ศพ – ตอนที่ 30 ศพเปลี่ยนแปลง

เสียงแมวทั้งดัง และแหลมมาก ยิ่งสะท้อนกับห้องก็ทำให้แสบหูเข้าไปใหญ่

แมวป่าที่อยู่บนโลง ก้มลงกรีดร้องใส่ศพ ข้อห้ามข้อนี้ถูกมันทำลายลงแล้ว

ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น ใจของผมเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง

 

เพราะผลที่ตามมาของเรื่องนี้ สามารถทำให้ศพเปลี่ยนแปลงได้

เมื่อผมและเฟิงเฉ่วหานได้ยินเสียงร้องของแมว ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง มันทำให้พวกเรากระวนกระวายจนแทบเป็นบ้า

 

“ไปตายซะแมวบ้า รีบออกไป!” ผมตะโกน

แต่พูดแล้วก็แปลก หลังจากแมวตัวนั้นร้องเสร็จ มันก็หมุนกลับและกระโดดลง จากนั้นก็รีบเดินออกไปจากบ้านทันที

 

เมื่อเห็นแมวเดินออกไป พวกเรากลับมีความรู้สึกไม่สบายใจ

แต่ศพผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานจึงชั่งหัวมันและหันกลับมามองในโลงอีกครั้ง

 

หลังจากหันมา ประสาทของผมทั้งสองคนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

พระเจ้า เมื่อกี้ตาของศพพึ่งปิดเอง บ้าเอ้ยตอนนี้กลับลืมตาอีกแล้วงั้นเหรอ

และครั้งนี้ยังต่างจากครั้งก่อน เพราะที่ด้านข้างของตาศพ มีเส้นเลือดปูดขึ้นมา และยังพาเลือดสีแดงให้ลอยเด็ดชัดออกมาด้วย

ยังไม่หมดแค่นี้ ขณะที่พวกเรากำลังจ้องมองศพ ท่ามกลางสภาพจิตใจที่หวาดกลัว สติของพวกเราจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

จู่ๆน้ำหยดนึง ก็หยดลงมาจากข้างบน แถมมันหยดลงตรงกลางหน้าผากของศพพอดี

“แปะ” น้ำหยดนั้นหยดลงบนหน้าผากของศพทันที

แต่ขณะที่ฉากนี้เกิดขึ้น ในหัวของผมและเฟิงเฉ่วหานก็มีเสียงดัง “ตูม”

ทันใดนั้นก็มีคำสองคำปรากฎขึ้น “จบกัน!”

 

เมื่อกี้มัวแต่สนใจเจ้าแมวป่านั้น จนลืมเรื่องน้ำแข็งบนหัวที่มีพลังอันชั่วร้ายไปซะสนิท

เมื่อน้ำชั่วร้ายหยดนั้นหยดลงบนหน้าผากของศพ มันก็ดูเหมือนว่าศพได้น้ำยาอะไรสักอย่างที่ทำให้เกิดการกระตุ้น

 

วินาทีนั้นม่านตาของศพ หดเล็กลงทันที ไม่เพียงเท่านั้นมันยังหันมามองผมและเฟิงเฉ่วหาน มือคู่นั้นที่วางอยู่บนหน้าท้อง เริ่มสั่นเล็กน้อย

 

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ใจของผมสองคนก็ตกตะลึง จนผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“แย่แล้ว! ศพเปลี่ยนไป!” ผมตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

แม้ว่าตัวผมจะยังไม่เคยเห็นผีดิบจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เคยเล่าให้ฟัง ดังนั้นเลยได้ยินเรื่องผีดิบมาบ้าง

ม่านตาของศพจะขยับได้อย่างไร สาเหตุมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมันกลายเป็นผีดิบแล้ว

วินาทีนั้นศพของคุณหนูเหวิน ได้กลายเป็นผีดิบไปแล้ว

 

เสียงพึ่งจางหาย ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เห็นมือข้างหนึ่งที่ขาวซีด กำลังยกขึ้นมาจากโลง

เล็บที่เรียวแหลม ของมือที่ขาวซีด กลับมีขนสีขาวงอกออกมา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็รู้สึกขนลุก พร้อมกับยังรู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลัง

“ติงฝาน เธอกำลังลุกแล้ว นายรีบใช้ฝาโลงปิดเธอไว้เร็ว ฉันจะไปหยิบข้าวและด้ายดำมา!”

 

ใจของผมรู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่แสดงทีท่าร้อนรนออกมา

ผมรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามายืนกลัว ผมต้องคิดหาวิธีหยุดศพของเธอให้ได้ซะก่อน

ถ้าให้ศพของเธอออกมาจากโลงได้ ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะแน่

ผมไม่สนใจมากนัก รีบพูด “อือ” จากนั้นผมก็จับที่ฝาโลง และดันมันให้ปิดลงทันที

 

ขณะนั้นมีเสียงดัง “ปัง” มือของศพที่ยื่นออกมาได้ถูกฝาโลงปิดทับไว้จนหมด

แต่ผ่านไปแค่เสี้ยวนาที ผมก็ได้ยินเสียงแหบดังขึ้น

เสียงแหบมาก ราวกับมันฉีกขาด ดูเหมือนทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแหบๆแบบนี้ มันล้วนเป็นเสียงหายใจครั้งสุดท้ายของคนตาย

เสียงผีดิบที่แหบแห้ง ผมเคยได้ยินมาเท่านั้น เมื่อตอนนี้ได้ยินจริงๆ ผมกลับรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว

แม้ว่ามือสองข้างของผีดิบจะถูกฝาโลงปิดเอาไว้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเธอกำลังขยับ อยากจะเปิดฝาโลงออก

เนื่องจากพลังอันมหาศาล จึงทำให้ผมรั้งต่อไปไม่ไหว เท้าสองข้างเริ่มลื่นไหล ร่างกายเริ่มขยับถอยหลังไปทีละนิด

 

และฝาโลง ก็เริ่มเปิดออกเรื่อยๆ

เพียงเวลาแค่แป๊บเดียวฝาโลงก็ถูกเปิดออกจนเกือบหมด ถ้าถูกเปิดอีกนิด ผีดิบที่อยู่ข้างในจะต้องออกมาแน่

ตอนนี้หัวของผมเต็มไปด้วยเหงื่อ “เฟิงเฉ่วหาน ได้มารึยัง! ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ”

ผมพยายามพูดออกมา ส่วนเฟิงเฉ่วหานก็รีบหาของในกระเป๋า

“ได้แล้วได้แล้ว มาแล้ว!”

ขณะที่พูด เฟิงเฉ่วหานก็รีบถือกระเป๋าพุ่งมาทันที เขาหยิบข้าวและด้ายดำออกมาจากกระเป๋า หลังจากเล็งตำแหน่งที่จะโยนเสร็จ

ทันใดนั้นเสียง “ซ่าซ่าซ่า!” ของเมล็ดข้าวก็ดังขึ้น ส่วนในโลงก็กรีดร้องออกมา “อร๊าย!”

 

เสียงต่ำและแหบมาก เมื่อได้ยินแล้วคุณจะรู้สึกอึดอัดทันที

แต่หลังจากเสียงกรีดร้องดังขึ้น มือที่ใช้ดันโลงศพ ก็หยุดไปในทันที

เมื่อผมเห็นโอกาส จึงดันฝาโลง ให้กลับไปปิดสนิทอีกครั้ง

เฟิงเฉ่วหานรีบเข้ามาทันที ดึงด้ายดำออก จากนั้นก็เริ่มพันโลงศพทันที

“ติงฝาน นายกดเอาไว้นะ ตอนนี้ฉันจะใช้ด้ายพันรอบๆโลงศพ!” เฟิงเฉ่วหานเครียดมาก เขารีบพูดด้วยความรวดเร็ว

รู้จักเขามานานขนาดนี้ บวกกับคำพูดเมื่อก่อนหน้านี้ และยังมีการพูดคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

ผมจึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป รีบกดฝาโลงเอาไว้ทันที

 

เฟิงเฉ่วหานเองก็รีบใช้ด้ายดำพันโลงอย่างรวดเร็ว รอบแล้วรอบเล่า เพียงชั่วพริบตาโลงศพก็ถูกพันถึงสิบกว่าชั้น

แม้ว่าด้ายดำจะเป็นอุปกรณ์ของช่างไม้ แต่มันก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่หมอผีใช้ เป็นอาวุธที่ใช้ในการปราบพลังชั่วร้ายของศพ

 

ผลลัพธ์นั้นออกมาชัดเจน แม้มันจะแสนเรียบง่าย  แต่ก็ได้ผลอย่างชัดเจน

เมื่อก่อนได้ยินมาว่า ด้ายดำเคยถูกปลุกเสกโดยท่านลู่ปาน(บิดาช่างก่อสร้างของจีน) ดังนั้นมันจึงสามารถปราบศพได้

แต่เรื่องจะเป็นอย่างที่ว่าไหมนั้น ก็ยังไม่มีใครทราบได้

 

แต่ตอนนี้พวกเราสามารถวางใจได้แล้ว คงต้องขอบคุณของเล่นชิ้นนี้จริงๆ

หลังจากผีดิบที่อยู่ในโลงร้องออกมาสองสามครั้ง เสียงของมันก็หยุดดัง เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์จากข้าวนั้นล้มเหลว

 

จากนั้น พวกเราก็ได้ยินเสียง “อี๊ด…” ดังออกมาจากข้างในโลง

เสียงนั้นฟังดูเหมือนกับเสียงของเล็บที่กำลังขูดกับไม้ มันเป็นเสียงที่แสบแก้วหูมาก

ผมคิดว่าแค่ทำแบบนี้เรื่องก็จะจบลง ของที่อยู่ด้านในน่าจะถูกปราบลงซะที แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้

ในโลงกลับมีเสียงดัง “ตุบตุบตุบ”  ดังขึ้นมาอีกครั้ง โลงศพเริ่มสั่นอย่างรุนแรง

 

ใจของผมเต้นแรงในทันที รีบกดฝาโลงเอาไว้

แต่ก็พบว่าผมกดมันไม่ไหว ดังนั้นตัวผมจึงปีนขึ้นไปด้านบน

“เฟิงเฉ่วหาน พันตั้งหลายรอบแล้ว เจ้านี้ยังมีพลังเยอะอยู่เลย ฉันว่าอีกเดี๋ยวมันต้องขาดแน่!” ขณะที่ผมกำลังทับฝาโลงเอาไว้ ผมก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานไปด้วย

เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ชักช้า พูด “เออ” ออกมาคำเดียวและทำต่อไปทันที

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆพลังที่มหาศาลก็ถูกพลักออกมาจากโลง “ปัง”

มันกระแทกเข้าใส่ฝาโลงทันที และตัดด้ายดำที่พันอยู่รอบๆฝาโลงทันที แม้แต่ตัวคนเอง ก็ยังกระเด็นออกไปด้วย

แม้แต่เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆ ยังตกใจ จนต้องผงะออกไปด้านหลังทันที

 

ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บที่หลัง ตัวของผมหล่นกระแทกลงกับพื้น

ส่วนฝาโลงก็กระเด็นมาตกที่ข้างๆผม โชคดีที่มันไม่ได้หล่นมาทับตัวผม ไม่อยากนั้นผมคงตายจากการถูกทับแน่

 

แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญคือศพที่นอนอยู่ในโลงนั้นต่างหาก ทันใดนั้นเสียง “ฟิ้ว” ก็ดังขึ้น

เท้าทั้งสองข้างเตะโลงกระเด็นดัง “ปัง”

เมื่อมองไปที่ศพของคุณหนูเหวิน รูปร่างหน้าตาที่งดงามเมื่อก่อนหน้านี้ถูกลบหายไปจนหมด

ตอนนี้ ศพของเธอได้เปลี่ยนเป็นผีดิบอย่างสมบูรณ์

ศพมีกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งกระจายออกมา ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกหดหู่มาก

 

ใบหน้า มีขนสีขาวๆงอกออกมาเยอะมาก บริเวณดวงตา ยังมีเส้นเลือดสีแดงและดำปูดออกมาจนเห็นได้ชัด

ดวงตายังเปลี่ยนเป็นสีขาวโพน ที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา

มันค่อยๆอ้าปากอย่างช้าๆ เผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคม เสียงลมหายใจที่อ่อนแรงและพ่นควันสีขาวออกมา

จมูกกระตุกอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนกำลังสูดกลิ่นอายของคนที่กำลังหายใจอยู่ในอากาศ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset