ศพ – ตอนที่ 309 ซื้อโลง

ศพ

ตอนที่ 309 ซื้อโลง

จู่ๆก็เห็นในรถเข็นมีโลงศพเหล็กหนึ่งโลงผมจึงเงียบไปพักหนึ่ง

หือ ! ผมสงสัยในใจ

ในเถาเปามีทุกอย่างจริงๆ ของแบบนี้ก็ยังมีขาย

 

แต่มู่หลงเหยียนจะซื้อเจ้านี้ไปทําอะไร ? เธออยากเปลี่ยนโลง

เหรอ ?

 

แต่ก็ไม่ถูกซิ โลงมีหลากหลายรูปแบบ วัสดุที่ใช้ทําก็แตกต่างหลากหลาย

แต่จะใช้ยังไง ? ศพอะไรควรใช้โลงแบบไหน ? ทําขึ้นมาจากอะไร ? งานแกะสลักเป็นลวดลายแบบไหน ?

 

ในนี้กลับเขียนไว้อย่างละเอียด หรือแม้แต่มีข้อห้ามมากมายบ่งบอกไว้อย่างชัดเจน

 

โดยเฉพาะพวกโลงที่ทํามาจากโลหะชนิดต่างๆ เช่น ทองแดงเหล็กและทองเป็นต้น ต้องดูรายละเอียดให้เยอะกว่าเพื่อน

โลงทองแดง ปกติจะใช้สยบศพ ศพที่โดนปราบพยศส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกผีดิบ หรือไม่ก็ศพที่แปรสภาพไปแล้ว

ส่วนโลงทองคนธรรมดาไม่มีทางได้ใช้ และไม่อนุญาตให้คนธรรมดาใช้ด้วยส่วนใหญ่จะเป็นพวกเชื้อ

พระวงศ์หรือคนสําคัญเท่านั้นที่ใช้ได้

แต่โลงเหล็กนี้ มีปัญหาเยอะเลยละ

 

เพราะโลงเหล็กมีคุณสมบัติพิเศษใช้กักขังวิญญาณ หรือจะพูดอีกแบบคือคนที่ใช้โลงพวกนี้ มักเป็นผีร้ายหรือผีชั่วทั้งนั้น

 

วิญญาณร้ายพวกนี้ หากไม่ใช่คนที่ทําบาปมหันต์ ก็ต้องถูกคนบังคับขังเอาไว้ข้างใน

ทําให้วิญญาณไม่มีทางได้ไปเกิดใหม่ต้องทนทุกข์อยู่ในโลงตลอดกาล

และคนขายโลงก็เข้าใจขายพอสมควรด้วย เขายังเขียนในรายละเอียดสินค้าว่า คนรักหักหลัง คนแก่เอาใจยาก ลูกหลานอกตัญญพี่น้องลวงโลกโอกาสของคุณมาถึงแล้ว ซื้อโลงนี้ ไปผนึกวิญญาณ ไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิด โดนขังอยู่ในโลง ทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์

ขณะมองคําแนะนําของโลกเหล็ก หน้าผมก็อดกระตุกไม่ได้

 

พวกพ่อค้าสมัยนี้ไร้ยางอายจริงๆ ทําสารพัดวิธี โลงประเภทนี้ก็ยังเอาออกมาขายมั่วๆได้ นี่มันไม่ได้กําลังแช่งคนอื่นอยู่หรือไง

และยังชี้ช่องทางแก้แค้นให้พวกที่มีเจตนาไม่ดีด้วย แถมจํานวนที่ขายออกไปยังมีไม่น้อย มีมากกว่า 20 โลงด้วย

หรือจะพูดอีกอย่างคือ ตอนนี้มีคนมากกว่ายี่สิบคนกําลังทรมานอยู่ ถูกขังวิญญาณเอาไว้ในโลงเหล็ก

แต่ทําไมยัยมู่หลงเหยียน ถึงอยากซื้อโลงเหล็กขึ้นมาละ ? เธอคงไม่ได้ว่างจนเซ็ง เลยอยากขังตัวเองไว้ในโลงเหล็กเล่นๆหรอกนะ

 

ผมรู้สึกสงสัยอย่างแรง ขณะเดียวกันผมก็ขมวดคิ้ว มองไปที่ป้ายวิญญาณบนโต๊ะบูชา “ น้องศพ เธอจะซื้อโลงเหล็กไปทําไม เธอไม่รู้เหรอว่าเจ้าสิ่งนี้เอาไว้ขังวิญญาณ ”

เสียงของผมเพิ่งเงียบลง เสียงมู่หลงเหยียนก็แทรกขึ้นมาทันที “ อ๋อ ! ฉันรู้แล้วน่า ”

“ เธอรู้แล้วก็ยังจะซื้ออีกเหรอ ”ผมไม่เข้าใจ

 

“ ซื้อซิ ต้องซื้อแน่นอน เก็บเอาไว้ให้นายไง ! ” มู่หลงเหยียนพูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ

 

พอได้ยินคําพูดนี้ ในหัวของผมก็มีเสียงดัง “ เวิ่ง”

ฮะ ? เก็บเอาไว้ให้ฉัน เก็บเอาไว้ทําไม ? หรือเธอคิดจะฆ่าสามีตัวเองแล้วขังวิญญาณฉันไว้ในโลงนั้นเหรอ ?

หน้าผมเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเล็กน้อยผลลัพธ์ “ ฮะ ” ยัยมู่หลงเหยียนดันกลั่นหัวเราะไม่อยู่

“ ดูสภาพตาขาวของนายซิ ฉันล้อนายเล่นน่า ! ฉันจะเอาโลงเหล็กนี้ไปใช้นะ ส่วนเอาไปทําอะไรนายก็ไม่ต้องถามแล้วนะก่อนหน้านี้เห็นบ้านนายทําแต่โลงไม้ วัสดุทําโลงเหล็กก็ไม่มี ถึงจะอยากได้แต่นายก็ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ก็เลยคิดว่าจะหาวิธีเอากลับ มาด้วยตัวเอง สุดท้ายคราวนี้นายดันหาเงินกลับมาได้เยอะ

เลยให้นายซื้อให้ก่อนหนึ่งโลง พอถึงเวลาแล้วฉันจะคืนเป็นอย่างอื่นให้นายนะ !”

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้นผมก็อึ้งไปเล็กน้อย

 

ในเมื่อมู่หลงเหยียนรู้คุณสมบัติพิเศษของโลงเหล็กแล้ว และยังไม่อยากให้ผมถามอีก ผมก็เลยไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

แต่พยักหน้าให้ป้ายวิญญาณแทน “ ได้ งั้นเดี๋ยวฉันจะซื้อให้เธอก็แล้วกัน ! ”

“ โอเค ! เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ! รอให้ของมาถึงแล้วจําเอาไว้นายต้องส่งมาให้ฉันที่ปาปุยหม่านะ ! ” พอพูดจบ อากาศเย็นรอบตัวก็หายไปรอบๆก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

ผมรู้ว่ามู่หลงเหยียนไปแล้ว จึงหมุนตัวกลับไปที่ห้องนอน

ช่วงสองสามวันนี้ไม่ได้พักผ่อนดีๆเลยวันนี้เราก็ไม่คิดจะเปิดร้าน

 

ส่วนอาจารย์ก็กลับไปนอนให้ห้องนานแล้ว ดังนั้นหลังจากกลับไปถึงห้องผมก็เริ่มนอนเพิ่มทันที….

ผ่านไปชั่วพริบตาเทศกาลกวงกุ้นก็มาถึงแล้ว ผมทําตามคําขอของมู่หลงเหยียนซื้อของทั้งหมดในรถเข็นให้เธอ

ราคารวมทั้งหมด 8,600 กว่าหยวน แต่วันนี้ลดราคา ผมเลยจ่ายไปแค่เกือบสามพันเท่านั้น

 

หลังจากซื้อของไปจํานวนมาก ในที่สุดผมก็จัดการเรื่องของมู่หลงเหยียนเสร็จ

แต่เส้นตายสามเดือนของพี่เหล่าเฟิงกลับใกล้มาถึงขึ้นเรื่อยๆ

 

หรือจะพูดว่า เหล่าเพิ่งเริ่มมีอันตรายขึ้นเรื่อยๆ

 

ถ้าหาแก่นหยินแดงไม่เจอตามกําหนด เหล่าเฟิงก็อาจต้องไว้อาลัยกับการโดนยึดร่าง

 

แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อย่าว่าแต่แก่นหยินแดงเลยแม้แต่ผีชุดแดงสักตนเราก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปหาจากที่ไหน

 

พอลองคํานวณเวลาดูแล้ว เราเหลือเวลาไม่ถึงเดือนแล้ว

ระหว่างนั้นผมก็เตือนเหล่าเฟิงแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเหล่าเฟิงก็จนปัญญาเช่นกัน

แก่นหยินแดงสิ่งนี้ เป็นของที่พบเจอได้แต่ไม่อาจเรียกมันมาได้

มันหายากสุดๆ ถึงแม้พวกเราจะเจอผีชุดแดงแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเก็บแก่นหยินแดงมาได้

ถึงเก็บมาได้ ก็คงต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง

เพราะหาผีชุดแดงไม่เจอ พวกเราเลยได้แต่พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

ผ่านไปไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เรื่องผีตานีผ่านไปเป็นสิบวันแล้ว

 

ระหว่างนี้เราก็กลับไปดูผู้ว่าจ้างเช่นกัน ครอบครัวคุณหลงและคุณซุนใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข

 

คุณชายสองคนนั้นก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาเรื่อยๆ

 

ส่วนของที่ผมซื้อในเทศกาลกวงกุ้น ก็ค่อยได้รับที่ละชิ้นสองชิ้น

 

เมื่อกี้นี่เอง ที่ผมได้รับโทรศัพท์สายสุดท้าย หรือก็คือโลงเหล็กโลงนั้น

พนักงานส่งของบอกให้ผมไปรับสินค้าที่จุดส่งของในตัวตําบลและยังบอกว่าตัวของหนักมาก

 

ดังนั้นผมเลยรีบเข้าไปที่จุดส่งของทันที พอผมเห็นของแล้วกลับพบว่าเจ้านี่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้มาก

 

โลงศพไม่ได้มีขนาดเท่าของปกติ แต่มีขนาดประมาณหนึ่งเมตรสาม สูงไม่ถึงหกสิบเซนติเมตร

ถึงจะเป็นโลงเปล่า แต่มันก็น่าจะหนักประมาณ 60 กว่าโล

 

ตอนถือค่อนข้างลําบากเลย แต่ผมก็แบกกลับไปได้

 

พอผมแบกกลับมาถึงบ้าน อาจารย์ก็ถามว่าผมแบกอะไรมา

 

ผมเช็ดเหงื่อ ตอบกลับพร้อมเสียงหอบหายใจ “ นี่เป็นโลงเหล็กที่น้องศพอยากได้ ! ”

 

พออาจารย์ได้ยินคําว่าเป็นโลงเหล็ก ก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วหันไปมองป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนทันที

 

“ เมียแกรู้ไหมว่าโลงเหล็กใช้กักขังวิญญาณ ”

ผมพยักหน้า “ ผมถามเธอแล้ว เธอบอกว่ารู้ แถมยังว่าเธอจะใช้และไม่ให้ผมถามไปมากกว่านี้อีกต่างหาก ! ”

 

“ อ่อเป็นแบบนี้นี่เอง!” อาจารย์บ่นพึมพํา

 

หลังจากนั้นก็เดินไปข้างหน้าโลง มองมันสองสามครั้งจากนั้นก็บอกให้ผมแกะพลาสติกที่หุ้มเอาไว้

 

ผมไปหามีดมานึงเล่ม ตัดถุงที่ปิดผนึกออก

 

ด้านในพลาสติกที่หุ้มก็จะเห็นโลงเหล็กโลงหนึ่งอยู่ด้านในด้านนอกโลงถูกห่อด้วยแผ่นกันกระแทกอีกชั้นหนึ่ง

 

หลังจากแกะแผ่นกันกระแทกออกแล้ว ก็จะเห็นโลงที่มีรูปลักษณ์คล้ายในอินเตอร์เน็ต ตัวโลงเป็นสีดํา

 

เป็นโลงฟีนิกซ์โลงหนึ่ง

 

ตัวโลงมีลวดลายนกฟีนิกซ์เดี่ยว รอบๆประดับด้วยลายพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดอกไม้และลวดลายอื่นๆ

ดูสวยมากเลยทีเดียว

อาจารย์มองดูครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้ไม้บรรทัดวัดอีกสองสามรอบ แล้วถึงได้พูดขึ้นมาว่า

 

“ นี่เป็นโลงฟีนิกซ์ สัดส่วนที่ทําออกมาถือว่าดีมาก จะต้องเป็นฝีมือของผู้เชี่ยวชาญแน่ๆ ”

 

“ อาจารย์ ทําไมโลงนี่ถึงได้เล็กขนาดนี้ละ ? คงไม่ได้เอาไว้ใส่เด็กทารกหรอกนะ ? ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ ไม่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นโลงเหล็กดั่งเดิม ช้าก่อน ขอฉันดูอีกหน่อย!” ขณะพูดอาจารย์ก็เหมือนจะพบสิ่งใหม่อีกครั้ง เขาเริ่มสํารวจโลงอย่างละเอียดอีกรอบ หลังจากนั้นยังดึงไม้บรรทัดออกมาวัด

 

ผ่านไปสักพัก อาจารย์ก็ใช้น้ําเสียงแปลกใจเล็กน้อย “ เกือบมองข้ามไปแล้ว นี่ไม่ใช่โลงฟีนิกซ์ธรรมดา

แต่เป็นโลงฟีนิกซ์มองจันทร์ที่หาดูได้ยากถูกหลอมออกมาด้วย เหล็กที่ดีที่สุด สัดส่วนเท่ากับโลงกักขังวิญญาณชั้นทองยาวประมาณสามสิบเก้านิ้วครึ่ง ยากนักที่วิญญาณจะกลับไปหากินที่บ้านได้สูงประมาณ 21 นิ้วยากที่จะทําลายล้างได้ โลงดี โลงดี… ”

 

ขณะพูด อาจารย์ก็ดูจะชอบมาก เอื้อมมือไปลูบโลงเหล็กไม่ยอมปล่อย

ผมทําหน้าอึดอัดใจอยู่ข้างๆ แต่ก็ยังถามเขาว่า “ อาจารย์ นี่เป็นโลงกักขังวิญญาณนะ ! โลงนี้จะทําร้ายคน เป็นของที่ทําให้ใค รคนนั้นไม่ได้ไปผุดไปเกิดแล้วมันจะเป็นของดีได้ยังไง ? ”

 

ดูเหมือนอาจารย์จะอารมณ์ดีมาก เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ยกยิ้มที่มุมปาก “ คนมีอ้วนมีผอม โลงก็มีดีมีเลวเช่นกัน ใช้ไม่ดี ก็ ทําร้ายคนอื่นตนเองหรือแม้แต่ลามไปถึงลูกหลาน แต่ถ้าใช้ในทางที่ดีไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็จะมีความสุขและอายุยืนอย่างต่อเนื่องเมียแกนี่เก่งจริงๆกล้ามากแต่สิ่งที่ทําให้แปลกใจที่สุด

 

ยังเป็นโลงฟีนิกซ์มองจันทร์ อาจารย์เริ่มอยากจะเก็บโลงฟีนิกซ์โลงนี้เอาไว้ใช้เองแล้ว…”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset