ศพ – ตอนที่ 291 เหยื่อรายใหม่

ตอนที่ 291 เหยื่อรายใหม่

 

จากการคุยโทรศัพท์ของหลงอ้าวเทียน พวกเราพบว่าเรื่องนี้ซับซ้อน และร้ายแรงกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้

 

ฟังจากคําพูดของลูกเศรษฐีที่ชื่อหวางฮ่าวคนนั้น นอกจากเขาจะไม่เป็นอะไรแล้ว ลูกเศรษฐีอีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งตายแล้ว แล้วอีกคนอยู่ในโรงพยาบาล ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นกัน

 

จากคําพูดพวกนี้เรามั่นใจว่า เด็กอีกสองคน ก็คงไปยุ่งกับผีตานีเช่นกัน

 

ตอนนี้ตายไปหนึ่งคนแล้ว สถานการณ์ของอีกคน ก็น่าจะไม่ต่างจากหลงอ้าวเทียน

 

ถ้าไม่ช่วย ความตายก็คงมาเยือนในอีกไม่กี่วัน

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของทุกคนก็จมดิ่งลงทันที

 

“ เหล่าติง ตู๋อ่าว ตอนนี้เราจะทํายังไงดี” เหล่าฉันไม่รู้จะตัดสินใจยังไง เรื่องราวเริ่มร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ขมวดคิ้วแน่น เงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงได้ยินอาจารย์พูดว่า “ ถึงจะยุ่งยากมากกว่าเดิม แต่ในเมื่อพวกเรามารู้เข้าแล้ว ยังไงก็ต้องจัดการให้จบ ! ”

 

“ อือ ! ใช่ เสี่ยวเทียนนายคิดหาวิธีติดต่อเด็กที่ชื่อซุนเสี่ยวหลินนั่นให้ได้ ถ้าพวกเราไม่ลงมือ เพื่อนของนาย

 

คงอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ! ” ท่านนักพรตตู๋พูดเพิ่ม

 

หลงอ้าวเทียนที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว ย่อมเข้าใจว่าเรื่องนี้น่ากลัว และอันตรายขนาดไหน

 

หลังกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าแล้ว เขาก็รีบพยักหน้ารับแล้วโทรออกอีกหลายสาย ในที่สุดเขาก็หาเบอร์ของแม่ซุนเสี่ยวหลินเจอ

 

โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว ได้ยินเพียงเสียงที่เศร้าหน่อยๆดังขึ้น “ ฮัลโหล ! ”

 

“ สวัสดีครับคุณน้า ผมเป็นเพื่อนของซุนเสียวหลิน หลงอ้าวเทียน ! ” หลงแาวเทียนรีบขานรับด้วยความสุภาพ

 

ฝั่งนั้นเงียบไปพักหนึ่ง แต่ก็ยังตอบกลับด้วยเสียงที่ยังไม่ได้สติ “ อ่อ ! เสี่ยวเทียน ! มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ”

 

หลงอ้าวเทียนก็ไม่พูดจาไร้สาระ เขาเปิดประเด็นทันที “ เรื่องเป็นแบบนี้ครับคุณน้า เมื่อครึ่งเดือนก่อน

 

ผมกับซุนเสี่ยวหลินไปยุ่งกับผีตานีที่ปากล้วยด้วยกัน ต่อจากนั้นพวกเราสองคนก็ปวย ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลหลายแห่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ต่อมาพ่อกับแม่ผมไปเชิญนักพรตสองสามท่านมาดูอาการให้ผม ถึงทําให้ผมตื่นขึ้นมาได้ ซุนเสี่ยวหลินเองก็น่าจะเป็นแบบผม โดนสิ่งชั่วร้ายเล่นงาน ถ้าคุณน้าเชื่อผม

 

ก็ส่งที่อยู่มาให้ผมนะครับ ผมจะให้ท่านนักพรตที่บ้านไปดูให้ครับ…… ”

 

หลงอ้าวเทียนบรรยายเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองเจอให้อีกฝ่ายฟังสั้นๆ และยังชี้ให้เห็นข้อดีและข้อเสีย

 

ตอนแรก แม่ของซุนเสี่ยวหลินยังตกใจอยู่ จึงถามด้วยความสับสนสองสามคําถาม

 

สุดท้ายทุกเรื่องที่หลงอ้าวเทียนพูด หรือทุกอาการที่เขาเป็นหรือแม้แต่เวลาเกิดเรื่อง ก็เหมือนกันแทบทั้งหมด

 

ตอนนี้ชีวิตของซุนเสี่ยวหลินขึ้นอยู่กับเวลา ตัวเขาใกล้จะหมดลมเต็มทีแล้ว

 

สัปดาห์นี้ แทบจะนอนหลับตลอด พึ่งสารอาหารทางน้ำเกลือเท่านั้น

 

แม้แต่ทางโรงพยาบาล ก็ยังบอกว่าอาการของเขาทรุดลงอย่างต่อเนื่อง ซุนเสี่ยวหลินคงอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วัน

 

พ่อแม่ของซุนเสี่ยวหลินเป็นคนมีการศึกษา พวกเขาไม่เชื่อเรื่องเทพพระเจ้า ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

 

ไม่เคยเชิญนักพรตคนไหนมาดูอาการมาก่อน

 

แต่ลูกชายสุดที่รักของตัวเองกําลังจะตายแล้ว แถมหลงอ้าวเทียนก็พูดถูกทุกอย่าง

 

พวกเขาเองก็เป็นคนรักลูกสุดหัวใจ จึงไม่สนใจอะไรมากนัก เห็นเพียงสถานการณ์ถึงขั้นวิกฤตมีเพียงความหวังอันริบหรี่ จึงรีบส่งที่อยู่ให้กับพวกเรา แล้วบอกให้พวกเรารีบมาให้เร็วที่สุด

 

สถานที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองของพวกเรา เงื่อนไขทางการแพทย์ดีมาก สามารถอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าของประเทศได้เลย

 

คนที่สามารถเข้ารับการรักษาที่นี่ได้ ไม่มีใครเป็นคนจนเลยสักคน

 

เวลายังเช้าอยู่ ทุกคนออกจากบ้านพร้อมกัน เตรียมตัวไปดูอาการซุนเสี่ยวหลินคนนี้

 

หลงอ้าวเทียนไม่ได้เจอแสงแดดมาหลายวันแล้ว เมื่อตอนนี้โดนแสงแดดส่องกระทบกาย เขาก็รู้สึกดีไปทั้งตัว ผิวที่ซีดขาวก็เริ่มกลับมามีสีเลือดฝาดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพลังฟื้นคืนมาเท่าไหร่แล้ว

 

เมื่อคุณหลงและคุณนายหลงเห็นแบบนั้น ก็ดีใจกันยกใหญ่ ยกย่องและยอมรับในความสามารถของพวกเราอย่างมาก

 

ในวิลล่ามีรถอยู่หลายคัน ดังนั้นตอนออกเดินทางเลยสะดวกมาก

 

เมื่อพวกเรามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่ซุนเสี่ยวหลินอยู่ ก็เป็นเวลาบ่ายสามแล้ว

 

พอลงจากรถ พ่อแม่ของซุนเสี่ยวหลินก็รอเราอยู่ที่หน้าประตูแล้ว

 

สองสามีภรรยาคู่นี้ค่อนข้างอ้วน ถ้าเอาน้ำหนักมารวมกันแล้ว น่าจะหนักเกือบ 400 โลได้

 

หลงอ้าวเทียนกล่าวทักทายทั้งคู่ หลังจากนั้นก็แนะนําพวกเราและพ่อแม่ของเขา

 

พวกเราพยักหน้าทักทาย

 

คุณซุนสุภาพมาก เขาคํานับพวกเราทีละคนๆ บอกให้พวกเราช่วยลูกชายผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปให้ได้ด้วย

 

คุณหลงและภรรยาที่อยู่ข้างๆไม่สงสัยความสามารถของพวกเราเลยสักนิด พวกเขาชมความสามารถของพวกเราอยู่ข้างๆซะยกใหญ่

 

แม้คุณซุนและคุณหลง จะไม่เคยทําธุรกิจร่วมกันมาก่อน ในทางส่วนก็ไม่ได้สนิทกัน แต่นักธุรกิจมีหน้ามีตาในเมืองทั้งนั้น จึงนับว่าคุ้นหน้ากันอยู่บ้าง

 

ตอนนี้คุณหลงและภรรยามาด้วยตัวเอง และยังแนะนําถึงขนาดนี้ คุณซุนจึงเชื่อใจพวกเราไม่น้อย

 

ต่อจากนั้น พวกเราก็เดินตามคุณซุน ตรงไปที่ห้องพักของซุนเสียวหลินทันที

 

ห้องพักใหญ่มาก หากเป็นโรงพยาบาลรัฐมันสามารถวางเตียงได้ห้าเตียงได้เลย แต่ตอนนี้มีซุนเสี่ยวหลินพักอยู่แค่คนเดียว

 

เมื่อมองเข้าไป จะเห็นผู้ชายผิวซีดเซียว นอนตัวผอมแห้งอยู่บนเตียง

 

ผู้ชายคนนี้หายใจแผ่วเบา ตอนนี้ยังคงหลับอยู่ พลังหยางอ่อนมาก จนแทบเรียกว่าไม่เหลือเลยก็ว่าได้

 

หลังคุณซุนพาพวกเราเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้

 

คุณนายซุนพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกําลังจะร้องไห้ “ พวกคุณดูเอาเถอะ ! ลูกชายของฉันหนัก 180 กว่าโล นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็ผอมจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว หมอบอกว่า ลูกชายของฉันอาจจะ อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน… ”

 

เพิ่งพูดถึงตรงนี้ คุณนายซุนก็ร้องไห้ออกมาทันที เธอดูเสียใจหนักมาก

 

พวกเราเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเข้าไปดูใกล้ๆเตียงเท่านั้น

 

ในเวลาเดียวกันก็เลิกผ้าห่มออก ถอดถุงเท้าของซุนเสี่ยวหลินมองสํารวจคร่าวๆ เห็นเพียงบนหัวแม่เท้าซ้ายของเขาก็มีวงแหวนเหมือนกัน

 

แต่สีบนวงแหวนนี้ เข้มกว่าสีบนเท้าของหลงอ้าวเทียน มันเริ่มจะเป็นสีดําแล้ว

 

เป็นอย่างที่คิด ซุนเสี่ยวหลินเป็นเหมือนที่พวกเราเดาเอาไว้ เขาเองก็โดนผีตานีเล่นงานเหมือนกัน

 

ตอนนี้โดนดูดพลัง ทําให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว และมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

 

เหล่านินสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “ ผีตานี้ไม่ได้หนีไป เจ้าเด็กนี่ก็โดนผีตานีเล่นงานเหมือนกัน !”

 

“ ผี ผีตานี ? ” พ่อแม่ของซุนเสี่ยวหลินไม่ค่อยเข้าใจ

 

คุณนายหลงที่อยู่ข้างๆจึงรีบอธิบายว่า “ ก็คือวิญญาณในต้นกล้วย ที่กลายร่างเป็นหญิงสาว เมื่อครึ่งเดือนก่อนเจ้าเด็กสองสามคนนี้ไปยุ่งกับผีตานี คุณดูสภาพลูกชายฉันซิ เขาเองก็โดนผีตานีสูบพลังจนกลายเป็นแบบนี้ โชคดีที่พวกเราไปเชิญท่านนักพรตมาช่วยทัน นี่ก็รออีกสองวัน ลูกชายเราก็จะกลับมาเป็นปกติแล้ว !

 

ตอนนี้ท่านนักพรตมาแล้ว เสี่ยวหลินจะต้องปลอดภัยแน่ๆ ”

 

เมื่อคุณนายซุนได้ยินคุณนายหลงพูดถึงขนาดนั้น เธอก็หันไปมองหลงอ้าวเทียนครู่หนึ่ง เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ

 

ผอมอย่างกับไม้เสียบผี ภายนอกดูไม่ต่างอะไรจากลูกชายเธอมากนัก เพียงแค่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเยอะเท่านั้น

 

คุณซุนแสดงปฏิกิริยาออกมาก่อนใคร เขารีบเข้ามาอยู่ตรงหน้าพวกเรา “ ท่านนักพรตทุกท่าน พวกคุณต้องช่วยลูกชายผมด้วยนะครับ ขอแค่พวกคุณยอมช่วยบอกราคามาเลยครับ ผมซุนต้าชานคนนี้จะไม่ปฏิเสธเลยครับ !”

 

“ ใช่แล้วค่ะท่านนักพรตทุกท่าน พวกคุณต้องช่วยลูกของเรานะคะ ฉันคุกเข่าให้พวกคุณแล้ว ”

 

คุณนายซุนก็เข้ามาขอร้อง และทําท่าจะคุกเข่าจริงๆ

 

พอผมและเหล่าเฟิงเห็นแบบนั้น ก็รีบเข้าไปพยุงเธอทันที

 

จากนั้นอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า “ คุณซุน คุณนายซุน พวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย การปราบสิ่งชั่วร้ายเป็นหน้าที่ที่พวกเราปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องทําถึงขนาดนั้นก็ได้ในเมื่อพวกเรามาแล้ว ก็ต้องช่วยลูกพวกคุณอยู่แล้ว ผมมียันต์อยู่ พวกคุณเข้าไปเอาน้ำแก้วนึง เราต้องทําให้ลูกคุณฟื้นขึ้นมาก่อน ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset