดําเหมือนสีหมึก

 

“ เจ้านี่เหมือนจะหล่นลงมาหลังวิญญาณเจิงต้า จือแตกสลายไปแล้ว !” หยางเฉ่วพูด

 

ผมและเหล่าเฟิงขมวดคิ้ว นําของมาถือไว้ในมือแต่พอมองดูดีๆแล้วเราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

 

และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่า หลังวิญญาณแตกสลายไปแล้วจะมีของหล่นลงมาด้วย

 

นี่ไม่ใช่แบบที่จะหล่นลงมา หลังจากฆ่ามอนสเตอร์ในเกมได้แล้วสักหน่อย

 

เหล่าเฟิงส่ายหัว “ ต้องเก็บเจ้านี้ให้ดีๆในเมื่อเราไม่เข้าใจงั้นก็รอให้กลับไปแล้วค่อยเอาไปให้อาจารย์ของฉันกับพวกลุงติงดูอีกทีไม่แน่พวกเขาอาจรู้อะไรบ้างก็ได้ !”

 

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เราจึงทําได้เพียงเท่านี้

 

ดังนั้นหยางเนิ่วจึงเอากระดาษสีดํานั่นยื่นให้เหล่าเฟิงจากนั้นเหล่าเฟิงก็เก็บมันอย่างระมัดระวัง

 

ต่อไปนั้น ก็เหลือแค่ผีผอมสูงที่โดนผนึกเอาไว้บนพื้นแล้ว

 

ผมจับดาบไม้ค่อยๆเดินเข้าไป เมื่อมาถึงตรงหน้ามันแล้วเหล่าเฟิงก็ไม่ได้ดึงยันต์ที่ผนึกเจ้าหมอนั้นเอาไว้ตรงๆแต่เป็นประสานมือผนึกแก่นพลังหยินเจ้าหมอนั้นเอาไว้ก่อน แล้วถึงดึงยันต์ของเขาออกเพื่อจะได้คุยกับเจ้าหมอนั้นตรงๆ

 

วินาทีที่ดึงยันต์ออก ผีผู้ชายตนนั้นก็จ้องเราอย่างดุร้าย

 

ใบหน้าโหดเหี้ยม เห็นพวกเราขวางอยู่ข้างหน้าก็คิดจะฝ่าออกไป

 

แต่ไม่รอให้เขาได้ลงมือ ดาบในมือของเราสามคนก็พาดอยู่บนคอของเขาแล้ว

 

ในเวลาเดียวกัน ผีผู้ชายตนนี้ก็รู้ตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันว่าตอนนี้ตัวเองเรียกใช้พลังไม่ได้ ไม่สามารถดึงพลังออกมา ทําอะไรได้เลย

 

สภาพในตอนนี้ของเขาอย่าว่าแต่สู้กับเราเลย แม้แต่เขาจะหนีก็คงไม่มีแรงทําด้วยซ้ํา !

 

“ พวกแก พวกแกผนึกแก่นพลังของข้า ! ” ผีผู้ชายตนนั้นพูดอย่างดุร้าย

 

พวกเราไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา และไม่อยากพูดได้สาระกับผู้ตนนี้จึงพูดอย่างเย็นชากับเขาว่า

 

* บอกเรามา อาจารย์คือใคร ? เขามีชีวิตอยู่ในรูปแบบไหน ? ”

 

เมื่อผีผู้ชายได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ไม่ได้ตอบกลับตั้งแต่วนาทีแรกแต่เป็นหันไปมองรอบๆแทน หลังจากนั้นถึงได้ใช้จ มูกดมพักหนึ่ง

 

จากนั้น ถึงได้ตอบว่า “ พวกแกฆ่าเจ้าโง่เจิงต้าจือแล้วเหรอ ? ”

 

แม้ผีผู้ชายจะไม่ยอมตอบคําถาม แต่ผมก็ตอบเขาว่า “ ใช่ !ถ้าแกไม่ร่วมมือต่อไปก็จะเป็นตาของแก ! ”

 

ผีผู้ชายไม่เหมือนกับเฉิงต้าจือ เขาไม่เพียงไม่กลัว แต่ยัง หัวเราะ “ ฮ่าๆ ”อย่างบ้าคลั่ง “ พวกแกสามคนน่ะเหรอ ? จะฆ่าข้าได้จริงๆ ? ”

 

โอ้โห ! สมองเจ้าผีนี่คงไม่ได้มีปัญหาหรอกมั้ง ? โดนดาบจี้คอขนาดนี้แล้วยังกล้าพูดจาอวดดีอีก

 

“ ฮีๆ ! คุยโวไม่ละอายใจเลยนะ ” หยางเนิ่วพูดอย่างเย้นชา

 

ผีผู้ชายไม่สนใจเลยสักนิด จู่ๆมุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ค่อยหลับตาจากนั้นก็พูดว่า “ดูเหมือน ต้องอุ่นเครื่องสักหน่อยแล้วแฮะ ! ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ พวกเราก็ค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย

 

หรือว่า เจ้าผีนี่ยังมีความสามารถอย่างอื่นอีก แต่เขาตกอ ยู่ในสภาพนี้แล้วจะยังทําอะไรได้อีก

 

ผลลัพธ์เพิ่งคิดถึงตรงนี้ เจ้าผีผู้ชายตนนั้นก็จ้องอย่างดุร้ายตัวสั่นไปหมด

 

ทันใดนั้นเอง แรงระเบิดของพลังหยินอันทรงพลังก็แพร่กระจายออกมาร่างผีตนนั้น มันทรงพลังมาก

 

จนพัดเราสามคนกระเด็นออกไปทันที

 

ไม่รอให้พวกเราได้เข้าไปใกล้อีกครั้ง จู่ๆผีผู้ชาย ก็กรีดร้องออกมาแก่นพลังที่โดนผนึกเอาไว้ก็โดนทํา ลายในทันที

 

พร้อมกันนั้นตรงหน้าผากก็มีรอยแยก ดวงตาสีขาว โพนลูกหนึ่งปรากฏสู่สายตาของทุกคน

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset