ศพ – ตอนที่ 279 กลับมาพร้อมความล้มเหลว

ตอนที่ 279 กลับมาพร้อมความล้มเหลว

 

เดิมที่คิดว่าจางจึเทาจะโดนพวกเราบีบให้จมมุมได้แล้ว ในขณะเดียวกันเราห้าคนก็โจมตีจากทุกทิศทุกทาง ความ พ่ายแพ้จึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

 

แต่สิ่งที่ทําให้พวกเราคาดไม่ถึงคือ เจ้าหมอนี่ยังมีวิชาควบ คุมผีอยู่ และเจ้าหมอนั้นยังปีนกําแพงได้

 

หลังจากพูดคําพวกนี้จบแล้ว เจ้าหมอนี่ก็หมุนตัววิ่งตาม หลังคาโรงงานอย่างไม่ลังเล

 

ผมแอบพูดว่าสมควรตายเบาๆ อยากจะวิ่งไล่ตามไปจริงๆ

 

แต่พวกเราจะมีเวลาว่างแบบนั้นได้ยังไง ? ผีเร่ร่อนพวกนี้ยังเข้ามาโจมตีพวกเราอย่างบ้าคลั่ง ทั้งข่วนทั้งกัด ไม่เหลือสติเลยสักนิด สู้กับพวกเราอย่างไม่ตายไม่เลิก

 

ผมกังวลในใจ ครั้งนี้จางจึเทาจะต้องหนีไปได้อีกแน่นอน

 

ผมทําอะไรไม่ได้ ยังไงตอนนี้ก็ต้องจัดการผีร้ายตรงหน้าก่อน

 

ผีเร่ร่อนมีจํานวนมากกว่าพวกเรา แต่พลังรบมีไม่เท่ากับตอนที่พวกเราห้าคนร่วมมือกัน

 

แม้จะลําบากอยู่บ้าง แต่ก็หลังจากจัดการไปทีละตัวๆ จํานวนผีก็ค่อยๆลดลง

 

จนกระทั่งสิบกว่านาที่ผ่านไป ในที่สุดผีเร่ร่อนตัวสุดท้ายก็ถูกพวกเราจัดการ

 

ผีเร่ร่อนตัวสั่นกระตุกไปทั่งร่าง พวกเรารู้ดี เขาอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว วิญญาณกําลังจะแตกสลายแล้ว

 

แต่ก่อนที่วิญญาณจะแตกสลาย ตาสีแดงบนหน้าผากของเขา กลับค่อยๆเลือนหายไป

 

และเมื่อดวงตาดวงนั้นเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ “ปัง” ร่างกายของเขาก็ระเบิดทันที วิญญาณแตกสลาย และหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเรา

 

ขณะมองภาพนี้ ทุกคนก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ ค่อนข้างเศร้าใจไม่น้อย

 

ตอนนั้นพวกเราคิดว่า ผีพวกนี้ล้วนเป็นผีเร่ร่อนผู้บริสุทธิ์ มาโจมตีพวกเราอย่างช่วยไม่ได้

 

เพราะโดนเจ้าจางจึเทานั่นใช้วิชาลากมา แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นผีชั่ว ถึงได้ลงมือกับพวกเราแบบนี้

 

แต่ เมื่อความเป็นตายอยู่ตรงหน้า ผีพวกนี้ก็สู้กับพวกเราอย่างไม่คิดชีวิต

 

จึงไม่มีทางเลือก พวกเราจําใจต้องลงมือกับพวกเขา

 

แม้จะไม่ใช่แม่พระ แต่ในใจก็ค่อนข้างเศร้าพอสมควร ผมแอบพูดในใจว่าไอ้จางจึเทาชั่วช้า นี่มันผีเร่ร่อนบริสุทธิ์ถึง 20 ตนเลยนะ

 

ตอนนี้ผีเร่ร่อนทุกตนโดนจัดการไปหมดแล้ว ไม่มีอุปสรรคใดๆอีก ทุกคนจึงฝังความแค้นไว้ที่จางจึเทา

 

ต้องจับมันให้ได้ แล้วก็ฆ่ามันซะ

 

ในขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงท่านนักพรตตู๋พูดว่า “ เจ้านักพรตชั่วนั่นบาดเจ็บแล้ว จะต้องหนีไปได้ไม่ไกลแน่ เราไปดูรอบๆกัน เผื่อจะเจอเบาะแสอะไร ที่ทําให้ไล่ตามเจ้าหมอนั้นไปได้ ! ถ้าปล่อยให้เจ้าหมอนั้นหนีไปได้จริงๆ วันข้างหน้าคงต้องมีผีหรือไม่ก็คนโดนเจ้าหมอนั้นทําร้ายอีกเยอะแน่

 

ทุกคนมาเพื่อกําจัดเจ้านักพรตชั่วจางจึเทา จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ง่ายๆ

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ทุกคนก็พยักหน้า แล้วเริ่มเดินดูรอบๆโรงงานทันที

 

ในช่วงเวลานี้ จู่ๆหยางเฉว่ก็ถามผมว่า ผมรู้จักกับเจ้านักพรตชั่วนั่นใช่ไหม

 

ผมพยักหน้า จากนั้นก็นําสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด รวมไปถึงเรื่องที่เคยเป็นเพื่อนกับจางจึเทามาก่อน และเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงรุ่นที่โรงแรมไดนาสตี้ ให้หยางเฉ่วฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

เมื่อทุกคนฟังจบ ก็เผยสีหน้าสงสัยออกมา

 

เห็นได้ชัดว่า เจ้าจางจึเทาเพิ่งเข้าองค์กรตาผีไม่นาน อย่างมากก็แค่สองสามปีเท่านั้น

 

แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นขนาดนี้ เจ้าหมอนี่ถึงกับมีพลังและฝีมือถึงขั้นนี้แล้ว ช่างน่ากลัวจริงๆ

 

ทุกคนไม่อยากคิดเลย ว่าช่วงหลายปีมานี้ เจ้าจางจึเทาพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง

 

นอกจากนี้ องค์กรตาผีที่อยู่เบื้องหลังจางจึเทา และอาจารย์อะไรนั่น มีฝีมือยังไงกันแน่ หรือจะมีพลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้

 

ทุกอย่างกําลังบอกว่า องค์กรตาผีที่เรากําลังเผชิญหน้าอยู่ ตอนนี้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เราไม่อาจจินตนาการได้

 

ทุกคนทําหน้าหนักใจ เหมือนกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

สุดท้าย พวกเราก็มาหาเบาะแสที่หลังโรงงาน

 

ร่องรอยพวกนี้ขยายไปสู่กําแพงที่พังทลายอยู่ไม่ไกล และยังมีรอยเลือดสดๆอยู่

 

มันชัดเจนมาก นี่จะต้องเป็นสิ่งที่จางจึเทาเหลือทิ้งเอาไว้แน่นอน

 

พวกเราไม่ได้สงสัยใดๆทั้งสิ้น รีบตามรอยเลือดนั้นไปทันที

 

แต่เรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้น เมื่อตามมาถึงกําแพงพังๆนั่นแล้ว กลับไม่มีร่องรอยใดๆเหลืออีก ราวกับทุกอย่างลอยหายไปกับอากาศ

 

อย่าว่าแต่รอยเลือด แม้แต่รอยเท้า หรือรอยแหวกหญ้าเลย อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น สภาพเหมือนไม่มีคนเคยผ่านไป

 

ทําอะไรไม่ได้ พวกเราได้แต่แยกกันตามหา ดูว่าจะเจออะไรบ้างไหม

 

แต่ทุกคนหามาชั่วโมงกว่าแล้ว ก็ยังหาร่องรอยจางจึเทาไม่เจอเลย

 

ทําอะไรไม่ได้ พวกเราได้แต่ถอยกลับไปที่ตัวโรงงานปุ๋ย

 

จางจึเทาหนีไปแล้ว ทุกคนจึงดูหดหูพอสมควร แต่อาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า “ ทุกคน ถึงเจ้านักพรตชั่วจะหนีไปแล้ว แต่เราควรตรวจดูรอบโรงงานปุยนี่หน่อย เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรที่มีประโยชน์บ้าง!”

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ทําได้เท่านี้แหละ

 

ทุกคนเริ่มหาในโรงงานปุ๋ยอย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็หาโหลแตกๆกองหนึ่งเจอในโกดังร้างหลังเล็กแห่งหนึ่ง

 

พอผม เหล่าเฟิง และหยางเฉ่วเห็นโหลพวกนี้ ก็จําได้ในทันทีว่ามันเหมือนกับโหลของเฉิงต้าจือเป๊ะ

 

เมื่อลองหยิบเศษกระเบื้องด้านบนออก ยังพบว่า ในกองเศษโหลเหล่านั้น ยังมีตุ๊กตาและเส้นผมผสมอยู่ในนั้นอีกมากมาย

 

มันเหมือนโหลที่ใช้เก็บวิญญาณเจิงต้าคือไม่มีผิด ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย

 

สุดท้ายหลังอาจารย์และท่านนักพรตตู๋มาวิเคราะห์และยืนยันแล้ว โหลพวกนี้เป็นอย่างที่พวกเราพูด

 

มันใช้เก็บรวบรวมวิญญาณและเลี้ยงผี

 

เจ้าจางจึเทา แอบเลี้ยงผีเอาไว้ที่นี่อย่างลับๆ

 

ดูจากจํานวนโหลในที่นี่แล้ว น่าจะมีประมาณยี่สิบอันได้

 

เมื่อหยางเนิ่วได้ยินแบบนั้น กลับทําหน้าสงสัยขึ้นมา “ แล้วทําไมโหลพวกนี้ถึงแตกแล้วละ ? แถมตัวโหลยังไม่มีฝุ่นเกาะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งแตกไม่นาน ! หรือว่าก่อนหน้าที่เจ้าจางจึเทาจะหนีไป มันจงใจทําลายโหลพวกนี้อย่างงั้นเหรอ?

 

ท่านนักพรตตู๋กลับส่ายหัว “ ไม่ โหลพวกนี้น่าจะแตกเอง

 

แตกเองงั้นเหรอ ? ทันใดนั้นเองผมก็อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วถึงพูดออกมาด้วยความตกใจ “ หรือว่าผีที่พวกเราสู้ด้วยก่อนหน้านี้ จะไม่ใช่ผีเร่ร่อนบริสุทธิ์ที่วนเวียนอยู่รอบๆแถวนี้ แต่เป็นผีที่เจ้าจางจึเทาเลี้ยงเอาไว้ที่นี่”

 

“ ใช่ น่าจะเป็นแบบนั้น จํานวนผีที่เราสู้ด้วย กับผีที่อยู่ในโหลนี้ตรงกันพอดี แถมก่อนที่พวกเราจะมา ก็ไม่ได้มีร่องรอยอะไรมากนัก ข้าคิดว่า ผีที่พวกเราฆ่าไปเมื่อกี้ ไม่ใช่ผีเร่ร่อนที่บริสุทธิ์ แต่เป็นพวกทาสผีที่หลงผิดเข้าไปในองค์กรตาผี !” ท่านนักพรตตู๋พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

เมื่อได้ยินคําพูดพวกนี้ ทุกคนก็เริ่มคิดกันทันที สุดท้ายก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

ความรู้สึกหดหูที่ฆ่าผียี่สิบตนที่ฆ่าไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้จางหายไปกับอากาศแล้ว

 

สําหรับคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา การฆ่าผีชั่วไม่ใช่แค่ไม่รู้สึกผิด กลับกันยังรู้สึกเป็นเกียรติ

 

เพราะพวกเราเกิดมาเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย

 

แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่า นอกจากจางจึเทาจะกลายร่างเป็นสัตว์ และควบคุมผีได้แล้ว เขายังเลี้ยงผีเอาไว้ที่นี่เยอะขนาดนี้

 

มีจํานวนถึงยี่สิบตัวเต็มๆ แถมยังไม่รู้ว่าเจ้าจางจึเทาขาย ผีพวกนี้ออกไปแล้วกี่ตัว

 

ปัจจุบัน เราได้แต่หยุดมือแค่นี้ อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

 

ต่อจากนั้น หลังพวกเราออกจากโรงงานปุ๋ยร้างแล้ว ก็เดินทางไปในเมืองทันที

 

การเดินทางครั้งนี้ ทุกคนก็ยังไม่หยุดพัก ยังคุยเรื่องกลยุทธ์ในการรับมือ แผนสํารวจหลังจากนี้

 

และเตรียมแผนต่างๆเอาไว้ล่วงหน้า

 

เนื่องจากจางจึเทาเป็นเพื่อนร่วมห้องของผม เจ้าหมอนี่รู้จักผม และยังรู้ที่อยู่ของผมอย่างชัดเจน

 

เขาหาผมเจอ ก็สามารถหาท่านนักพรตตู๋ เหล่าเฟิง และคนอื่นๆเจอได้

 

เมื่อกี้ตอนเขาจากไป ก็พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะมาคิดบัญชีกับผม

 

ถ้าไม่เตรียมการรับมือให้ทันเวลา หรือกําจัดเจ้าจางจึเทาให้สิ้นซาก

 

หากรอให้จางจึเทาพาคนมาบุกถึงบ้านจริงๆ งั้นพวกเราก็ต้องเจอกับเรื่องอันตรายอย่างแน่นอน…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset