ศพ – ตอนที่ 277 วิชาควบคุมผี

 

ศพ ตอนที่ 277 วิชาควบคุมผี

 

จางจีเทามีพลังเยอะกว่าเมื่อก่อนจริงๆ พละกําลังก็อยู่เหนือผม

 

แต่เจ้าหมอนี่กลับคิดว่า จะชนะผมได้ง่ายๆ แต่มันเป็นแคสิ่งที่คนปัญญาอ่อนเพ้อฝันถึงทั้งนั้นแหละ

 

เจ้าหมอนี่คิดจริงๆเหรอว่า ผมมาหาเขาเพียงลําพัง

 

ขณะที่เสียงของผมดังขึ้น รอบๆตามพุ่มไม้ และภายในอาคารที่มืดมิด ก็มีเสียงฝีเท้าปรากฏขึ้น

 

เงาตะคุ้มๆ ก็ออกมาปรากฏสู่สายตาพวกเราทั้งคู่

 

คนที่ออกมาปรากฏตัวคนแรกคือเพิ่งเฉ้วหาน เจ้าเด็กนี่ซ่อนตัวอยู่ในอาคารฝั่งตรงข้ามเรามาตลอด

 

และยังคอยจับตาดูผมทุกฝีเท้า

 

ผมเพิ่งพูด เหล่าเฟิงก็ไม่ลังเลเลยสักนิดหยิบดาบไม้ออกมาแล้วกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสองที่ถูกทิ้งร้าง ตรงๆ……

 

ต่อจากนั้น เริ่มมีการเคลื่อนไหวจากในพุ่มไม้ทางด้านซ้ายขวาอาจารย์และท่านนักพรตต์คู่กับดาบยาวออกมาพร้อมจิตสังหาร

 

ส่วนข้างหลังของพวกเรา ตึกร้างหลังนั้น

 

หยางเนิ่วไม่รีบร้อน เธอก็ถือดาบไม้ออกมาเหมือนกันค่อยๆก้าวเดินออกมาช้าๆ

 

จู่ๆทั้งสี่ทิศ ก็มีคนสี่คนปรากฏขึ้น

 

แถมแต่ละคนยังถือดาบไม้เอาไว้ในมือ หน้าตาบูดบึง

 

เมื่อจางจีเทาเห็นภาพนี้แล้ว ถึงจะโง่ขนาดไหนก็ต้องเข้าใจเขากลายเป็นหมากของผมแล้วผมเองก็พาคนมาด้วย เช่นกัน

 

ตอนนี้ตัวเขา โดนพวกเราล้อมเอาไว้แล้ว

 

จางจีเทาขมวดคิ้วแน่น พร้อมมองมาทางผม “ ดีนักนะติงฝานถึงกับเรียกคนมาด้วย !”

 

“ เป็นยังไงบ้าง ? ตอนนี้พอเป็นคู่สู้กับแกได้หรือยังละ ? ” ผมยิ้มอ่อน

 

“ อย่าได้ใจนัก อย่าคิดว่าพวกแกมีคนเยอะกว่า แล้วจะจัดการฉันได้ ! ฉันในตอนนี้ ร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนเยอะ ” จางจีเทาพูดอย่างดุดันและเสียงเพิ่งเงียบลงตัวของจาง เทาก็ทําให้เราตกใจอีกครั้ง

 

ทันใดนั้นเอง ออร่าสีเหลืองจางๆก็กระจายออกมาจากตัวเขา

 

ส่วนตัวเขาเอง ก็คํารามดัง “ อ้า ! ” ออกมา

 

เสียงดังลั่น และแสบแก้วหูมาก

 

ขณะที่เสียงคํารามดังขึ้น ขนสีดําบนตัวเขา ก็ยาวขึ้นอีกครั้งมันทั้งดําและหนาขึ้นเป็นเท่าตัว

 

ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าสัตว์ยิ่งกว่าเดิม เริ่มไม่มีเค้าโครงของมนุษย์เหลือแล้ว

 

สําหรับมือคู่นั้น ก็เปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าสัตว์ที่มีขนยาวๆงอกขึ้ นมา

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นจางจีเทาในสภาพนี้ ดังนั้นผมจึงเตรียมพร้อมรับทุกอย่างแล้ว

 

ผมรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่ทําเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เลยเลือกฝึกวิชามารบางอย่าง ทําให้ตัวเองกลายเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์

 

ด้วยเหตุนี้ หลังจากเห็นอีกฝ่ายกลายเป็นแบบนี้แล้วผมก็ทําตัวระแวดระวังไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมามากนัก

 

แต่หลังจากอาจารย์และคนอื่นๆเห็นฉากนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

คนตัวเป็นๆหนึ่งคน จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดและภายในชั่วพริบตายังเปลี่ยนเป็นเหมือนสัตว์ป่ายิ่งกว่าเดิมฉากนี้จึงทําให้ค่อนข้างรู้สึกสยองขวัญ

 

“ ติงฝาน ในเมื่อแกคิดจะเป็นศัตรูกับฉัน งั้นก็อย่ามาโทงว่าฉันไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนนะ !” เสียงของจางจีเทาเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มต่ําและแหบเป็นพิเศษแล้ว

 

“ ดีชั่วอยู่กันคนละทาง ลงมือเถอะ !”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็จับมือขึ้นมาถือให้มั่นเตรียมตัวโจมตี

 

จางจีเทาก็ไม่พูดจาไร้สาระกับผมอีก ออกแรงที่เท้า เหมือนกับคางคกกระโจนเข้ามาหาผมทันที

 

การเคลื่อนไหวนั้นเร็วสุดๆ กรงเล็บทั้งสองข้างกวาดมาทางหน้าผม

 

ผมจะกล้าประมาทได้ยังไง ทําได้เพียงใช้ดาบกันเอาไว้แต่เจ้าหมอนี่แรงเยอะเกินไป และพลังก็เยอะกว่าเมื่อก่อนมาก

 

กรงเล็บในครั้งนี้ ผมต้านไม่อยู่เลยสักนิด ถูกปัดให้ถอยร่นในทันทีบนดาบไม้ก็โดนข่วนเป็นรอยยาว

 

แต่เจ้าจางจีเทาไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจเลยสักนิดมันลงมือกับผมอีกครั้ง

 

“ พรึบ ” กรงเล็บตัดผ่านอากาศ พุ่งตรงมาที่หน้าผมทัน

 

การเคลื่อนไหวนั่นเร็วเกินไป ผมยังไม่ทันตอบสนองมันก็เข้ามาใกล้แล้ว

 

ผมตกใจ แอบพูดในใจว่าซวยแล้ว

 

แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆข้างหลังผมก็มีเสียง และเงาที่งดงามปรากฏขึ้น“ไอ้นักพรตชั่ว !”

 

เสียงยังไม่ทันเงียบ ดาบไม้เล่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากไหล่ของผมพุ่งตรงไปที่จางจีเทาทันที

 

คนลงมือไม่ใช่ใครอื่น หยางเจ่วสาวสวยขาเรียวของเรานั่นเอง

 

จางจีเทาเห็นดาบพุ่งเข้ามา ก็ไม่กล้าประมาท ทําได้เพียงเอามือต้านเอาไว้เท่านั้น

 

ในเวลาเดียวก็ถอยหลังไปสองก้าว รักษาความปลอดภัยของตัวเอง

 

“ ติงฝาน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? ” หยางเนิ่วถามอย่างร้อนรน

 

ผมยังรู้สึกกลัวอยู่ “ ไม่เป็นไร อย่าปล่อยให้มันได้พักหายใจเลย ! ”

 

หยางเฉ้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าและส่งเสียง“ อืม”ให้ผมเท่านั้น

 

หลังจากนั้น ผมสองคนก็ประสานดาบคู่ พุ่งตรงไปที่จางเทาทันที

 

ขณะเดียวกัน อาจารย์ ท่านนักพรตต์ และเฟิงเฉิวหานก็พุ่งมาจากทั้งสามทิศ กลายเป็นการโจมตีจางจีเทาจากทั้งสี่ทิศ

 

จางจีเทาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากมาย ใช้วิชามารแปลงกายเป็นสัตว์ของตัวเองปัดป้องการโจมตีอย่างหนัก

 

แน่นอน เขาก็ทําได้เพียงแค่ปัดป้อง

 

ถึงเจ้าหมอนี่จะร้ายกาจขนาดไหน ก็ทําได้แค่นั้นแหละ ถ้าอยากสู้กับพวกเราห้าคนเดี่ยวๆเห็นได้ชัดว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย

 

หลังจากสู้กันมาได้ประมาณสิบกระบวนท่า พวกเราก็ปราบอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์

 

ในเวลาเดียวกันจางจีเทาก็บาดเจ็บเพราะดาบหลายแผลแล้วเลือดสดๆไหลอาบย้อมขนของเขาแล้ว

 

จางจีเทาโกรธมาก แต่ก็ทําอะไรไม่ได้

 

จากสถานการณ์ในตอนนี้ จางจีเทาได้กลายเป็นเต่าในโถแล้วคืนนี้เขาอย่าหวังจะหนีไปได้ง่ายๆเลย

 

แต่ในเวลานั้นพวกเราประเมินเพื่อนเก่าของผมคนนี้ต่ําไป

 

นอกจากเขาจะมีความสามารถแปลงกายเป็นสัตว์แล้วเขายังมีวิชาพิเศษอีกอย่างหนึ่ง “ วิชาควบคุมผี !”

 

จางจีเทาถอยแล้วถอยอีก เขาถูกพวกเราผลักเข้าสู่ความสิ้นหวังแล้วเขากําลังจะแพ้อย่างย่อยยับแล้ว

 

แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆจางจีเทาก็คํารามขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาแดงกําปล่อยออร่าสีเหลืองแปลกตาออกมา

 

ออร่าพวกนั้นเหมือนระลอกคลื่น สั่นสะเทือนในอากาศ

 

พวกเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงได้แต่ถอยออกมาอย่างรวดเร็วเผื่อมันจะเป็นก๊าซจากศพหรือก๊าซพิษบางอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะได้ไม่คุ้มเสียแทน

 

หลังจากนั้น จางจีเทาก็ตบตัวเองอย่างแรงหนึ่งครั้ง

 

“ อัก” เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งครั้ง

 

เอ๊ะ ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ? เจ้าหมอนี่สู้ไม่ได้ แล้วคิดจะฆ่าตัวตายเหรอ ?

 

แต่เพิ่งคิดถึงตรงนี้ อุ้งมือข้างหนึ่งของจางเทา ก็เริ่มประสานมือ

 

ดวงตาแดงสด จองพวกเราอย่างไม่ละสายตา ทันใดนั้นเองเขาก็ตะโกนออกมาว่า “ วิชาควบคุมผี ผีชั่วทั้งสิบทิศ จงฟังคําสั่งข้าขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง ! ”

 

เมื่อได้ยินคาถานี้ พวกเราทุกคนก็ตะลึงในทันที

 

วิชาควบคุมผี มันคือวิชาประเภทไหนเนี่ย ?

 

แต่ผมเพิ่งคิดถึงตรงนี้ จู่ๆธงดําผืนเล็ก ก็ลอยขึ้นไปข้างบนหลังจากนั้นก็ปล่อยหมอกสีดําออกมาแล้วเลือนหายไปในทันที

 

ต่อจากนั้น จู่ๆก็เกิดลมกระโชกแรงขึ้นรอบๆ หมอกสีดําพลุ่งพล่านร่างสีขาวเริ่มปรากฏขึ้นมาสี่ทิศ จากนั้นก็พุ่งมาทางพวกเราทันที

 

เห็นได้ชัดว่า นั่นคือร่างวิญญาณ เป็นผีเร่ร่อนตัวแล้วตัวเล่าที่ปรากฏขึ้น

 

เมื่อดูจากจํานวน ยังไงก็มีค่อนข้างเยอะ อย่างน้อยก็สิบตนได้

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็ตกใจทันที คิดไม่ถึงว่าเจ้าจางจีเทาจะมีความสามารถแบบนี้ สามารถคุมผีได้จากสิบทิศ

 

หน้าอาจารย์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเค้นเสียงดัง ฮี “ แม่เจ้า เจ้าเด็กนี้ยังมีฝีมืออยู่บ้างพวกแกสามคนไปขวางผี พวกนั้นเอาไว้ก่อนฉันกับเหล่าติจะไปกําจัดเจ้านักพร ตชั่วนั่นเอง !”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์และท่านนักพรตคู่ก็ลงมือทันทีพุ่งเข้าใส่จางจีเทา

 

ผม หยางเฉ่ว และเหล่าเฟิงก็ไม่พูดจาไร้สาระ รีบเปลี่ยนรูปแบบเตรียมตั้งรับการโจมตีของเหล่าผีสิบทิศที่กําลังมาถึง

 

ในขณะที่ผีพวกนั้นกําลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเราพบว่าใบหน้าผีพวกนั้นที่ดุร้าย บนหน้าผากยังมีรอยสีดําประทับอยู่รูปร่างคล้ายกับลูกตา

 

ผมกวาดสายตามองรอบๆ เห็นผีพวกนี้เข้ามาใกล้แล้วจึงจับดาบไม้ในมือให้แน่น แล้วตะโกนว่า “ มาแล้ว !”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกดาบไม้ขึ้นฟาดฟันผีที่แยกเขี้ยวตัวหนึ่งผีชุดขาวที่พุ่งเข้ามาตัวแรกโดนแทงในทันที

 

หยางเนิ่วและเหล่าเฟิงก็ไม่รอช้า แยกย้ายลงมือ ส่วนอาจารย์ท่านนักพรตต์ และจางจีเทาแยกออกไปจากผีพวกนี้

 

ทําให้อาจารย์และท่านนักพรตที่มีโอกาสและเวลาเอาชนะจางจีเทาได้มากขึ้นขอแค่จัดการเจ้าจางจีเทาได้

 

ผีพวกนี้ ก็จะไม่โดนควบคุมอีก…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset