ศพ – ตอนที่ 298 ดาบจักรพรรดิ

เมื่อได้ยินคุณหลงพูดถึงขนาดนี้ พวกเราสามคนก็ตกตะลึงในทันที

ดาบขององครักษ์จักรพรรดิ องครักษ์จักรพรรดิทําอะไรละ?นั่นคือคนคุ้มครองข้างกายฮ่องเต้เลยนะ

 

คนประเภทนี้ไม่เพียงต้องมีวิชาการต่อสู้สูงส่ง แต่ดาบที่พกติดตัวก็ต้องเป็นของที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย

หากดาบแบบนี้อยู่ในฝึกก็นับว่าเป็นแค่อาวุธชิ้นนึงเท่านั้นแต่เมื่อใดที่ออกจากฝักแล้วมันจะถูกขนานนามว่าอาวุธสังหารทันที

สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ คนแบบนี้กับดาบแบบนี้ อยู่รอบตัวโอรสสวรรค์ทั้งวัน

 

ในสมัยโบราณโอรสสวรรค์ถูกเรียกว่าฮ่องเต้ ชีวิตของจักรพรรดิได้รับมาจากสวรรค์ ราษฎรจึงต้องกราบไหว้กันตามความเชื่อ

 

พูดกันตามโชคชะตา คนประเภทนี้จะมีลมหายใจของมังกรติดตัววิญญาณร้ายไม่กล้าย่างกราย

ดาบเล่มนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นมาหลายปี จึงเป็นธรรมดาที่มันจะต้องมีกลิ่นอายติดมาบ้าง

ดังนั้น ชาวบ้านจึงมีการบูชาดาบหรือสร้างศาลให้ดาบประเภทนี้

 

หนึ่งในดาบที่ผู้คนนิยมตามหามากที่สุด ก็คือดาบจักรพรรดิหรีอดาบพิเศษ

 

เห็นได้ชัดว่าคุณหลงเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ซื้อดาบพิเศษมาเก็บเอาไว้ดูเล่น

เพราะก่อนหน้านี้เขาบ้าบินเกินไป ทําเสียเรื่อง ตอนนี้เพื่อรักษาชีวิตเขาจึงต้องยอมนําดาบพิเศษที่ตัวเองเก็บรักษาเอาไว้มาให้พวก

เรา

 

หนึ่งเพื่อขอโทษพวกเรา สองหวังว่าดาบพิเศษเล่มนี้จะช่วยเราให้จัดการผีตานตัวนั้นได้ง่ายกว่าเดิม

พวกเราลองดูดาบในกล่องอย่างละเอียดสองสามครั้ง ดาบมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร สะท้อนแสงแวววาว ด้านบนสลักคําว่า “ จักรพรรดิ ”เอาไว้สองคํา

ผมจับขึ้นมาวัดน้ําหนักครู่หนึ่ง ค่อนข้างหนักพอสมควรและให้สัมผัสที่เย็นด้วย

 

คุณหลงเห็นพวกเราจ้องดาบ เลยพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ท่านนักพรตเสี่ยวติงดาบจักรพรรดิเล่มนี้ผมไปประมูลมาในราคาหลายแสนถึงดาบจะดูโทรมไปบ้าง แต่ก็ผ่านการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงมาแล้ว

 

รับรองว่าเป็นของจริงแน่นอนครับ ”

“ ราคาไม่ได้ดูมีค่ามาก แต่ดาบเล่มนี้เป็นถึงจักรพรรดิเลยนะครับมีลมหายใจของมังกรติดอยู่ ผมเก็บเอาไว้ก็เป็นได้แค่ของตกแต่งเท่านั้นถ้าพวกคุณเอาไป ต้องมีโอกาสชนะผีตานีมากกว่าเดิมแน่ ! ดังนั้นได้โปรดรับเอาไว้เถอะนะครับ !”

คําพูดของคุณหลง เหมือนเห็นเงินหลักแสนเป็นของไร้ค่าแต่ดาบเล่มนี้ก็มีที่ติจริงๆนั่นแหละมันหักไปมุมหนึ่ง

 

แน่นอน ว่าเป็นอย่างที่คุณหลงพูด ดาบเล่มนี้มีลมหายใจของมังกรปนเปื้อนอยู่จริงๆ มีประโยชน์กับคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเราสิ่งที่พวกเราให้ความสําคัญก็คือจุดนี้นี่แหละ

 

แต่ผมและหยางเฉวไม่ได้สนใจดาบเล่มนี้เท่าไหร่ จึงหยิบขึ้นมาดูเล่นครู่นึ่งเท่านั้น แต่เหล่าเฟิงที่อยู่ข้างๆกลับมีแววตาส่องประกายดูท่าทางจะชอบมันมาก

ดังนั้น ผมเลยส่งดาบเล่มนี้ให้เหล่าเฟิง “ นายเอาไปดูซิ !”

 

เหล่าเฟิงรับเอาไว้ทันที เขาใช้มือลูบตัวดาบ สังเกตดูรอบๆหรือแม้แต่ดึงผมตัวเอง ออกมาลองคมดาบ

 

ส่วนผมเส้นนั้น เมื่อสัมผัสเข้ากับคมดาบก็ขาดเป็นสองท่องทัน

จากนั้นเหล่าเฟิงก็ลองเอาดาบมาเฉือนนิ้วตัวเองหยดเลือดลงบ

นดาบ

แต่เลือดหยดนั้น กลับไหลตามตัวดาบ แล้วหยดลงพื้นทันที

เมื่อเห็นภาพนี้ พวกเราก็อึ้งไปทันที

ถึงจะไม่นับว่าเป็นดาบที่สมบูรณ์ แต่เหตุการณ์ตรงหน้านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าดาบเล่นนี้เป็นดาบพิเศษ

 

ผมขาดทันที เลือดไม่เปื้อนดาบ นี่เป็นดาบพิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย

เหล่าเพิ่งทําหน้าชอบใจ ตะโกนด้วยความดีใจ “ดาบดีเป็นดาบดีจริงๆ ! คุณคิดจะยกดาบเล่มนี้ให้เราจริงๆเหรอ ?”

คุณหลงเห็นเฟิงเฉิวหานชอบ เขาเองก็ดีใจเช่นกัน “ ดาบดีต้องคู่กับวีระบุรุษขอแค่ท่านนักพรตชอบ

 

ผมยกให้แน่นอน ผมหวังแค่ว่าท่านนักพรตจะเอาดาบเล่มนี้มาช่วยปกป้องชีวิตของครอบครัวผม

ถ้าท่านนักพรตคิดว่ายังไม่พอ อย่าว่าแต่ดาบเล่มนี้เลยผมยกบ้านแบบนี้ให้คุณหนึ่งหลังก็ยังได้ ! ”

ถนนเส้นนี้ บ้านแบบนี้ ถ้าไม่มีเงินแปดเก้าล้านก็เลิกคิดไปได้เลย

แต่พวกเราก็ไม่ได้มีความคิดแบบนั้น และไม่ได้โลภขนาดนั้นด้วย

ดังนั้น พวกเราและคุณหลงเลยเข้าใจตรงกัน

ขอแค่พวกเราจัดการผีตานีได้ ปกป้องครอบครัวของเขา

ดาบเล่มนี้พร้อมหลักฐานการประมูล และยังมีหนังสือครอบครองตามกฎหมายเขาก็จะยกให้เหล่าเฟิงทั้งหมด

 

พวกเราคิดว่า การได้ดาบจักรพรรดิมาครอง ไม่เพียงทําให้มีอาวุธที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น

แต่ยังมีกําลังรบเพิ่มขึ้นอีกด้วย

แต่หากกลับไปมองในมุมของครอบครัวสกุลหลง สําหรับพวกเขาในบ้านหลังนี้ ดาบเล่มนี้ก็เป็นเพียงแค่ของตกแต่งเท่านั้น ราคาก็แค่ไม่กี่แสนหยวนน้อยกว่าภาพวาดที่แขวนอยู่ในบ้านเขา หรือ พวกแจกันราคาแพงด้วยซ้ํา

สามารถใช้ชีวิตแลกกับมันได้ พวกเขาไม่ต้องคิดเลยสักนิดยินดีซะยิ่งกว่าอะไร หรือแม้แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบพวกเราด้วยซ้ํา

 

แต่สําหรับคนที่รักดาบอย่างเหล่าเฟิง คุณค่าที่มีกลับไม่เหมือนกันอาวุธที่มีประโยชน์ชิ้นหนึ่ง ไม่อาจใช้เงินวัดค่าได้

 

เพราะในสายงานของพวกเรา ต้องเดินอยู่บนคมดาบไม่รู้ว่าจะตายตอนไหนดังนั้นอาวุธที่มีประโยชน์ชิ้นหนึ่งสามารถเทียบได้กับ

ชีวิต

เหล่าเฟิงจับดาบเล่มนี้ไม่ยอมปล่อย แถมยังลองกวัดแกว่งดาบสองสามครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันทรงพลังมาก

ดูท่าทางเข้าท่าเลยทีเดียว ขณะเดียวกันเขาก็ชมว่าดาบดีไม่หยุดจะเห็นได้ว่าตอนนี้เขากําลังตื่นเต้นมากแค่ไหน

ตอนนี้ดีกมากแล้ว หลังเก็บดาบเล่มนี้เสร็จ เราก็บอกให้ครอบครัวหลงกลับไปนอนพักที่ห้อง

พ่อแม่ลูกสกุลหลงสามคนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อพวกเขาจึงพยักหน้ารับทันทีจากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบน

 

พอครอบครัวหลงไปแล้ว ผมก็โทรหาพวกอาจารย์อีกครั้งแต่กลับติดต่อไม่ได้ดูท่าคงต้องโทรใหม่อีกทีในวันพรุ่งนี้แล้ว

พวกเราสามคนนั่งอยู่ในห้องรับแขกวิเคราะห์เรื่องผีตานีสั้นๆหลังจากนั้นก็เอนตัวนอนหลับบนโซฟาครึ่งคืน

 

ตอนผมลืมตาขึ้นมาอีกที เสียงโทรศัพท์ก็ปลุกให้ผมตื่นเต็มตา

เมื่อเห็นอาจารย์โทรมา ผมก็ไม่ลังเลแต่อย่างใดกดรับสายทันที

“ เสี่ยวฝาน เมื่อคืนแกโทรมาหาฉันเหรอ ? เกิดอะไรขึ้น ? ” อาจารย์ถามผมตรงๆ

ผมก็รีบดีดตัวนั่งทันที “ อาจารย์ เกิดเรื่องแล้วยัยผีนั่นรู้ทันเรา

แล้ว………..”

“ อะไรนะ ? รู้ทันแล้ว ? ” อาจารย์พูดด้วยความตกใจ

ผมเองก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าเหตุการณ์ที่คุณหลงและภรรยาบุกเข้ามากลางดึกทําเสียเรื่อง จนถึงตอนที่ผีตานีวนกลับมารู้ความจริงให้อาจารย์ฟังรอบหนึ่ง

อาจารย์ก็ด่าคุณหลงและภรรยาว่าปัญญาอ่อนในโทรศัพท์แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจึงทําอะไรไม่ได้อีก

ได้แต่ยึดตามสิ่งที่คุยกันเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ทําตามแผนสอง

 

ต่อจากนั้น ผมก็ถามอาจารย์ว่าสถานการณ์ของฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง

ผลลัพธ์อาจารย์ก็ถอนหายใจ บอกว่าเมื่อคืนพวกเขาก็ทําพลาดเหมือนกัน

แม้จะไม่โดนจับได้ แต่คิดจะใช้ผงชาดเล่นงานอีกฝ่าย ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะอีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว

 

อาจารย์บอกให้ฝั่งพวกเราเตรียมตัวให้ดี บอกว่าเราจะไปออกรบกันคืนนี้จะไปที่ปากล้วยทางตะวันออก

ทําให้พวกผีตานี้ได้เห็นฤทธิ์เราบ้าง

หลังฟังคําแนะนําจากอาจารย์เสร็จ ผมก็พยักหน้ารัวๆ จากนั้นก็นัดกันเรื่องเวลาและสถานที่

พอวางโทรศัพท์แล้ว ผมก็นําคําพูดของอาจารย์ไปบอกกับเหล่าเฟิงและหยางเนิ่ว

 

เหล่าเฟิงสงบมาก เขาเพียงหยักหน้าเล็กน้อย

 

แต่หยางเฉ่วกลับกําหมัด ท่าทางตื่นเต้นมาก บอกว่าสู้กับผีร้ายจนเบื่อแล้วได้เวลาออกไปเปลี่ยนรสชาติพอดี

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราพักอยู่ในบ้านคุณหลงชั่วคราว ในเวลาเดียวกันก็อธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง

เมื่อพวกเขาได้ยินว่าคืนนี้เราจะไปสู้เสี่ยงชีวิตกับพวกผีตานีพวกเขาก็กังวลมากแต่ก็ยังให้กําลังใจพวกเรา

ตอนบ่ายพวกเราหลับกันยาวๆ ทําตัวให้พร้อมรับศึก หลังทานอาหารเย็นเสร็จก็ถึงเวลาออกเดินทางพอดี

เพราะปากล้วยทางตะวันออกหารถไปได้ยาก คุณหลงและหลงอ่าวเทียนเลยขับรถไปส่งพวกเราด้วยตัวเอง

เดินทางไปทางตะวันออก ก็จะถึงปากล้วยแล้ว และพวกอาจารย์ก็รอเราอยู่ที่ชายปา

พอบอกลาครอบครัวหลงแล้ว เราก็ผ่านก่อหญ้าไปทางทิศตะวันออก

เดินมาได้ประมาณสิบนาที ผมก็เห็นอาจารย์ท่านนักพรตต์และเหล่าฉินจากที่ไกลๆ

ตอนนี้พวกเขากําลังยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งพวกเราเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปหาพวกเขาทันที

จากนั้นพวกเราก็ทักทายพวกเขาที่ละคนๆ ขณะเดียวกันตาเฒ่าทั้งสามคนพยักหน้าตอบรับเรา

หลังจากนั้นเราก็ได้ยินอาจารย์ผมพูดว่า “ ในเมื่อมาครบแล้วงั้นพวกเราก็เข้าไปกันเถอะ !”

พอพูดจบ เขาก็เหลือบมองไปยังปากล้วยรกทึบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก………….

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset