ศพ – ตอนที่ 302 รุมโจมตีผีตานี

ศพ

ตอนที่ 302 รุมโจมตีผีตานี

ผมไม่เคยรับมือกับปีศาจมาก่อน อย่างมากก็เคยเจอกับปูหลิ่วเมื่อครั้งที่แล้ว

 

แต่เราก็แค่เจอหน้ากัน หลังจากนั้นผมก็ใช้กล่องที่มู่หลงเหยียนให้มา เรียกนางพญาจิ้งจอกออกมา ทําให้เรื่องจบลงอย่างรวดเร็ว

 

ตอนนี้ต้องมาต่อสู้กับผีตานี และอีกฝ่ายยังมีพลังที่ไม่ธรรมดาด้วย

เหมือนกับการต่อสู้ของมนุษย์กับสัตว์ร้าย ทําให้ผมรู้สึกใจสั่นไม่น้อย

แต่เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่กัดฟันเข้าไปต่อสู้เท่านั้น

 

แม้จะรับรู้ถึงแรงกดดันจากพลังปีศาจที่มหาศาล แต่เราก็ไม่คิดจะถอยเลยสักก้าว

หลังจากนั้นก็ได้ยินแค่เสียงผมพูดกับเหล่าเฟิงและหยางเฉีวว่า “ ลุย ! ”

 

พอพูดจบ ผมก็กําดาบไม้เข้าไปปะทะคนแรก

 

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วก็ไม่รอช้า ตามขึ้นมาติดๆ

ผีตานีตรงหน้า มีพลังปิศาจมหาศาล ดุร้ายจนหน้าตกใจ

 

เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าผีตัวเมื่อกี้มาก ตอนเข้าใกล้อีกฝ่าย จู่ๆผีตานีตนนั้นก็คํารามออกมา

พร้อมร้างกรงเล็บมาทางผมอย่างรวดเร็ว

 

กรงเล็บพวกนั้นคมมาก เหมือนดาบดีๆเล่มหนึ่ง ถ้าโดนเข้าไปเบาหน่อยก็อาจเป็นแผลนิดหน่อย

แต่ถ้าหนักหน่อยก็อาจแทงไส้ทะลัก

 

ผมไม่กล้าประมาท เคลื่อนพลังไปทั่วร่างทันที

 

ดาบไม้ในมือ เข้าไปต้านอย่างรวดเร็ว

 

“ ปัง ” ทันใดนั้นเองพละกําลังมหาศาลก็ซัดเข้ามา ง่ามมือผมชา และเจ็บแขนทันที

โชคดีที่เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วเข้ามารับมือได้ทันเวลา พวกเขาต่างออกมาปรากฏตัวขนาบข้างผม

 

และช่วยคลายความกดดันให้ผม

 

ดาบจักพรรดิในมือเหล่าเฟิง พอฟาดฟันลงไป ก็เปล่งแสงเยือกเย็นออกมาทันที ตอนนี้มันกําลังชี้ไปที่แขนของผีตานี

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง หยางเฉ้วก็เข้ามาอย่างรวดเร็ว เธอแทงไปที่หน้าอกของผีตานี

 

ผีตานีตนนี้ก็รับมือไม่ไหว เมื่อเห็นเหล่าเฟิงและหยางเฉ่วลงมือพร้อมกัน เธอก็เขย่งเท้าถอยไปด้านหลัง

 

เพื่อสร้างระยะห่างทันที

 

แต่มันยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ มันเป็นเหมือนสัตว์สี่เท้าตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็พุ่งเข้ามาเราอีกรอบ

 

การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเร็วมาก ให้เวลาตอบสนองกับพวกเราน้อยมาก

ม่านตาผมหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ผมไม่สนแขนที่กําลังเจ็บอยู่ กําดาบไม้แน่น แล้วเข้าไปสู้กับผีตานีตนนี้ทันที

เหล่าเฟิงและหยางเนิ้วก็ไม่กล้าชักช้าและประมาท พวกเราเองก็ยกอาวุธในมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผีตานี้ตนนี้เหมือนคนบ้าไม่มีผิด คําราม “ โฮกโฮกโฮก” ออกมาไม่หยุด กรงเล็บกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่อง พละกําลังมหาศาล และยังยื่นปากเข้ามากัดพวกเราเป็นครั้งคราว

 

ถ้าพวกเราแข่งพลังกับอีกฝ่าย เราไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน

 

แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้ มู่หลงเหยียนได้สอนเพลงดาบให้ผม ผมเลยมีวิธีโจมตีมากกว่าเดิม

 

ไม่อย่างนั้นด้วยวิธีต่อสู้แบบข้างถนนจะไปสู้กับผีตานีตนนี้ได้ยังไง คงไม่ถึงสามกระบวนท่า ผมก็คงโดนกรงเล็บของอีกฝ่ายเข้าแล้ว

ห่างออกไป ตอนแรกพวกอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ ยังคิดว่าเราสามคนสู้กับผีตานีตนนี้ไม่ไหว

 

จึงพยายามวิ่งมาทางพวกเรา คิดจะมารวมตัวกับพวกเรา เพื่อช่วยลงแรงกดดันให้เรา

แต่ตอนนี้ดูเหมือนการรวมพลังของเราทั้งสามคนจะไม่เพียงเข้ากันได้ดี แต่ยังป้องกันตัวจากอีกฝ่ายได้อีกด้วย

 

ถึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ท่าทางของพวกเรา ก็น่าจะรับมือกับอีกฝ่ายได้สักสิบยี่สิบนาที

 

พออาจารย์และท่านนักพรตตู๋เห็นว่าพวกเรารับมือได้ ก็ถอนหายใจออกมาทันที

 

ในเวลาเดียวกันเราก็ได้ยินอาจารย์ตะโกนมาทางพวกเรา “ พวกแกต้านเอาไว้ก่อนนะ อย่าทําให้ตัวเองบาดเจ็บละ เราจัดการเดรัจฉานตัวนี้เสร็จแล้ว จะรีบไปช่วยทันที! ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ตวัดดาบ และขานกลับเสียงดัง “ วางใจได้อาจารย์ พวกเราไม่เป็นอะไร ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็สู้กับผีตานีตรงหน้าต่อ พวกอาจารย์ก็สู้กับผีตานีที่แข็งแกร่งที่สุดตนนั้นอย่างสุดกําลัง

แม้ผีตานีตรงหน้าจะดุร้ายมาก และยังได้เปรียบพวกเรา แต่คิดจะจัดการพวกเราในเวลาสั้นๆ หรือฆ่าพวกเราทิ้งซะ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้น

 

การร่วมมือของเราสามคนยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะเกิดเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตแล้ว ผีตานีตนนี้ก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเราได้ในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

 

หรือแม้แต่เราอาจเป็นฝ่ายกลับมาได้เปรียบก็ได้ เนื่องจากสิ่งที่พวกร้ายกาจที่สุด ยังเป็นการใช้ยันต์โจมตีอยู่

 

หากปล่อยให้พวกเราเข้าไปใกล้ เราก็สามารถใช้ยันต์ ทําให้ผีตานี้เห็นฤทธิ์ของพวกเราได้

 

แน่นอนว่าเทียบผีตานีตรงหน้ากับผีตนก่อนไม่ได้ การที่พวกเราคิดจะใช้ “ ยันต์สามประสาน ” โจมตีอีกฝ่ายเป็นเรื่องยากมาก

ทําได้เพียงแค่รอดูโอกาส ว่าจะสามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ไหม….

 

เรื่องก็เป็นแบบนี้ พวกเราสู้กับอีกฝ่ายมาเรื่อยๆ

 

ยิ่งนานขึ้นเท่าไหร่ เราก็พบว่ายิ่งสู้ได้ลําบากมากขึ้นเท่านั้น

 

เหมือนผีตานีตนนี้มีพลังที่ใช้ไม่หมด ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้กําลังรบของเธอไม่ได้ลดลงเลยสักนิด

แต่พวกเรากลับเริ่มหอบหายใจแล้ว

 

ถ้ายึดตามสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อไปพวกเราจะไม่เพียงต้านไม่อยู่ แต่อาจถึงขั้นตายคามือยัยนี่อีกด้วย

 

ส่วนฝั่งของพวกอาจารย์ ก็สู้กันอย่างดุเดือด รุกรับกันไปมา ใครจะแพ้ใครจะชนะ ยังไม่อาจบอกได้จริงๆ

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท่าทีของผมก็อดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไม่ได้

 

ผมคิดว่าจะเชิญปหลิ่วมาสถิตร่าง หรือจะเรียกมู่หลงเหยียนให้มาช่วยตี

ขอแค่หนึ่งในสองตนนี้ปรากฏตัว ก็ต้องผลิกสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน จากนั้นก็ต้องจัดการปีศาจสองตนนี้ได้ชัวร์

 

หลังความคิดนี้ผุดขึ้นมา เสี้ยววินาทีต่อมามันก็โดนผมปฏิเสธอีก ครั้ง

 

เพราะผมอยากจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม อยากทําให้พลังของตัวเองพัฒนาเร็วขึ้นกว่าเดิม จะได้ช่วยมู่หลงเหยียนกวาดล้างองค์กรตาผีได้เร็วๆ

 

ถ้าอยากทําเรื่องพวกนี้ให้ได้ ผมก็ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทําให้ตัวเองได้สัมผัสกับอันตราย

ต้องให้ตัวเองเผชิญหน้ากับอันตราย ให้ตัวเองได้เติบโตขึ้นจากอันตรายเหล่านั้น

มีเพียงทางนี้เท่านั้น ผมถึงจะเติบโตได้อย่างแท้จริง และแข็งแกร่งขึ้นมาจริงๆ

 

ตอนนี้เรากําลังสู้ได้ลําบากก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่สู้ไม่ไหว

ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่เนิ่นๆ เรียกให้คนอื่นมาช่วย งั้นความตั้งใจของตัวเองก็คงต้องสั่นไหวแล้ว

 

ยังจะพูดถึงการฝึกอะไร ? จะพูดถึงพลังอะไรได้อีก

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็บ่นพึมพําออกมาว่า ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลานั้น เรายังมีโอกาสอยู่

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ผมก็กัดฟันอย่างแรง กระแสความร้อนไหลมากระทบกันที่หน้าผาก

 

เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน ผมกลับมามีแรงอีกครั้ง

กําดาบไม้แน่น แล้วพุ่งเข้าไปหาศัตรูทันที “ ไปตายซะ !”

ผีตานีตนนั้นสังหารพวกเราไม่ได้ซะที เธอก็เลยรู้สึกหงุดหงิดมาก

 

เมื่อเห็นผมพุ่งเข้ามาพร้อมดาบ เธอก็ลงมือใส่ผมรัวๆ

 

ผมใช้เพลงดาบที่มู่หลงเหยียนสอน ต้านอีกฝ่ายเจ็ดแปดกระบวนท่า

 

แต่พละกําลังของผีตานีตนนี้อยู่เหนือเราจริงๆ พอเห็นผมคนเดียวรับมือเธอได้หลายครั้งแบบนั้น

เธอก็โมโหมาก คําราม “ โฮก ” ขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

วินาทีนั้น พลังปีศาจที่ทรงพลังจนน่าตกใจ ก็กลายเป็นลมกระโชกแรง และมีกําลังที่มหาศาล

 

มันซัดผมปลิวออกไปทันที

“ ปัง” ตัวผมโดนคลื่นพลังปีศาจนั้นซัดไปไกลกว่าสามเมตร

ผมรู้สึกได้เพียงเหมือนตัวกําลังจะแตก ร้อนวูบที่หน้าอก

ขณะกําลังจะลุกขึ้น “ อัก” ผมก็จะกระอักเลือดออกมาทันที

 

“ ติงฝาน ! ” หยางเนิ้วตกใจ

หลังจากเช็ดปากแล้ว ผมก็ค่อยๆลุกขึ้น “ ฉัน ฉันไม่เป็นอะไร !

เหล่าเฟิงเห็นผมลุกขึ้น เลยมองผมแวบหนึ่ง

เมื่อเห็นผมเอามือกุมหน้าอก มุมปากมีคราบเลือด เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นก็ตะคอกออกมาทันที “ ปีศาจชั่วสมควรตาย !

 

พอพูดจบ เหล่าเฟิงก็หมุนตัว เขาเหี้ยมกว่าเดิม เค้นเสียงดัง ฮี ใส่ผีตานี “ เดรัจฉาน ! 

ขณะพูด เขาก็กําดาบเข้าไปโจมตีสู้กับผีตานีอย่างสุดชีวิต

 

ผีตานีตนนั้นสู้กับพวกเรามานาน เธอกตาแดงทั้งสองข้าง และโหดเหี้ยมขึ้นเช่นกัน

ระเบิดพลังปีศาจทั่วร่าง ยกกรงเล็บขึ้น ทันใดนั้นใบมีดที่คมกริบดุจสายฟ้าก็ฟาดลงมาบดขยี้เหล่าเฟิง..

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset