ศพ – ตอนที่ 290 เรื่องน่าปวดหัวซ้ําสอง

ตอนที่ 290 เรื่องน่าปวดหัวซ้ําสอง

ผมลงมือไม่หนัก แต่ก็ไม่เบา

ตอนนี้ในบ้านมีแต่เสียงร้องโอดครวญของเจ้าหลงอ่าวเทียนเฟิงเฉวหานก็ไม่ได้สนใจ ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆมองดูฉากนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 

เจ้าหมอนี่กระดูกเปราะ ร่างกายก็อ่อนแอ จึงทํารุนแรงมากเกิน ไปไม่ได้

 

หลังจากโดนเตะไปสองสามครั้ง เจ้าหมอนี่ก็อ้อนวอนขอชีวิต ไม่หยุด

 

แม้จะยังโมโหอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะอัดเขาจนตาย

เมื่อเห็นเขาทนไม่ไหวแล้ว ผมก็หยุดมือ บอกให้เขาไสหัวกลับห้องของตัวเอง

 

หลงอ่าวเทียนกลัวผมจะทําร้ายเขาต่อ จึงรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองทันที

 

ต่อจากนั้น ผมและเหล่าเฟิงก็เฝ้าอยู่ห้องรับแขกชั้นล่าง

พวกเราไม่กล้าแตะหุ่นฟาง เพียงนั่งลงบนโซฟาตัวข้างๆหาเรื่องคุยกันส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีตานีในคืนนี้

 

ในเวลาเดียวกันพวกเราก็ลองเดาดูว่าผีตานีตัวนี้มีพลังขนาดไหนหากแผนแรกล้มเหลว ตอนเริ่มแผนสอง

เราจะมีโอกาสชนะเธอเท่าไหร่

แต่เหล่าเฟิงกลับส่ายหัว จากนั้นก็พูดว่า “ พูดยาก !ฉันติดตามอาจารย์มาก็ตั้งหลายปี ถึงจะไม่เคยเห็นผีตานีกับตาหรือจัดการมาก่อนแต่ฉันเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า หากผีตานีบรรลุแล้วไม่เพียงสามารถยั่วยวนคนได้เธอยังมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ สามารถควบคุมจิตใจผู้คนได้หรือแม้แต่มีพลังต่อสู้ที่ทรงพลัง

ถึงแม้พวกเราจะเอาชนะผีตานีได้แต่ก็ต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง !

แม้เหล่าเฟิงจะไม่ชอบพูดแต่พอได้พูดแล้วก็จะดูน่าเชื่อถือมาก

 

ปัจจุบันดูเหมือน แผนนี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดใช้ตัวปลอมกําจัดผีตานี แม้จะใช้เวลาหน่อย ประมาณสามวัน

 

แต่ขอแค่คนไม่เป็นอะไร เวลาก็ไม่ใช่เรื่องสําคัญอีกต่อไปและถ้าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้

วิธีนี้ก็ถือว่าได้ผลเลยทีเดียว

คุยกันไปคุยกันมา ผมและเหล่าเฟิงก็เริ่มง่วงแล้ว จึงพิงโซฟาแล้วนอนหลับไปทั้งๆแบบนั้น

 

พอฟ้าสางแล้ว อาจารย์และคนอื่นๆก็กลับมา

 

เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง ผมและเหล่าเฟิงก็ลืมตาขึ้น

 

เมื่อเห็นว่าเป็นพวกอาจารย์ ผมก็รีบถามขึ้นมาทันที “ อาจารย์เป็นยังไงบ้างเจอรังยัยนั่นไหม ? ”

 

อาจารย์พยักหน้า “ เจอ ที่ปากล้วยทางตะวันออก กลัวจะแหวกหญ้าให้งตื่นพวกเราก็เลยไม่ได้เข้าไป !”

เสียงเพิ่งเงียบ อาจารย์ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ คือใช่ แล้วเจ้าเด็กนั้นละเป็นยังไงบ้าง ? ”

* ไม่เป็นอะไร ขึ้นไปนอนบนชั้นสองแล้ว ! ผมตอบกลับแบบลวกๆ

 

พวกอาจารย์พยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงให้พวกเราไปหาห้องนอนกันสักพัก..

 

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น คุณหลงและคุณนายหลงก็เข้ามาในบ้านกันตั้งแต่เช้าตรู่

เมื่อเห็นคุณหลงและคุณนายหลงเข้ามาพวกเราก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้พวกเขาฟังสั้นๆ

ในเวลาเดียวกันเมื่อพวกเขาเห็นหลงอ่าวเทียนกลับมามีสติเหมือนเดิมแม้หน้าจะฟกช้ําดําเขียวอยู่บ้าง

 

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นมากแล้ว พวกเราจึงสบายใจขึ้นไม่น้อย

ต่อจากนั้นก็ชมเราว่ามีวิชาเก่งกล้าไม่ขาดปากและยังบอกว่าจะเลี้ยงมื้อเที่ยงเราที่โรงแรม บอกให้เราต้องไปให้ได้

ผลลัพธ์กลับโดนท่านนักพรตตูและคนอื่นๆ ปฏิเสธทันทีเหตุผลก็คือทุกคนเหนื่อยมาก และงานก็ยังไม่เสร็จ ต้องพักผ่อนดีๆ ตอนบ่ายยังต้องวางแผนของคืนนี้อีก

คุณหลงอดรู้สึกลําบากใจไม่ได้ แต่ก็คิดว่าพวกเราไม่เหมือนกับพวกนักพรตต้มตุ้นพวกนั้น

 

พวกนักพรตต้มตุ้นแทบอยากจะไปกินอาหารห้าดาวทุกมื้อเวลากินดื่มยาวนานยิ่งกว่าตอนปราบสิ่งชั่วร้ายซะอีก.

เพื่อประหยัดเวลา ตอนเที่ยงพวกเราเลยสั่งให้มาส่งอาหารที่บ้านขณะเดียวกันพวกเราก็ปรึกษากันเรื่องแผนในคืนนี้

 

อาจารย์และท่านนักพรตติพูดแล้ว ผีตานีตนนี้ไม่ยุ่งยากเหมือนวิญญาณร้าย

ขอแค่หลงอ่าวเทียนไม่ทําพลาด ปีศาจสาวตนนั้นก็ไม่ได้จัดการยากอะไรเว้นแต่จะดึงยันต์ในหัวหุ่นฟางออกมา ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังจะดูกลลวงนี้ออกเลย

 

หลงอ่าวเทียนมีประสบการณ์แล้ว จึงมีความมั่นใจมากขึ้น ไม่กลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

ในเวลาเดียวกัน นอกจากสติของหลงอ่าวเทียนจะกลับคืนมาไม่น้อยแล้วสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือ

ความทรงจําบางส่วนของเขาก็กลับมาด้วย

 

แม้จะไม่ต่อเนื่อง แต่เรื่องไปยุ่งกับผีตานี เขายังจําได้พอสมควร

เขาบอกว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน หลังผมหักข้อมือเขา เขาก็รีบไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ต่อจากนั้นก็มีลูกเศรษฐีชื่อชีคุน มาถามพวกเขาว่าอยากหาอะไรตื่นเต้นๆทําไหม หรือก็คือการไปยุ่งกับผีตานี จากนั้นเจ้าหมอนั้นก็โม้อีกยกใหญ่

ลูกเศรษฐีกลุ่มนี้ก็ไม่รู้ความ ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น และยังไม่คิดว่าจะดึงผีตานีอะไรนั่นออกมาได้จริงๆ

 

ดังนั้น ในคืนวันถัดไป พวกเขาสี่คนก็ไปที่ปากล้วยทางทิศตะวันออก

สําหรับความทรงจําหลังจากนั้น เขาก็จําไม่ค่อยได้ มันค่อนข้างคลุมเครือแต่เขารู้อย่างชัดเจนว่าทุกคืนหลังจากนั้น ผีตานีจะมาหาเขาทุกคืน

 

แต่ เรื่องที่ทําในวันนี้ เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็เกือบลืมแทบทั้งหมด ใช้ชีวิตอย่างไร้สติมาครึ่งเดือน

เมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้ พวกเราก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป

โดยเฉพาะเหล่าฉิน เขาถลึงตาทันที “ เมื่อกี้นายพูดว่า พวกนายไปที่ปากล้วยทางตะวันออกกันสี่คนใช่ไหม ? ”

 

หลงอ่าวเทียนพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ อ๋อ ! ใช่ครับ เรื่องนี้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากผมแล้วยังมีอีกสามคน ชีคุน ซุนเสี่ยว หลินและหวางฮ่าวล้วนเป็นลูกคนรวยในเมืองเราทั้งนั้น”

 

เมื่อเห็นหลงอ่าวเทียนมั่นใจขนาดนี้ พวกเราก็ไม่ค่อยสบายใจกต่อไป

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นอกจากเจ้าหลงอ้าวเที่ยนคนนี้ ยังมีอีกสามคนที่ไปยุ่งกับผีตานี

 

หรือจะพูดว่า เกรงว่าผีตานีจะไม่ได้มีแค่ตัวเดียวแต่ยังมีมากก

ว่านั้น

อาจารย์ทําหน้าเข้ม “ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก นายติดต่อสามคนนั้นได้ไหมถ้าพวกเขาและนายมีปัญหาเดียวกัน

 

งั้นตอนนี้ก็คงตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกับนาย !”

“ คงไม่หรอกมั้ง ?”

 

“ ไม่งั้นเหรอ ? พวกนายใช้วิธีเดียวกันนายยังดึงผีตานีออกมาได้แล้วพวกเขาจะทําไม่ได้งั้นเหรอ ?

 

ตอนนี้ต้องทําให้แน่ใจก่อนว่าพวกเราปลอดภัยดีตัดรากถอนโคลนในเมื่อมาเจอแล้วก็จัดการพวกมันที่เดียวเลย ”อาจารย์พูดต่อพร้อมแสดงท่าที่จริงจัง

 

หลงอ่าวเทียนเริ่มกลัวหน่อยๆ แต่ก็ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาทั้งสามคนนั้น

ผลลัพธ์สองคนแรกปิดเครื่องมีเพียงคนที่ชื่อหวางฮ่าวคนเดียวที่รับโทรศัพท์

 

พอรับโทรศัพท์แล้ว หวางฮาวคนนั้นยังหัวเราะทักทายหลงอ้าวเทียนถามเขาว่าช่วงครึ่งเดือนนี้เขาไปเที่ยวที่ร้านเหล้าไหนมาทําไมถึงไม่โทรหาเขาเลย

 

หลงอ่าวเทียนบอกว่าช่วงนี้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหนเลยต่อจากนั้นเขาก็ถามลวกๆว่าช่วงนี้เขาเป็นยังไงบ้าง

แต่เจ้าเด็กนั้นไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ยังคงออกไปเที่ยวคลับเกี่ยวสาวทุกวัน

 

หลงอ่าวเทียนรู้สึกแปลกใจ เลยถามเรื่องผีตานีเมื่อครึ่งเดือนก่อน

 

พอถามแล้วถึงได้รู้ว่า เมื่อครึ่งเดือนก่อนถึงหวางฮ่าวจะไปหาผีตานีด้วยกันแต่ตอนเจ้าหมอนี่จะล่อผีตานีออกมา เขาดันไปรับโทรศัพท์ก่อน

 

พอคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว หลงอ่าวเทียนและคนอื่นๆก็ทําพิธีกรรมเสร็จแล้ว

 

ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก และไม่เชื่อว่าผีตานีอะไรนั่นจะออกมาได้จริงๆ จึงโยนของทําพิธีกรรมทิ้ง แล้วตามพวกเขากลับมา

พูดอีกนัยหนึ่ง เจ้าคนที่ชื่อหวางฮ่าวคนนี้โชคดีไม่เลวเขาไปที่ปากล้วยก็จริง แต่ไม่ได้ทําอะไรเลย

จึงได้หนีเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้

 

ต่อจากนั้น หลงอ่าวเทียนยังถามถึงเพื่อนอีกสองคนเรื่องเกี่ยวกับชีคุนและซุนเสียวหลิน

 

ผลลัพธ์พอถามถึงเรื่องนี้ถึงได้รู้ว่า ชีคุนหัวโจกของเรื่องนี้ได้เสียชีวิตอย่างไร้สาเหตุไปเมื่อสามวันที่แล้ว

ส่วนลูกเศรษฐีอีกคนซุนเสี่ยวหลิน ก็ปวยหนัก ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วตอนนี้กําลังนอนอาการโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล

 

หวางฮ่าวคนนี้รู้สึกตะหงิดๆใจ เลยพูดในโทรศัพท์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับต้นกล้วยพวกนั้นหรือเปล่า

ตอนนี้เขาเองก็เริ่มกลัว ถามว่าหลงอ่าวเทียนเป็นอะไรหรือเปล่าต้องหาพวกนักพรตปราบสิ่งชั่วร้ายอะไรนั่นมาจัดการไหม

 

และเขายังบอกอีกว่าต่อไปถึงจะตีเขาให้ตายเขาก็จะไม่ไปหาเรื่องสนุกที่นั้นอีก จะได้ไม่หาเหาใส่หัว

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset