ศพ – ตอนที่ 307 ใส่สีตีไข่

ศพ ตอนที่ 307 ใส่สีตีไข่

 

หลังสู้มาครึ่งคืน ในที่สุดพวกเราก็จัดการผีตานีสําเร็จ

แต่ทุกคนต่างต้องเสี่ยงอันตรายไม่มากก็น้อย เหล่าเฟิงบาดเจ็บหนักที่สุด นอกจากรอยข่วนบนบ่าแล้วยังมีอาการบาดเจ็บจากกระดูกเคลื่อน และดูดพลังปีศาจเข้าไปไม่น้อย

ต่อไปเขาต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยหนึ่งเดือน ถึงจะหายเป็นปกติ

แต่เราก็จัดการปัญหาเสร็จแล้ว มีคําตอบให้นายจ้างแล้ว

 

ปากล้วยทั้งมืดและชื้น กว่าจะออกมาได้ เราต้องเดินกันถึงครึ่งชั่วโมง

เมื่อมองเห็นดวงดาวเล็กๆที่ด้านนอก ทุกคนก็อดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อหันกลับไปมองปากล้วยอีกครั้ง มันยังคงมืดมิด และให้ความรู้สึกหดหูเหมือนเดิม

หลังจากนั้นเราก็เดินไปตามทาง ตอนมาถึงทางแยกเข้าถนนหลักเขตชานเมืองตะวันตก เราพบว่าสองพ่อลูกหลงอ้าวเทียนที่มาส่งเราตอนขามายังอยู่ที่เดิม

ในเวลานี้พอพวกเขาเห็นกลุ่มของพวกเราออกมาก็ดีใจขึ้นมาทัน

 

“ นักพรตทุกท่าน !” คุณหลงรีบพูด และพุ่งเข้ามาต้อนรับคนแรก

 

หลงอ่าวเทียนรีบเดินตามมาติดๆ เขาเองก็ทําหน้าดีใจเช่นกัน

พอเห็นพวกเราทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย เขาก็เข้าใจทันทีว่าเราต้องจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

แต่หลังจากเดินเข้ามาใกล้ ถึงได้พบว่าเหล่าเฟิงได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลย้อมไปครึ่งแขนเสื้อ คุณหลงจึงถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “ ทําไมท่านนักพรตเสี่ยวเฟิงถึงบาดเจ็บได้ละ ? บาดเจ็บสาหัสไหมครับ! ”

เหล่าเฟิงทําหน้าไร้ความรู้สึก แต่เขาก็ยังตอบกลับ “ ไม่เป็นอะไร ไม่ตายหรอก ! ”

“ รีบไปพักบนรถเถอะครับ ข้างนอกอากาศหนาว! ”

ขณะพูด คุณหลงก็ให้หลงอ่าวเทียนประคองเหล่าเฟิงเข้าไปในรถ

ในเวลาเดียวกัน เพื่อยืนยันเรื่องผีตานี เขายังถามขึ้นมาว่า “ ท่านนักพรตทุกท่าน ผี ผีตานีพวกนั้น โดน โดนจัดการหมดแล้วใช่ไหมครับ ? ”

 

ท่านนักพรตตู๋ถอนหายใจออกมา จากนั้นถึงได้ตอบกลับว่า “ คือจัดการแล้ว ผีตานีทั้งสามตัวโดนกําจัดหมดแล้ว ต่อไป พวกคุณก็นอนหลับอย่างสบายใจได้แล้ว อ่อใช่ ต่อไปอย่าให้ลูกชายคุณเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีก ครั้งนี้พวกเราช่วยพวกคุณได้ แต่ครั้งหน้าอาจไม่โชคดีขนาดนี้แล้วก็ได้ !”

เมื่อคุณหลงได้ยินท่านนักพรตตู๋ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วก็ดีใจขึ้นมาทันที เขาหัวเราะและพยักหน้ารับรัวๆ “ ครับครับครับ ผม ทําแน่ ผมทําแน่”

พอพูดจบ คุณหลงยังทําเสียงดุใส่หลงอ่าวเทียนที่กําลังเดินกลับมา “ ยังไม่รีบมาขอบคุณท่านนักพรตทุกท่านอีก ”

 

“ ขอบ ขอบคุณท่านนักพรตทุกท่านที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ !” ขณะพูด หลงอ่าวเทียนยังโค้งคํานับให้พวกเราด้วย

“ ช่างเถอะ ! ศิษย์ของฉันได้รับบาดเจ็บ เรารีบกลับกันก่อนเถอะ! ” ท่านนักพรตตู๋พูดออกมาอีกครั้ง

พ่อลูกสกุลหลงตอบรับรัวๆ ส่งสัญญาณให้พวกเราส่วนหนึ่งขึ้นรถก่อน จะได้ไปส่งพวกเรากลับไป

 

ที่นี่มีรถแค่คันเดียว ไม่พอให้พวกเรานั่งกลับไปได้

 

ผม หยางเฉ่ว และหลงอ้าวเทียนจึงต้องอยู่ที่นี่ต่อ เราให้พวกอาจารย์และเหล่าเฟิงไปก่อน

 

หลังจากนั้นพวกเราก็เรียกรถจากอินเตอร์เน็ตมาเพิ่มหนึ่งคัน

ถึงหลงอ้าวเทียนจะเป็นคุณชายเจ้าสําราญ แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เขาก็เชื่องอย่างกับแพะภูเขา

 

แต่เขาสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในป่ากล้วย และวิธีที่พวกเราใช้จัดการกับผีตานีมาก

 

เขาเริ่มพูดกับผมและหยางเฉ่วว่า “ ท่านนักพรตติง ท่านนักพรตหยาง เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมว่าพวกคุณเข้าไปจัดการผีตานียังไง? ”

 

ผมและหยางเฉ่วเหลือบมองเจ้าหมอนี่ เห็นเขาทําท่าทางอยากรู้อยากเห็นมาก

 

พวกเราอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีอะไรทําอยู่แล้ว ต่อจากนั้นเลยเห็นผมใส่สีตีไข่เล่าเรื่องจัดการผีตานีให้เขาฟังหนึ่งรอบ

 

เดิมทีหลงอ้าวเทียนก็เชื่อในความสามารถของพวกเราอยู่แล้ว

และยังกลัวผีตานีมาก ตอนนี้พอเห็นผมพูดอย่างออกรสออกชาติ หรือแม้แต่เว่อร์เลยก็ว่าได้

 

เช่นผีตานีแปลงร่างเป็นเดอะฮัลค์หัวสูงสามเมตร ลิ้นยาวได้สองเมตร ควันพิษที่พ่นออกมาหนึ่งครั้งสามารถฆ่าต้นกล้วยแถวนั้นตายได้ทันที ฯลฯ เขาก็เชื่ออย่างหมดใจ

 

ถึงผมจะพูดเว่อร์กว่านี้ หลงอ้าวเทียนก็ฟังอย่างตั้งใจ ทําหน้าเป็นจริงเป็นจังสุดๆ

ไม่เพียงไม่สงสัยเลยสักนิด เขายังหลงใหลในความสามารถของพวกเราสุดๆ จนแทบจะกราบเราเป็นอาจารย์ตรงนั้นทันที

แน่นอน ว่าเจ้าหมอนี่กลัวผีตานีมาก และยังหวาดผวาด้วย จึงสูญเสียความสามารถในการแยกแยะไปอย่างสิ้นเชิง

นี่ก็ถือเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ที่เอาไว้ใช้ฆ่าเวลาเท่านั้น ผมเลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

แต่ผมจะไปรู้อะไร ต่อมาเจ้าหลงอ้าวเทียนคนนี้ได้เอาสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังไปเล่าต่อในกลุ่มของเขาและบรรดาพวกลูกคนรวยทั้งหลายเหล่านั้น

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับ และยังเป็นเรื่องที่เจอมากับตัว แถมในเรื่องยังมีคนตายด้วย ด้วยเหตุนี้มันเลยสร้าง “ ความฮือฮา ” มากมายให้กับวงของพวกเขา

เพราะเรื่องนี้ เลยมีผลกระทบเป็นลูกโซ่เกิดขึ้นมาไม่น้อย

 

พวกเจ้าถิ่นและคุณชายจํานวนมากต่างพากันมาที่ตําบลชิงฉือ เพื่อหาพวกเราโดยเฉพาะ แต่ละคนต่างไม่เสียดายเงินก้อนโตเพื่อที่จะให้พวกเราไปช่วยพวกเขา……

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องหลังจากนี้ คนส่วนใหญ่ที่มาหาล้วนเป็นพวกสงสัยเรื่องภูติผี ทําตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง

แต่หนึ่งในนั้น กลับได้เรื่องนี้เป็นเหตุ ช่วยผมหาหญ้าหยินฉ่าวพิเศษ ที่สามารถยืดอายุมู่หลงเหยียนได้อีก 50 ปีพบ

ผ่านไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ผมก็เล่าเรื่องตั้งแต่เข้าไปในป่ากล้วย จนถึงตอนที่กําจัดผีตานีทั้งสามตนจบแล้ว

“ท่าน ท่านนักพรตติง พวกคุณเก่งกันจริงๆ คิดไม่ถึงว่าท่านนักพรตหยางเฉ่ว จะสามารถทําเหมือนในทีวีได้ เสกยันต์โจมตีปีศาจ ช่างน่าทึ่งจริงๆ! ” หน้าหลงอ้าวเทียนเต็มไปด้วยความชื่นชม

หยางเฉ่วไม่รู้สึกดีกับเจ้าหมอนี่เลยสักนิด หรือแม้แต่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ํา

ผมกลับทําเสียง ฮิฮี “ นายคิดว่าชื่อคนปราบสิ่งชั่วร้ายของเราเลือกมาแบบมั่วๆเหรอ ? พ่อแม่นายหาเราเจอ ถือเป็นโชคของนายแล้ว”

 

“ ฉันจะบอกนายให้ฟัง ต่อไปต้องทําดีเยอะๆเข้าไว้ บนโลกนี้เวรกรรมมีอยู่จริง คุณชายเจ้าสําราญแบบนาย ถ้ายังทําแบบนี้ต่อไปต้องตกนรก 18 ขุมแน่นอน ถึงตอนนั้นนายต้องทรมานอีกหลายพันปี พอถึงเวลาเกิดใหม่อีกครั้งก็อย่าหวังจะได้เกิดมามีชีวิตดีๆอย่างทุกวันนี้เลย ! ”

เมื่อก่อนหลงอ้าวเทียนไม่เชื่อเรื่องชะตาชีวิต แต่หลังจากเจอเรื่องนี้เข้าไป เขาก็เชื่ออย่างหมดใจ

ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น เขาก็ทําท่าหนักแน่นขึ้นมาทันที บอกว่าต่อไปจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆของตัวเองซะใหม่ จะเป็นคนดีทําแต่เรื่องดีๆแล้ว

สําหรับเรื่องที่เจ้าหมอนี่จะเปลี่ยนตัวเองจริงๆไหมผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางของเขา ช่วงนี้คงไม่หน้ามืดไปก่อเรื่องชั่วๆอีกแล้ว

 

ในเวลานี้ ในที่สุดรถที่พวกเราเรียกมาก็มาถึง

 

เราสามคนรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว หลังจากคนขับรถเหลือบมองเราผ่านกระจกหลังสองสามครั้งแล้ว

 

และยืนยันสถานที่จะไปแล้ว เขาก็เริ่มออกรถทันที

ตอนเรามาถึงบ้านสกุลหลง ก็เป็นเวลาที่สามแล้ว

 

เหล่าเฟิงทําแผล และนอนหลับไปแล้ว ตอนนี้พวกอาจารย์กําลังนั่งกินมื้อดึกกันอยู่ในบ้าน

ส่วนด้านข้างนอกจากคุณหลงและคุณนายหลงแล้ว ยังมีครอบครัวของซุนเสี่ยวหลินที่รีบมาที่นี่อยู่ด้วย

 

ในเวลานี้พวกเขากําลังนั่งอยู่ข้างๆอย่างเคารพ ทั้งรินเหล้าให้พวกอาจารย์ และพูดขอบคุณในเวลาเดียวกันท่าทางดูเคารพสุดๆ

เมื่อเห็นพวกเรากลับมา คุณนายหลงก็ดีใจน่าดู

 

คุณหลง คุณซุน และคนอื่นๆรีบเข้ามาต้อนรับพวกเราทันที

 

ท้องของผมและหยางเฉ่วหิวนานแล้ว เพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ เราก็ละเลงกินดื่มทุกอย่างทันที

หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ผมก็เห็นคุณหลงและคุณซุนส่งสายตาให้กัน หลังจากนั้นคุณหลงก็หัวเราะแล้วพูดกับพวกอาจารย์ผมว่า “ เอ่อคือ ท่านนักพรตทั้งสาม ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกท่านจริงๆที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเราสองบ้านคงเสียลูกชายไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่า ไม่รู้ว่านักพรตทุกท่านจะเรียกเก็บค่าตอบแทนเท่าไหร่ ทางเรา ทางเราจะได้เตรียมตัวให้พร้อม ไม่ไปทําลายกฎของท่านนักพรตทุกท่าน…”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset