ศพ – ตอนที่ 305 ร้องขอความเมตตา

ศพ ตอนที่ 305 ร้องขอความเมตตา

ตอนที่ 305 ร้องขอความเมตตา

อความเมตตา

พอเห็นฉากตรงหน้า หน้าตรึงเครียดของผม ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขทันที

 

และในท่ามกลางกลุ่มควันเหล่านั้น ลําแสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมา แล้วลอยเข้าไปในป่าทันที

นั่นเป็นร่างเดิมของผีตานี ตอนนี้เธอกําลังจะกลับไปที่ต้นของเธอ

ผมจําทิศทางเอาไว้ เพราะอีกเดี๋ยวเราจะตามไปทําลายเหง้าของเธอ

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ทีมเราต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ในที่สุดก็สามารถขจัดภัยร้ายได้สักที

 

สําหรับเรื่องหลังจากนี้ ก็ต้องบอกว่า เหมือนถั่วงอกต้นเล็กๆเหลือแค่เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆแล้ว ไม่จําเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาล และไม่มีอันตรายอะไรมากนัก เพียงแค่ต้องใช้เวลาหน่อยก็เท่านั้น

เมื่อคิดได้อย่างนี้ ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย ในที่สุดก็จัดการผีตานีทั้งสามตนได้สักที

 

เมื่อหันกลับมามองหน้าทุกคน ผมก็เห็นแต่ละคนกําลังหายใจหอบเหนื่อย

หยางเนิ่วลงไปนั่งก้มจ้ำเบ้า ผมยุ่ง หน้าเลอะดินโคลนนิดหน่อย นั่งแบบไม่ห่วงสวยเลยสักนิด

หยางเนิ้วเห็นผมมองเธอ เธอก็เลยถลึงตากลับทันที “ มองอะไรฮะ? ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรือไง! ”

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ผมก็ทําหน้าลําบากใจ และฉีกยิ้มอัมแสนขมขื่นออกมาทันที

 

แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ สวนอาจารย์และคนอื่นๆต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ตัวท่านนักพรตตู้ เดินออกไปอีกทางด้านหนึ่ง

ผมกวาดสายตามองรอบๆ พบว่าเหล่าเฟิงนอนอยู่ไม่ไกล

 

จึงไม่สนอะไรทั้งสิ้น รีบเดินไปหาทันที

 

ตอนมาถึงตรงหน้าเหล่าเฟิง ผมพบว่าเขายังสลบอยู่ แถมสีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ท่านนักพรตตู้กำลังหยิกตัวเขา จากนั้นก็หยิบยาสมุนไพรที่พักติดตัวมาให้เหล่าเฟิงกินเข้าไป

 

“ ท่านลุงตู้ เหล่าเฟิงสุดไอปีศาจเข้าไปบวกกับเมื่อกี้ใช้พลังเยอะเกินไป……”

 

“ อือ ! เมื่อกี้ข้าให้เขากินยาสงบใจแล้ว พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ! ”

ผลลัพธ์เสียงของท่านนักพรตตู้เพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนแรง

“ อา-อาจารย์! ”

 

“ อือ ข้าเอง ฟื้นมาได้ก็ดี! ” ท่านนักพรตตู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย

 

“ จัดการ จัดการผีตานี้ได้หรือยัง? ” เหล่าเฟิงยังกังวลเรื่องผีตา

 

“ วางใจได้ จัดการร่างปีศาจเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวเราจะไปทําลายเหง้าของมัน แกพักผ่อนก่อนเถอะ! ”

ท่านนักพรตตู้พูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

เหล่าเฟิงพยายามโคจรพลัง เขามีใจแต่ไม่มีแรง จึงได้แต่กวาดตามองรอบๆ

พอเห็นพวกเราทุกคนอยู่ครบ เขาก็พยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

ต่อจากนั้น ผมและท่านนักพรตต์ก็ประคองเหล่าเฟิงไปนั่งพิงต้นกล้วย

ในเวลาเดียวกันก็บอกให้หยางเนิ่วคอยอยู่ดูแลเหล่าเฟิงที่นี่ ส่วนพวกเราก็เริ่มเดินเข้าไปในส่วนลึกของป่ากล้วย เตรียมตัดรากถอนโคนผีตานี กําจัดผีตานีอีกสองตนให้สิ้นซาก จะได้หยุดภัยร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

จากทิศทางที่ปีศาจหนีไป พวกเราล็อคทิศทางส่วนใหญ่ได้แล้ว ตอนนี้กําลังหาที่ละต้น

แม้ที่นี่จะมีต้นกล้วยเยอะมาก แต่คิดจะหาต้นกล้วยของผีตานีสองตนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้น

 

เพราะปีศาจสองตนนี้บรรลุแล้ว ต้นกล้วยที่สถิตอยู่จะใหญ่เป็นพิเศษ และภายในระยะห้าเมตรนั้น

ก็แทบจะไม่มีหญ้าขึ้นเลย

แม้แต่ดอกไม้และต้นกล้วยต้นอื่นก็แห้งตายกันหมด

 

ดังนั้นภายใต้ดวงตาสวรรค์ ต้นกล้วยประเภทนี้เลยสะดุดตามาก

พวกเราปูพรมหาต่อไปเรื่อยๆ ปลาที่เคยเข้ามาติดอวนแล้วไม่มีทางหนีไปได้ง่ายๆ

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็หาต้นกล้วยของผีตานีตนหนึ่งเจอ

พอเหล่าฉินเห็นต้นกล้วยต้นสูงใหญ่ก็เค้นเสียงดัง ฮี “ นางตานีสมควรตาย ให้ฉันจัดการเอง! ”

 

หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็เอาพลั่วออกมา แล้วทิ่มลงไปที่ต้นกล้วยต้นนั้นทันที

 

ต้นกล้วยสั่นเคลือ เสียงกรี๊ด “ อร้าย” ดังตามมาติดๆ ต่อด้วยของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาไม่หยุด

 

“ เมื่อกี้เก่งนักไม่ใช่เหรอฮะ ? ทําไมหัวหดแล้วละ ออกมาสู้ซิ ” เหล่าฉินทำหน้าโมโหจัด พลั่วในมือที่มลงไปไม่หยุด

 

ผีตานีตนนั้นก็ร้อง “ อร้าย…” ไม่หยุดเช่นกัน เสียงไม่จัดว่าดังมาก แต่มันก็บอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอกําลังทรมาน

ในเวลาเดียวกันยังร้องขอชีวิต บอกให้พวกเราปล่อยเธอไปเถอะ

แต่มันเป็นไปได้เหรอ? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้

สุดท้ายพวกเราก็ร่วมมือกัน ขุดเหง้าของต้นกล้วยขึ้นมา แล้วทําลายหัวใจสีเขียวที่กําลังกระพริบส่องแสง

สีเขียวอยู่ทันที

 

ในบรรดาผีตานีสามตนโดนกําจัดไปแล้วสอง ตอนนี้เหลือแค่ตัวสุดท้ายแล้วเท่านั้น

 

พวกเราไม่ได้หยุดพัก ตามหาต่อทันที สุดท้ายห่างออกไปสามสิบเมตร เราก็เจอเข้ากับต้นกล้วยของผีตานีตนสุดท้าย

 

ยังไม่ทันลงมือ ต้นกล้วยต้นนั้นก็สบัดต้นสองสามครั้ง หัวปลีสีแดงเหมือนเลือดที่กําลังห้อยลงมาช่อนั้น

จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นหน้าคน

 

ในเวลาเดียวกัน บนหน้านั่นก็เผยให้เห็นถึงความเศร้าและความหวาดกลัว มันร้องขอชีวิตจากพวกเรา

 

“ท่านนักพรตทั้งหลาย ได้โปรด ได้โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถอะ !

ผีตานีตนนี้ ก็คือผีตานีที่ฆ่าคน และยังเป็นผีตานีที่มีพลังเยอะที่สุดตัวนั้น

 

นี่ก็คือเหตุผลว่าทําไม เธอถึงสามารถเปลี่ยนหัวปลี ให้เป็นหน้าคนได้

“ ปล่อยแกไป ? ปล่อยแกไปฆ่าคนอีกงั้นเหรอ ? ” ท่านนักพรตพูดอย่างเย็นชา

 

“ ข้าไม่กล้าทําอีกแล้ว หากท่านนักพรตปล่อยข้าไป ข้าไม่กล้าทําร้ายคนอีกแล้ว ต่อไปจะกินแต่สัตว์ในเขานี้เท่านั้น! ” หลังจากพูดจบ หน้าบนหัวปลียังร้องไห้ออกมา “ ฮือฮือฮือ ”

 

เหล่าฉินเหลือบมองผีตานี จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย “ ฮี ปีศาจยังไงก็คือปีศาจ เดิมทีก็ไม่ควรมี

 

นางตานีอยู่บนโลกนี้ ขอให้ปล่อยไปก็ไม่มีประโยชน์ เสี่ยวติงแกเพิ่งเข้ามาไม่นาน ได้เวลาให้แกได้ฝึกพอดี แกไปจัดการมันด้วยตัวเอง! ”

เมื่อได้ยินเหล่าฉินพูดแบบนั้น ผมก็พยักหน้าให้ทันที ดึงดาบไม้ออกมา เตรียมจะตัดหัวปลี และทําลายต้นกล้วย

พอผีตานีเห็นผมเดินเข้ามาใกล้ ก็หวาดผวาทันที “ ท่าน ท่าน นักพรตน้อย ท่านอย่าฆ่าข้าเลยนะ

ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์นะ !”

“บริสุทธิ์ ? ตอนแกฆ่าคนทําไมไม่พูดว่าบริสุทธิ์บ้างละฮะ ” ผม พูดอย่างเย็นชา

 

แต่เสี้ยววินาทีต่อมา คําพูดของผีตานีตนนั้นกลับทําให้ผมตะลึง “ ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าคน ในฐานะวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในต้นกล้วย ถ้าฉันไม่ฆ่าเขา เมื่อใดที่ปลีของฉันเที่ยวแล้ว นั่นก็คือวันสุดท้ายของฉัน และชายคนนั้นก็มายุ่งกับฉันเอง ฉันไม่ได้ไปยุ่งกับเขาก่อน พวกเราสามคนพี่น้อง ทําเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น

 

พวกเราผิดตรงไหน? ”

 

คําพูดของผีตานีปนไปด้วยความเศร้าและความกลัว พอผมได้ยินคําพูดพวกนี้แล้ว ก็หยุดมือกลางคัน

ผมคิดว่าเธอก็ไม่ได้พูดผิดอะไร

ถ้าพูดกันตามความจริง เป็นเพราะลูกเศรษฐีพวกนั้นรนหาที่ตายเองต่างหาก ไม่มีเรื่องอะไรก็มายุ่งกับผีตานีเอง

 

หากผีตานีพวกนี้ปรากฏตัว งั้นก็เหลือแค่เพียงจุดจบเดียว นั่นก็คือไม่ฉันตายแกก็ต้องตาย

พวกลูกเศรษฐีมีชีวิต งั้นวิญญาณของนางตานีก็ไม่ใช่อีกหนึ่งชีวิตเหรอ?

 

ถ้ายึดตามคําพูดของผีตานี เธอก็ไม่ผิดนะ เธอก็ควรฆ่าเจ้าหมอนั้นจริงๆนั่นแหละ

มันก็เหมือนกับเวลาเราหิวก็ต้องกินข้าว หากไม่กินข้าวเราก็จะหิวตาย

ผีตานีเห็นผมนิ่งไป เลยพูดกับผมอีกครั้ง “ ตอนนี้ชายคนนั้นก็ตายไปแล้ว ฉันสามารถอยู่ต่อได้แล้ว

ถึงร่างปีศาจจะโดนพวกท่านทําลายไปแล้ว แต่ฉันเต็มใจทําตัวใหม่ เป็นปีศาจที่กลับตัวกลับใจใหม่

 

ยอมอยู่ภายใต้การดูแลของท่านนักพรต กลายเป็นปีศาจที่ดี ไม่ฆ่าคน เพียงแค่หาสัตว์กินบนเขานี้เท่านั้น

ท่านนักพรตได้โปรดเปิดทาง เหลือทางรอดให้กับฉันด้วย ! ได้โปรด ฮือฮือฮือ… ”

นางตานีช่างน่าสงสาร ขอร้องอ้อนวอนไม่หยุด

ช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างลําบากใจ ในใจมีปนแห่งความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้น

ผมยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนสูงส่งอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล

คําพูดของผีตานีทําให้ผมหวั่นไหวจริงๆ ส่งผลกระทบต่อประสาทของผม

 

เหมือนคํากล่าวที่ว่า เพื่อความอยู่รอด ฉันทําอะไรผิดละ?

คําพูดของผีตานีทําให้ความคิดของผมสับสนพอสมควร

แม้อีกฝ่ายจะพูดเพื่อร้องขอชีวิต แต่ผมเข้าใจเหตุผลของเธอ

อีกฝ่ายเป็นคนก่อเรื่อง หลังจากนั้นเราก็ออกมาปรากฏตัวบนโลก

ถ้าเราไม่ฆ่าอีกฝ่าย งั้นเราก็จะเป็นคนที่ต้องตายเอง

คุณบอกซิว่าฉันผิดตรงไหน เห็นอยู่ชัดๆว่าอีกฝ่ายรนหาที่ตายเอง ตอนนี้พวกคุณมาบุกถึงบ้าน

ทําลายร่างปีศาจของฉัน และยังจะเอาชีวิตฉันอีก

 

ฉันยอมรับผิดแล้ว ยอมเปลี่ยนตัวเองใหม่ จะทําตามที่พวกคุณบอก ต่อไปจะไม่ทําร้ายมนุษย์อีก กินแค่สัตว์แถวนี้ ขอแค่คุณยอมไว้ชีวิตฉันเท่านั้น

หากพวกคุณยังไม่ยอมรับเงื่อนไขพวกนี้ งั้นใครดีใครชั่วกันแน่ละ ?

 

ถ้าพวกเราช่วยลูกเศรษฐีให้รอดพ้นจากความตาย ฆ่าปีศาจที่คิดจะช่วยชีวิตตัวเอง เราจะไม่ได้กลายเป็นคนช่วยต่อกรรมทําชั่วซะเองเหรอ ?

 

และพวกเรา ที่เป็นคนขับไล่สิ่งชั่วร้ายแทนสวรรค์นั้น กําลังทําแทนสวรรค์อยู่จริงๆหรือเปล่า?

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset