ศพ – ตอนที่ 29 การจ้องมองคานอันชั่วร้าย

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ผมก็นิ่งอึ้งไปในทันที

จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “รีบดูข้างบน!”

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูด เขาก็รีบมองขึ้นไปทันที

เมื่อได้เห็น เขาก็สั่นไปทั้งตัว “คาน คานชั่วร้าย คิดไม่ถึงว่าพลังชั่วร้ายจะรวมตัวกลายเป็นน้ำแข็ง!”

 

เฟิงเฉ่วหานเองก็รู้สึกว่านี้มันเป็นเรื่องที่รับมือยาก เมื่อพลังชั่วร้ายกลายเป็นน้ำแข็ง เขาก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าวิญญาณร้ายตัวนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้ ผมจะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

แต่ผมก็รู้ดี ว่าการที่ศพมองคานบ้านนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม

คุณหนูเหวินตายโหง พลังชั่วร้ายในร่างกายจึงมีมาก

บวกกับก่อนหน้านี้เธอยังได้นอนในโลงที่ทำจากไม้ฮวงตาน จึงทำให้พลังชั่วร้ายของคุณหนูเหวินมีมากกว่าเดิม

ตอนนี้เลยมีฉากดีๆเกิดขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของคุณหนูเหวิน กำลังจ้องไปที่คานอย่างไม่วางตา จนก่อตัวเป็นฮวงจุ้ยต้องห้าม

 

หรือพูดสั้นๆว่า ภายใต้ฮวงจุ้ยต้องห้ามนี้ ทำให้ศพของคุณหนูเหวินมีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อก่อนในชนบท เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนี้

เขาจึงนำศพเข้าไปนอนในห้อง โดยมีหมอนวางรองหัวหนึ่งใบ

เพื่อไม่ให้ศพมองไปที่เพดาน ก่อนที่พวกเราจะเคลื่อนย้ายศพของคุณหนูเหวิน นักพรตตู๋ก็ให้ภรรยาของคุณเหวินทำหมอนมาวางไว้ด้านล่างแล้ว

ตอนนั้นผมเองก็เห็นกับตา แต่คุณหนูเหวินมองขึ้นไปบนคานห้องได้ยังไงนะ

ผมรู้สึกสงสัยนิดหน่อย เมื่อก้มหน้าลง ก็พบว่าหมอนที่คุณหนูเหวินกำลังนอนอยู่นั้น ได้ยุบตัวลงไป

 

จึงทำให้หัวของเธอขยับขึ้นไปด้านบน เปลี่ยนหัวให้เป็นแนวตั้ง ดวงตาจ้องไปที่คานห้อง ซึ่งตรงกับข้อห้ามพอดี

เมื่อผมลองให้มือลูบดู   อีกนิดเดี๋ยวผมก็เกือบด่าแม่…ซะแล้ว

เพราะผมพบว่าหมอนที่คุณหนูเหวินใช้ เป็นหมอนยางพารา

แม่งเอ้ย คนเป็นนอนหลับได้อย่างสบายก็จริง แต่เจ้านี้จะเอามาให้คนตายนอนได้ยังไง

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหัวของคุณหนูเหวินถึงได้มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้าหมอนใบนี้นี่เอง

อย่ามองว่าหมอนใบนี้มีราคาแพง แค่ธรรมดาๆก็ราคาหลักพัน

 

แต่การนำหมอนชนิดนี้มาให้คนตายนอน มันเท่ากับการทำร้ายกันชัดๆ

ผมขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานอีกครั้ง “บ้าเอ้ย ที่หัวของศพเป็นหมอนยางพารา”

“อะไรนะ หมอนยางพารา ถึงว่าหัวถึงได้หันขึ้นข้างบน! ติงฝาน นายรีบปิดตาของศพเร็ว ฉันจะรีบไปหาของอย่างอื่นมาเปลี่ยน!”

เมื่อพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็หมุนตัวเพื่อไปหาของมาเปลี่ยนทันที

หลังจากนั้นผมก็เริ่มใช้มือปิดตาศพ อยากให้ดวงตาของคุณหนูเหวินปิดสนิท

แต่ผมกลับพบว่าเปลือกตาของเธอนั้นแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับได้เลยสักนิด ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้ดวงตาของเธอมันปิดสนิทได้เลย

 

“เฟิงเฉ่วหาน ฉันปิดตาศพไม่ได้!” ขณะที่พูด ผมก็ลองทำต่อไปเรื่อยๆ

แต่สุดท้ายก็ยังล้มเหลว แต่จู่ๆ ก็มีน้ำหยดหนึ่งตกลงมาที่แขนของผม มันเย็นจนถึงกระดูก

แม้จะเป็นแค่น้ำหยดเดียว แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกหนาวมาก

 

ผมจึงมองขึ้นไปตามสัญชาตญาณ พบว่าผลึกน้ำแข็งที่อยู่บนคาน กำลังมีหยดน้ำไหลออกมา

หยดน้ำเมื่อกี้ ก็หยดลงมาจากผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

วินาทีนั้นสีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที ผมแอบพูดในใจว่าแย่แล้ว

ถึงว่าทำไมมันถึงได้เย็นขนาดนั้น เพราะนั่นเป็นหยดน้ำที่กลั่นตัวออกมาจากพลังที่ชั่วร้าย เมื่อผมปล่อยให้น้ำหยดลงบนตัวศพ มันก็เหมือนมีเปลวไฟอยู่ในตัว ที่สามารถกระตุ้นพลังชั่วร้ายที่อยู่ในศพได้ ดังนั้นสภาพศพจึงมีการเปลี่ยนแปลงทันที มันกลายเป็นผีดิบ

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของผมก็ซีดลงในทันที

ผมรีบตะโกนเรียกเฟิงเฉ่วหานที่กำลังหาของมาแทนทันที “เฟิงเฉ่วหาน เร็วๆ พลังชั่วร้ายจากน้ำแข็งเริ่มหยดลงมาบนหัวศพแล้ว!”

 

แม้ว่าปกติเฟิงเฉ่วหานจะเป็นคนเยือกเย็น แต่ในวินาทีนั้นเขาก็แสดงท่าทางที่ร้อนรนออกมา

นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าศพเปลี่ยนไป จนกลายเป็นผีดิบ นั้นก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมา

ถ้าศพเปลี่ยนเป็นผีดิบมันจะมีผิวหนังดั่งทองแดงและกระดูกแข็งดั่งเหล็ก พละกำลังมหาศาล และศพยังมีพิษด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆการต่อสู้กับมันจะเป็นสิ่งที่ลำบากมาก

 

แต่ภายในห้องโถง จะมีหมอนได้ยังไง

เฟิงเฉ่วหานหาหมอนผ้าฝ้ายไม่ได้สักที สุดท้ายเขาก็เจอกระดาษแข็งกองหนึ่ง หลังจากพับมันสองสามครั้ง เขาก็รีบวิ่งมาทันที

“เร็ว รีบเอาไปวางให้เธอ!” ขณะที่พูด เฟิงเฉ่วหานก็ส่งกระดาษแข็งมาให้ผม

ตอนนี้ผมไม่สนใจอย่างอื่นอีกต่อไป รีบรับมา จากนั้นก็นำหมอนยางพาราออก และใส่กระดาษแข็งเข้าไปทันที

แต่หยดน้ำที่ชั่วร้าย หยดลงมาถึงสามหยดแล้ว

แต่ทุกๆครั้งมันหยดโดนตัวของผม ดังนั้นจึงไม่ทำให้ศพมีการเปลี่ยนแปลง

 

หลังจากเปลี่ยนเสร็จ ลักษณะการนอนของศพก็เปลี่ยนไป

ส่วนของดวงตามองเห็นคานบางส่วนเท่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้ มันจึงไม่ตรงกับฮวงจุ้ยที่ชั่วร้ายอีก

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าผมจะใช้แรงเยอะแค่ไหน ก็ไม่สามารถปิดตาของศพได้ แต่ตอนนี้กลับสามารถปิดมันได้อย่างสบายๆ

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมสามารถปิดตาศพได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

จากนั้นก็ได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดว่า “ในที่สุดก็ปิดได้ซะที ตอนนี้พวกเรารีบปิดฝาโลงกันเถอะ แล้วก็จุดธูปชุดใหม่!”

 

ผมพยักหน้า และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ขอแค่สามารถปิดตาศพได้ นั้นก็ถือว่าสามารถทำลายการจ้องคานที่ชั่วร้ายได้แล้ว เรื่องนี้จึงจบลงทั้งแบบนี้

จากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานช่วยกันออกแรง ผลักฝาโลงให้ปิดอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้นสิ่งที่พวกเราไม่คิดคือ ในวินาทีนั้น ในห้องโถงกลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ทันใดนั้น ก็มีเสียงแมวดังขึ้น

 

“เมี๊ยว!”

เสียงไม่ดังมาก แต่ภายในค่ำคืนที่เงียบสงัด มันจึงทำให้พวกเราได้ยินอย่างชัดเจน

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหานก็เปลี่ยนไปทันที หันไปมองตามสัญชาตญาณ

กลับพบว่า ไม่รู้ว่าต้องแต่เมื่อไหร่ ที่แมวดำอวบอ้วนตัวหนึ่งได้เดินเข้ามาอยู่ในห้องโถงแห่งนี้แล้ว

ดวงตาของแมวดำกำลังเปล่งประกาย มันจ้องมองพวกเราที่กำลังจับฝาโลงอยู่

ในงานศพการปรากฎตัวของเจ้านี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแต่อย่างใด

เฟิงเฉ่วหานด่าออกไปตรงๆ “แมวจากที่ไหนวะ ไสหัวออกไป!”

เดิมทีคิดว่าการด่าเพียงแค่นี้ จะสามารถทำให้แมวเดินออกไปได้

 

แต่นั้นมันเป็นแค่ความฝัน เพราะแมวดำตัวนี้ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเลยสักนิด

กลับกันมันยังพุ่งเข้ามา จากนั้นก็กระโดดมาที่ ด้านบนโลงศพของคุณหนูเหวิน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานที่พึ่งได้หายใจหายคอ ก็กลับมาคอแข็งทื่อ ใบหน้าย้อมไปด้วยความหวาดกลัว

ไอ้บ้าเอ้ย! แบบนี้ต้องแย่แน่ๆ

บนโลงของคนตาย จะมาทำเป็นยืนเล่นๆได้ยังไง

และอีกอย่างในห้องโถงที่จัดงานศพและบริเวณรอบๆโลงศพ ยังเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตสองชนิด

 

นั้นก็คือหมาและแมว ในชนบท ถ้าบ้านใครมีคนตาย สัตว์สองชนิดนี้จะต้องถูกเอาออกไปให้ห่างจากสถานที่จัดงานศพ

เพราะสัตว์สองชนิดนี้สำหรับคนตายมันคือ “ของต้องห้าม” เพราะตำนานเล่าว่ามันจะทำให้คนตายไม่ได้เป็นสุข ไม่สามารถจากไปได้อย่างสงบ

สุนัขมักเห่าหอนเมื่อเห็นผี ส่วนแมวมักร้องเรียกเพื่อพูดคุยกับศพ นี่จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้

ตอนนี้เมื่อเห็นแมวดำตัวใหญ่กำลังยืนจ้องพวกเราจากบนโลงศพ ผมก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมา

 

คุณหนูเหวินเสียชีวิตแบบกระทันหันนะ และศพก็เคยเกิดเรื่องบางอย่างถึงสองสามครั้ง ดังนั้นพลังชั่วร้ายที่มีก็เยอะพออยู่แล้ว

เมื่อกี้ยังปรากฎฮวงจุ้ยที่ชั่วร้ายคือศพจ้องคานอีก แต่ในที่สุดพวกเราก็สามารถแก้ได้

 

ถ้าตอนนี้แมวป่าตัวนี้ยังมาสร้างความลำบากให้อีก ผมคงรับประกันไม่ได้จริงๆ ว่าต่อไปศพของเธอจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกไหม

ตอนนี้หน้าของผมบูดเบี้ยวมาก รีบตะโกนใส่แมวป่าทันที “ออกไป!”

ขณะที่พูด ผมและเฟิงเฉ่วหานยังใช้มือตีแมวด้วย เพราะอยากไล่มันไปเร็วๆ

 

แต่พวกผมไม่รู้ว่าทำไม เจ้าแมวป่าตัวนี้นั้นไม่กลัวคนเลยสักนิด

ตอนที่ผมตีมัน มันไม่เพียงไม่หลบ แต่ยังข่วนผมกลับ

หลังมือของผม มีคราบเลือดที่เกิดจากแมวข่วนสองถึงสามแผล

ผมรู้สึกโกรธมาก มองไปที่แมวตัวนั้นและตีลงไปอีกครั้ง

แต่ตอนนี้ผมกลับพบว่า แมวป่าตัวนั้นกำลังเผยท่าทางทีที่แปลกประหลาดออกมา

ปากของมันสั่นระริก ก้มหัวลง และร้อง “เมี๊ยว” ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset