ศพ – ตอนที่ 292 อํานาจของแพทย์

 

ตอนที่ 292 อํานาจของแพทย์

 

เหมือนพ่อแม่ของซุนเสี่ยวหลินคว้าฟางเส้นสุดท้ายได้ หลังฟังอาจารย์พูดจบ เขาก็ไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้น

 

รีบไปรินน้ํามาทันที

 

อาจารย์ยื่นยันต์ให้ผม บอกให้ผมเป็นคนทํา

 

ส่วนตัวเขาและท่านนักพรตตู๋ก็ไปปรึกษากันกับเหล่าฉินที่ข้าง หน้าต่างแล้ว เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไป มีคนที่ต้องช่วยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แรงกดดันเลยเพิ่มมากขึ้น

 

แผนทั้งหมดที่วางเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนแล้ว

 

ผมถือยันต์และรับแก้วน้ํามาถือเอาไว้ เลียนแบบท่าทางของอาจารย์ ท่องคาถาออกมาสองสามประโยค จากนั้นก็เผายันต์ ผสมลงในน้ํา

 

หลังทําสิ่งเหล่านี้เสร็จ ผมก็ยื่นน้ํามนต์ให้คุณนายซุน บอกให้เธอนําสิ่งนี้ให้ซุนเสี่ยวหลินดื่ม

 

แต่ในตอนนี้เอง ทีมแพทย์กลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในห้อง พวกเขามีประมาณเจ็ดแปดคนได้

 

หลังเข้ามาในห้อง จู่ๆก็เห็นในห้องมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจึงหยุดเดินทันที เมื่อคิดได้ว่าพวกเราอาจเป็นญาติผู้ป่วยก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

 

ในเวลาเดียวกัน หมอวัยกลางคนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุด กําลังฟังพยาบาลคนข้างๆรายงานอาการผู้ป่วย

“ ท่านผู้อํานวยการโจว วันนี้ผู้ป่วยยังไม่ฟื้นเหมือนเดิมค่ะ ทางโรงพยาบาลได้ประกาศแล้วค่ะว่าอาการของผู้ป่วยเข้าขั้นวิกฤต ! ”

 

คนที่ถูกเรียกว่าผู้อํานวยการโจวพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาพูดกับพวกเราว่า “ ญาติทุกท่าน ! แม้ทางโรงพยาบาลจะประกาศว่าเข้าขั้นวิถูกตแล้ว ! แต่พวกคุณ ! ไม่ต้องกังวล ทีมแพทย์ของเรารวมคนที่เก่งที่สุดจากทั่วทั้งประเทศ ตัวผมเองก็เป็นหมอระดับโลก พวกเราจะพยายามรักษาชีวิตคนไข้สุดความสามารถ !

 

เพื่อคนไข้ เราจะสร้างปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ขึ้นมา ”

 

หมอคนนี้พูดได้น่าฟังมาก แต่ทุกคนเข้าใจในทันที เขาไม่มีทางช่วยซุนเสี่ยวหลินได้แล้ว ตอนนี้ได้แต่ดูอาการวันต่อวัน พวกเขาได้แต่ยื้อชีวิตซุนเสี่ยวหลินอย่างสุดความสามารถ และหวังว่าวันหนึ่งจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น

 

สีหน้าของคุณซุนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

แต่หลังจากผู้อํานวยการโจวพูดเสร็จ เขากลับพบว่าคุณนายซุนกําลังจะป้อนน้ําสีดําให้ซุนเสี่ยวหลิน

 

เขาจึงอดตกใจไม่ได้ จากนั้นก็รีบพูดขึ้นมาทันที “ ญาติผู้ป่วย คุณกําลังทําอะไรอยู่ ? คนไข้ยังไม่หายดี

 

และมีอาหารเหลวแล้ว ไม่จําเป็นต้องดื่มน้ํา อีกอย่าง ทําไมน้ําของคุณถึงเป็นสีดําละ?”

 

คุณนายซุนมองผู้อํานวยการโจว “ นี่คือน้ํามนต์ ท่านนักพรตบอกให้ดื่มน้ํานี่ ลูกฉันก็จะตื่น ! ”

 

เมื่อแพทย์และพยาบาลในห้องได้ยินแบบนั้น ก็ตะลึงกันทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ผู้อํานวยการโจวที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดก็ทําเสียงดุขึ้นมาทันที “ เหลวไหล ญาติผู้ปวยคุณต้องเชื่อในฝีมือหมอของเราเชื่อในวิทยาศาสตร์และเชื่อทีมแพทย์ของผม ไสยศาสตร์พันนี้ ทําได้แค่ทําให้คนไข้อาการแย่ลงเท่านั้น เสี่ยวหลี่ เอาเจ้านั่นไปเททิ้งซะ ! “

 

หลังจากพูดจบ หมอหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจะไปคว้าแก้วน้ํามนต์

 

เหล่าเฟิงกลับออกมาขวางเอาไว้ แล้วพูดอย่างเย็นชา “ ไสหัว ไปทางโน้น ! ”

 

หมอหนุ่มคนนั้นจึงหยุดยืนนิ่งอึ้งในทันที และไม่อาจเถียง หรือใช้กําลังได้ เขาจึงหันไปมองผู้อํานวยการโจวด้วยความลําบากใจ

 

ผู้อํานวยการโจวกลับพูดต่อ “ ญาติผู้ป่วย พวกคุณจะทําอะไรได้ สาระแบบนี้ไม่ได้นะ มันจะทําให้อาการแย่ไปกว่าเดิมนะ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณไปหานักพรตที่ไหนมา แต่พวกคุณต้องเชื่อผม ผมเป็นถึงหมอที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยไอโอวาของอเมริกาเลยนะ”

 

“ ถึงจะเป็นญาติ พวกคุณก็ต้องฟังผมผู้อํานวยการโจวคนนี้ พวกคุณทําเรื่องเหลวไหลแบบนี้ จะทําให้คนไข้ทรมานกว่าเดิม หรือแม้แต่เป็นอันตรายถึงชีวิตนะ !”

 

“ ใช่ ผู้อํานวยการโจวของพวกเราจบจากมหาวิทยาลัยไอโอวา นั่นเป็นมหาวิทยาลัยด้านการแพทย์ระดับโลกเชียวนะ !”

 

พวกหมอและพยาบาลในห้อง ต่างพูดพล่ามกันไม่หยุด แต่คนละต่างบอกให้พวกเขาหยุดทําเรื่องเหลวไหล ให้คุณนายซุนวางแก้วน้ํามนต์นั่นลงซะ

 

คุณนายซุนก็ทําอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรให้ลูกดื่มดีไหม

 

อาจารย์และคนอื่นๆที่อยู่ตรงริมหน้าต่าง ก็หยุดคุยกันเช่นกัน

 

ท่านนักพรตตู๋ดึงหน้าลง แล้วด่าขึ้นมาทันที “ หมอตะวันตก เข้าใจกับผีนะซิ บรรพบุรุษทิ้งวิชาไว้ไม่เรียน

 

ได้เรียนวิชาแพทย์ขี้หมาเข้าหน่อยก็ปีกกล้าขาแข็งโวยวายเป็นวักเป็นเวน ! คุณนายซุน ไม่ต้องสนเขา รีบให้เขาดื่มเร็วเข้า ! ”

 

ผู้อํานวยการโจวคนนี้ภูมิใจในตัวเองที่สุด แต่พอเจ้าแพทย์มหาวิทยาลัยไอโอวาอะไรนี่ โดนท่านนักพรตตู๋ด่าว่าเป็นของไร้ค่า เขาเลยอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

 

นี่เป็นการดูถูกใบปริญญาของเขา เหยียบย้ําศักดิ์ศรีของเขา และ ดูหมิ่นอํานาจทางการแพทย์ของเขา

 

บวกกับน้ํามนต์นั้น เป็นสีดําขุ่น ในสายตาคนปกติ คนปวยไม่อา จดื่มของสิ่งนี้เข้าไปได้จริงๆ

ผู้อํานวยการโจวก็ดึงหน้าลง เห็นคุณนายซุนกําลังจะให้คนไข้ดื่ม จริงๆ เขาจึงตะโกนออกมาทันที

 

“ ยังยืนมื้ออยู่ทําไม ? รีบเข้าไปห้ามพวกเขาซิ แล้วก็เรียก รปภ.มาด้วย ”

 

หลังจากพูดจบ หมอสองสามคนที่อยู่ข้างๆผู้อํานวยการโจวก็พุ่งเข้าไปทันที

 

เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้บุกเข้ามา ผมและเหล่าเฟิงก็เข้าไปขวางเอาไว้ทันที เข้ามาหนึ่งคนเราก็จะผลักออกไปหนึ่งคน

 

ช่วงเวลานั้นในห้องวุ่นวายขึ้นมาทันที มีปะทะกันอย่างต่อเนื่อง

 

แน่นอนว่า ผมและเหล่าเฟิงลงมือเบามาก เพียงแค่ผลักพวกเขาล้มไปเท่านั้น ไม่ได้ทําให้พวกเขาบาดเจ็บเลยสักคน

 

ในสังคมปัจจุบัน จะให้ทุกคนเชื่อเรื่องวิชาอาคม เชื่อเรื่องภูติผีปีศาจ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

 

ความคิดของพวกเขาไม่ใช่เรื่องผิด จุดเริ่มต้นก็ดีเช่นกัน แต่พวกเราไม่มีเวลามานั่งอธิบาย มีเพียงผลลัพธ์เท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีที่สุด

 

ย้อนกลับไปมองคุณนายซุน เมื่อเห็นพวกเราห้ามพวกหมอเอาไว้ และมีคุณนายหลงคอยช่วยและกระตุ้น

 

เธอก็ป้อนน้ํามนต์ให้ซุนเสี่ยวหลินดื่มในที่สุด

 

ผู้อํานวยการโจวคนนี้เห็นซุนเสี่ยวหลินดื่มน้ํามนต์เข้าไปแล้ว จึงโมโหควันออกหูทันที

 

“ พวก พวกคุณมันเป็นพวกงมงายไสยศาสตร์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ทางโรงพยาบาลของเรา ทางโรงพยาบาลของเราจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น !”

 

มุมปากผมกลับยกยิ้ม “ ผู้อํานวยการโจวใช่ไหม ! มีโรคบางอย่าง ที่หมออย่างพวกคุณไม่สามารถรักษาได้ น้ํามนต์ของเราจะได้ผลไหม อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง !”

 

“ น้ํามนต์ของพวกคุณ พูดแบบนี้งั้นพวกคุณก็ไม่ใช่ญาติผู้ป่วยน่ะซิ พวกคุณเป็นนักพรตงมงายพวกนั้นซินะ ? ” ผู้อํานวยการโจวทําสีหน้าสงสัย ที่นี่เขาเป็นใหญ่ แต่กลับโดนกลุ่มนักพรตของเราท้าทาย

 

และยังทําร้ายลูกน้องของเขา ทําให้เขารู้สึกหงุดหงิดมาก

 

ผมยกมือขึ้นสองข้าง “ ใช่แล้ว พวกเราเป็นนักพรต ส่วนงมงายหรือไม่ นั่นมันเป็นคําพูดของคุณ !”

 

ผมพูดแบบสบายๆ แต่ผู้อํานวยการโจวกลับจ้องพวกเราตาไม่กระพริบ “ พวกแกรอก่อนเถอะ ผมเรียกรปภ.แล้ว อีกเดี๋ยวจะเอาตัวพวกแกออกไปสถานีตํารวจให้หมด………….”

 

ผลลัพธ์เสียงของผู้อํานวยการโจวเพิ่งเงียบลง คุณซุนและ คุณนายซุนที่อยู่ข้างเตียงก็ตะโกนขึ้นมาอย่างกระทันหัน “ ตื่นแล้วตื่นแล้ว ลูกเราตื่นแล้ว !”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ทุกคนก็หันไปมอง และแล้วทุกคนก็เห็นซุนเสี่ยวหลินที่ไร้ทางเยียวยานอนหลับไหลมาโดยตลอด ได้ตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ

 

แววตาของผู้อํานวยการโจวมีแสงสว่างวาบ เผยท่าทางตกใจ

“ แม่ พ่อ ! พวก พวกพ่อแม่ร้องไห้ทําไม ? ” หลังจากตื่นขึ้นมา ซุนเสี่ยวหลินก็พูดออกมาอย่างงงๆทันที

 

เมื่อคุณซุนและคุณนายซุนได้ยินถึงตรงนี้ พวกเขาก็ตื่นเต้นมาก

 

ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงซุนเสี่ยวหลินจะตื่นขึ้นมา แต่เขาก็เหมือนคนไม่มีสติ พูดจาเพ้อเจ้อ

 

ไม่เคยตื่นมาพูดจาเป็นปกติแบบนี้มาก่อน

 

ในเวลานี้เมื่อได้ยินซุนเสี่ยวหลินพูดแบบนี้ แม้น้ําเสียงจะอ่อนแรง แต่มันก็ทําให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ดีใจมาก ส่วนพวกเราคิดว่าซุนเสี่ยวหลินต้องโดนผีตานีเล่นงานอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ แม่ แม่กําลังดีใจ ในที่สุดลูกก็ตื่นขึ้นมา !”

 

“ ใช่แล้วเจ้าลูกชาย แกตื่นขึ้นมาก็ดี ! มีนักพรตทุกท่านอยู่ แกจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”

 

“ แม่พ่อ ! นี่มันที่ไหน ? ทําไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ 2 เหมือนผมจะฝันไปนานมาก นานมากนานมาก……”

 

ซุนเสี่ยวหลินพูดต่อ

 

ผู้อํานวยการโจวที่ยืนอยู่ตรงประตู เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ คนไข้ฟื้นแล้ว นี่เป็นผลงานของโรงพยาบาลและทีมแพทย์ของเรา รีบให้ผมดูเร็วเข้า ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผู้อํานวยการโจวก็คิดจะเข้ามา

 

ผลลัพธ์คุณซุนกลับเข้าไปขวางผู้อํานวยการโจวเอาไว้ทันที “ ไสหัวออกไป ไอ้หมอลวงโลก ฉันจ่ายเงินให้ที่นี่ตั้งเท่าไหร่ พวกแกกลับบอกว่าลูกชายฉันเป็นบ้า และยังบอกว่าลูกของฉันหมดทางช่วยแล้ว

 

พวกแกเห็นแล้วใช่ไหม ? แค่ดื่มน้ํามนต์ของท่านนักพรต ลูกชายของฉันก็ตื่นแล้ว ”

 

“ ญาติผู้ป่วย เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน คุณต้องเชื่อเรา..”

 

“ บังเอิญกับผีนะซิ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ! ”

 

หลังจากพูดจบ คุณซุนก็เดินเข้าไปด้วยความโมโห ไล่ผู้อํานวยการโจวและแพทย์พยาบาลคนอื่นๆ ออกไปทันที

 

เหตุการณ์นี้ทําให้เราลําบากใจไม่น้อย มันไม่ใช่ว่าผู้อํานวยการโจวและทีมแพทย์กลุ่มนี้ไม่มีความสามารถ

 

พวกเขาสามารถทํางานในโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ได้ นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเก่งขนาดไหน

 

เพียงแต่ปัญหาคือ ซุนเสี่ยวหลินไม่ได้ป่วย แต่โดนผีดูดพลังไปก็เท่านั้น

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่หมอหรือวิชาแพทย์ธรรมดาจะรักษาได้ ดังนั้นพวกเราเลยอธิบายให้คุณซุนฟังสั้นๆ

 

บอกให้เขาไม่ต้องหัวเสียขนาดนั้น จึงบอกสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ไป

 

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ และคนอื่นก็มาอยู่ที่เตียงซุนเสี่ยวหลิน แล้วทําความเข้าใจ

 

“ อาการป่วย ” ของเขา

 

ในเวลาเดียวกันก็อยากทําความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา จะได้สะดวกต่อการวางแผนต่อไป…..

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset