ศพ – ตอนที่ 284 อุทิศตัวเองเพื่อฝึกฝน

ตอนที่ 284 อุทิศตัวเองเพื่อฝึกฝน

 

มู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนั้นแล้ว ผมจะพูดอะไรได้อีก

ทําอะไรไม่ได้ ผมจําต้องตอบตกลงเท่านั้น

ดังนั้นเลยพูดกับปาที่รกร้างว่า “ ก็ได้! ถึงตอนนั้นฉันจะซื้อแล้วเผาไปให้นะ!”

เสียงเพิ่งเงียบลง เสียงของมู่หลงเหยียนก็ดังตามมาติด เพียงแต่ครั้งนี้ฟังดูเสียงหวานขึ้นเท่านั้น

 

“ โอเค ! งั้นนายรีบกลับไปเถอะ!”

 

ผมพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ หมุนตัวแล้วเดินออกไปจากที่นี่ทันที

 

หลังเดินออกมาจากปาปุยหม่า ก็เป็นเวลาสิบโมงแล้ว กว่าผมจะเดินอ้อยอิ่งกลับมาถึงร้านก็เที่ยงวันแล้ว

อาจารย์เห็นผมกลับมา จึงรีบถามทันทีว่าทําไมไปนานนัก

 

ผมก็ไม่รอช้า เล่าเรื่องที่ศาลเจ้าหลักเมืองและที่ปาปุยหม่าให้อาจารย์ฟังทันที

 

พออาจารย์ได้รู้ความคิดเห็นของปูหลิ่ว และการวิเคราะห์ของมู่หลงเหยียนแล้ว ก็เป็นเหมือนผมเป๊ะ

เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และสบายใจขึ้นเยอะ

ไม่เพียงเท่านี้ ผมยังเล่าเรื่องเรียนวิชาดาบให้อาจารย์ฟังด้วย

 

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่านี่เป็นเรื่องดี

แถมยังบอกในเมื่อเมียแกเป็นคนสอนให้ ก็ต้องไม่ใช่วิชาดาบธรรมดาๆแน่ๆ

 

จึงบอกให้ผมฝึกทั้งเช้าทั้งเย็น จะได้พัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของตัวเอง เวลาออกไปท่องทั่วล่า

จะได้หลบเลี่ยงอันตรายที่ไม่จําเป็นได้

เพราะเมื่อคืนฝึกดาบมาทั้งคืน ตอนนี้ก็เลยเหนื่อยจนแทบขาดใจแล้ว

ช่วงบ่ายอาจารย์ให้ผมพักผ่อนดีๆ เขาจะนําเรื่องนี้ไปบอกให้พวกท่านนักพรตตู๋รู้เอง บอกให้ผมไม่ต้องเป็นห่วง

 

ส่วนเรื่องการมีอยู่ของมู่หลงเหยียน อาจารย์รู้ดีอยู่แก่ใจ ผมจึงไม่ต้องเตือนอะไร

ผมนอนพักตลอดทั้งบ่าย เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้งก็ถึงช่วงหัวค่ําแล้ว

 

แต่เป็นเพราะความประทับใจในเพลงดาบ ผมเลยถือดาบไม้ไปที่ลานเล็กด้านหลังร้าน ในเวลาเดียวกันก็ถ่ายวิดิโอเก็บเอาไว้ ไม่อย่างงั้นวันหน้าจะลืมได้

 

เรื่องก็เป็นแบบนี้ เวลาค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ผ่านไปแค่ชั่วพริบตาก็ปาไปสิบกว่าวันแล้ว

 

ในช่วงสิบกว่าวันนี้ ผมฝึกดาบทุกวัน ฝึกจนมือเท้าล้า แต่ผมก็ฝึกเพลงดาบได้จนคุ้นชินแล้ว ให้ทําจากหลังไปหน้าก็ไม่มีปัญหา

 

ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังให้เหล่าเฟิงมาประลองกับผมสองสามกระบวนท่า

ผมละไม่อย่าจะบอกเลย ตั้งแต่ได้เรียนวิชาดาบนี้ พลังต่อสู้ในการใช้ไม้ ก็เพิ่มขึ้นมากจริงๆ การเคลื่อนไหวของร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผมพบว่าช่วงนี้ พลังในร่างกายของตัวเองก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

เมื่อวานนี้เอง ผมก็ทะลวงชั้นเต้าฉือจงชี มาสู่ขั้นเต้าฉือเตียนเฟิง

ได้แล้ว

อาจารย์ตกใจมาก บอกว่าผมเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี มีพรสวรรค์ในการฝึกได้ดีมาก

 

และยังบอกว่า ถ้าผมใช้ความเร็วระดับนี้ในการพัฒนาต่อไป ไม่แน่ปลายปีหน้า ผมอาจจะเลื่อนไปถึงขั้นเต้าชื่อเลยก็ได้

แต่ผมผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมาตั้งหลายครั้ง เลยรู้ดีว่าพละกําลังและพลังเป็นสิ่งสําคัญ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีพลังไม่พอ

ผมไม่ชอบที่ตัวเองพัฒนาได้ช้า เลยถามอาจารย์ว่ามีวิธีอะไรที่ทําได้เร็วกว่านี้ไหม สุดท้ายกลับโดนอาจารย์ด่ายกใหญ่

เขาบอกว่าลําดับขั้นที่ต่ํากว่าเต้าชื่อ เป็นขั้นตอนการวางรากฐาน ค่อยๆปล่อยให้มันพัฒนาเป็นเรื่องดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะไม่ส่งผลดีกับการฝึกในอนาคต

 

เขายังบอกว่า ตอนเขายังหนุ่มเขาใช้เวลาฝึกจากขั้นเต้าฉือมา เป็นเต้าชื่อ ต้องใช้เวลากว่าสองปีเต็มๆ

แต่ผมใช้เวลาแค่ครึ่งปี ก็ฝึกจากศูนย์มาจนถึงเต้าฉือ เตียนเฟิงในตอนนี้แล้ว ความเร็วขนาดนี้ถือว่าน่าตกใจมากแล้ว

 

อาจารย์เลยบอกให้ผมไม่ต้องใจร้อน ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆอะไร ประมาณนั้น

 

แต่ยังไง ความเร็วในการฝึกของผมก็เร็วมากอยู่แล้ว เขาเลยบอกให้ผมไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องพวกนี้

 

ไม่อย่างงั้นจิตใจจะสับสนวุ่นวายได้

 

นอกจากฝึกเดินพลังเพิ่มในช่วงหลายสิบวันนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

จางจีเทาที่หนีไปก็ไม่ปรากฏตัวออกมา หรือแม้แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย

ในเวลาเดียวกันพวกเราก็กลับไปเยี่ยมฉิงหมิงเฉ่ว ชีวิตของเธอกลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว

และไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆอีก

แถมยังขอบคุณพวกเรามากๆในโทรศัพท์ และยังบอกว่าช่วงนี้เธอกับอู่ฮุยฮุยทํางานด้วยกัน และยังบอกพวกเราว่าถ้ามีโอกาสก็แวะมาที่เมืองภาพยนตร์บ้าง

ช่วงครึ่งนี้ค่อนข้างสงบ และไม่มีภารกิจให้ออกไปทําข้างนอก เมื่อไม่มีภารกิจข้างนอกก็ไม่มีค่าคอมมิชชั่นและอั่งเปา

 

อาจารย์เหมือนพ่อไก่เหล็ก นอกจากเงินเดือนแล้ว หากไปขอเงินอย่างอื่นกับอาจารย์แทบเหมือนไปแลกชีวิตกับเขา ตาที่จ้องเข้ามานี้ใหญ่พอๆกับโคมไฟเลย

เมื่อมองดูปฏิทิน เทศกาลกวงกันยังเหลืออีกห้าวัน

 

แต่เงินในมือกลับไม่พอกับของเซ่นไหวในรถเข็น ผมกําลังคิดว่า จะไปยืมเหล่าเฟิงดีหรือเปล่า จะได้เอาตัวรอดไปก่อน

 

ขณะกําลังขมวดคิ้วทําหน้าอย่างกับคนจะร้องไห้ จู่ๆก็มีเสียงของชายแปลกหน้าวัยกลางคนดังขึ้น

“ ขอโทษที่ที่นี่ใช่ร้านติงโย่วซาน ร้านของนักพรตติงหรือเปล่า?

จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น ผมจึงดึงสติกลับมาทันที

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าคนพูดคือชายหนุ่มวัยกลางคน

ชายวัยกลางคน อยู่ในชุดสบายๆ บัดผมไปด้านข้าง ใส่แว่นตากรอบทอง ดูๆไปเป็นคนน่าสนใจมากคนหนึ่ง

 

ชายคนนี้มาหาอาจารย์ผมถึงร้าน จากประสบการณ์ของผม เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับธุระที่บ้านแปดสิบเปอร์เซ็นต์

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างมีมารยาท “ ใช่ครับ อาจารย์ผมเอง ไม่ทราบพวกคุณมาหาอาจารย์ผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ??

“ อ่อ ! งั้นก็ดีเลย ในที่สุดก็หาเจอสักที ! ” ชายวัยกลางคนทําท่าทางดีใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปพูดนอกทางนอกร้านว่า “ หาเจอแล้ว ที่นี่แหละ !”

หลังจากพูดจบ ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ค่อนข้างตื่นเต้น เขาพูดกับผมอีกครั้งว่า “ ท่านนักพรตน้อย ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าอาจารย์ของคุณอยู่ที่ไหน ? เรามีเรื่องด่วนอยากพบเขา อยากเชิญเขาไปช่วย! ”

“ อาจารย์ผมออกไปทําธุระข้างนอก คุณบอกกับผมก็ได้ ! ถ้าเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ผมจะให้อาจารย์กลับมาทันที ! ” ผมค่อยๆพูด

ส่วนตัวอาจารย์ ตอนนี้เขากําลังนั่งดื่มชาอยู่กับเหล่าฉินที่สุสาน

ถ้าเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ผมต้องตามอาจารย์กลับมาแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่แสบไม่คัน งั้นก็ไม่จําเป็นแล้ว

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ตอบรับว่า “ คือ ” จากนั้นก็พูดต่อทันที “ ท่านนักพรตน้อย

 

เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่จริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกชายผม ถ้าอาจารย์ของคุณไม่ออกโรง ลูกชายเราอาจต้องตาย! ”

คําพูดของชายวัยกลางคนเพิ่งเงียบลง ผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาในร้าน

ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพียงพูดต่อ “ พวกคุณนั่งลงก่อน มีเรื่องใหญ่อะไร ? พวกคุณช่วยเล่าให้ผมฟังก่อน !”

ผมพูดอย่างเยือกเย็น ช่วงหลายปีมานี้ สถานการณ์แบบนี้ทําให้ ผมชินชาแล้ว ทุกคนที่มาถึงที่นี่มักมาขอความช่วยเหลือ บอกให้ช่วยชีวิตกันทั้งนั้น

แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแค่ตกใจกลัวกันไปเอง ดังนั้นผมจึงต้องวิ เคราะห์สถานการณ์ของพวกเขาก่อน

ชายหญิงวัยกลางคนคู่นี้ก็นั่งลง ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาเห็นผมทําห น้าเยือกเย็น เธอจึงรีบพูดขึ้นมาทันที

 

“ นักพรตน้อย เรีบเรียกอาจารย์ของคุณมาเถอะ ! เรื่องเป็นแบบนี้ ลูก ลูกชายของฉันโดนผีผู้หญิงสิงร่างโดนดูดพลังหยางไปเกือบหมดแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งเดือน คนก็ผอมจนไม่เหลือเค้าของคนแล้ว ”

ขณะพูด หญิงวัยกลางคนคนนี้ก็ร้องไห้ออกมา

 

หลังจากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาให้ผมดูรูปลูกชายของเธอ

 

แต่ตอนผมเห็นรูปนี้ ผมก็ตะลึงทันที

ด้านในมีสองภาพ ภาพหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีสไตล์ มีสง่าราศีสมวัย

ส่วนอีกภาพหนึ่งกลับผอมเหลือแต่กระดูกเบ้าตาเว้าลึก เหมือนคนแก่ไม่มีผิด

ถ้าไม่บอกว่านี่เป็นคนคนเดียวกัน คงไม่มีใครเชื่อมโยงกันได้ว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกัน

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สําคัญที่สุด สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ ผมพบว่าผมเคยเจอคนในภาพมาก่อน

 

ไม่ใช่แค่เคยเจอ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ผมเคยอัดเขามาก่อน

เมื่อหลายสิบวันก่อน อู่ฮุ่ยฮุ่ยเชิญพวกเราไปกินข้าวที่โรงแรมหนานเทียนต้า ขากลับผมดันไปเจอลูกเศรษฐีกําลังลังแกเสี่ยวม่าน ผมเลยยื่นมือเข้าไปช่วย ทําข้อมือของเจ้าลูกเศรษฐีนั่นเคลื่อน

 

และเจ้าลูกเศรษฐีนั่น ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มในรูปนี่เป๊ะ !

ผมใจหาย นี่มันไม่ใช่เจ้าชายหลงฟาผู้เย่อหยิ่งชอบใช้อํานาจ ขับรถลัมโบร์กินีพาสาวเที่ยวหรอกเหรอ ?

นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือน ทําไมถึงมีสภาพไม่ต่างจากผีอย่างงี้ละ?

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset