ศพ – ตอนที่ 310 เอาโลงไปให้

ศพ ตอนที่ 310 เอาโลงไปให้

ตอนที่ 310 เอาโลงไปให้

 

พอเห็นอาจารย์ลูบโลงเหล็กตรงหน้าอย่างรักใคร่ หัวใจของผมกลับเต้นดัง “ ตึกๆๆ” ใบหน้าเต็มไปความสงสัยและความงงงวย

 

ในความเข้าใจของผม โลงเหล็กโลงนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้างแค้นคนตาย

ในสมัยโบราณหากกษัตริย์โมโหมากๆขึ้นมา พอฆ่าล้างตระกูลแล้วยังไม่พอใจ เขาก็จะเอาศพไปฉีกเป็นชิ้นๆ

แต่ถ้ายังไม่หนําใจอีก เขาก็จะเอาโลงเหล็กไปใส่ศพของผู้ตาย ทําให้เขาไม่มีวันผุดวันเกิดอยู่ในโลง

 

จะเห็นได้ว่าต่ําทรามขนาดไหน เป็นเครื่องมือล้างแค้นที่โหดที่สุดหนึ่งชิ้น

 

แต่อาจารย์หมายความว่าอะไร ทําท่าทางหลงใหลโลงเหล็กนั่นมาก แถมยังบอกว่าอยากเก็บเอาไว้ให้ตัวเองใช้อีก

 

“ อาจารย์ ทําไมอาจารย์ยิ่งพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจละ ? อาจารย์ช่วยพูดให้มันเข้าใจง่ายๆหน่อยไม่ได้เหรอ ?”

 

ผมทําหน้าสงสัย

 

ผลลัพธ์อาจารย์กลับหัวเราะใส่ผม “ โลงนี้ไม่ใช่โลงเหล็กธรรมดา มันยังมีประโยชน์อีกเยอะ เมียแกไม่อยากบอกแก อาจารย์ก็ไม่พูดจะดีกว่า ”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ ทําก็ทําหน้าลําบากใจทันที

 

แต่อาจารย์กลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” แล้วฉีกยิ้มให้ผมอีก “ เสี่ยวฝาน แกเอาโลงไปให้ก็พอแล้ว ถ้าแกอยากรู้นักก็ถามด้วยตัวเองก็จบเรื่อง”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ลูบหนวดของตัวเอง จากนั้นก็มองโลงอีกพักหนึ่ง และหยิบไม้บรรทัดขึ้นมาวัดอีกรอบ

 

“ ยี่สิบเก้านิ้วครึ่ง ยี่สิบเอ็ดนิ้วครึ่ง ! เป็นโลงที่ดีจริงๆ มีประโยชน์..”

ขณะมองท่าทางหลงใหลของอาจารย์ แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าโลงเหล็กของมู่หลงเหยียนวิเศษตรงไหน

 

แต่ผมก็คิดว่ายังไงมันก็น่าจะเป็นเรื่องดี

เมื่อก่อนผมเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยที่มีฝีมือบางคน สามารถทําให้สถานที่อัปมงคลกลายเป็นมงคลได้ ทําให้ร้ายกลายเป็นดีได้

 

มันก็คงจะเป็นแบบนั้นมั้ง มู่หลงเหยียนก็คงใช้วิธีบางอย่าง ทําให้โลงเหล็กที่ใช้เป็นที่กักขังวิญญาณ กลายเป็นโลงที่ดีได้ละมั้ง

 

ส่วนมันจะมีประโยชน์ยังไงผมเองก็ไม่เข้าใจ และมู่หลงเหยียนมีวัตถุประสงค์อะไรผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่ท่าทีและคําพูดของอาจารย์ พิสูจน์ได้แค่นิดเดียวเท่านั้น

 

พอคิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกสงสัยในใจของผมก็ลดลงไปไม่น้อย

ในเวลาเดียวกัน ผมก็คิดว่าจะเอาของทุกอย่าง ไปส่งที่ปาปุยหม่าในคืนนี้

 

แต่โลงเหล็กนี่ค่อนข้างหนัก บวกกับยังมีเสื้อผ้าอีกจํานวนมาก ผมขนคนเดียวไม่ไหว เลยให้อาจารย์ไปกับผมด้วยในคืนนี้

อาจารย์ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าตกลง

 

หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ฟ้าก็เพิ่งมืดพอดี ผมและอาจารย์ต่างช่วยกันแบกโลงออกจากบ้าน

ปกติใช้เวลาเดินทางแค่หนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่วันนี้เราแบกโลงหนักหลายสิบโล ความเร็วจึงต้องลดลงเป็นธรรมดา

 

หลังจากผมและอาจารย์ไปถึงชายป่ากุ่ยหม่าด้วยอาการหอบเหนื่อย มันก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

 

วันนี้พระจันทร์ใหญ่มาก ส่องแสงสว่างไปทั่วปาปุยหม่า

แต่มันก็ทําให้เห็นธงไว้อาลัยและป้ายหลุมศพที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทําให้คนที่เห็นภาพนี้ยังหวาดผวาอยู่บ้าง

 

โชคดีที่ผมไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก และอาจารย์ก็เป็นคนเก่าคนแก่ จึงเห็นจนชินตาแล้ว

 

หลังจากพักหายใจครู่หนึ่ง ผมก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “ เสี่ยวฝาน เมียแกพักอยู่ตรงไหน? ”

“ อยู่ในป่านี่แหละอาจารย์ ไม่ไกลมาก อาจารย์ส่งผมตรงนี้ก็พอแล้ว! เดี๋ยวทางที่เหลือ ผมแบกไปคนเดียวก็ได้แล้ว”

เพราะก่อนหน้านี้มู่หลงเหยียนเคยเตือนแล้ว ว่านอกจากผมและคนอื่นก็ห้ามมาที่จวนมู่หลงเด็ดขาด

ดังนั้นผมเลยให้อาจารย์กลับไปเองก่อน

พออาจารย์ได้ยินผมพูดถึงขนาดนี้ ก็ไม่ถามอะไรอีก เพียงพยักหน้ารับ และบอกให้ผมระวังตัวดีๆ

หลังจากนั้นอาจารย์ก็หยิบกระบอกสูบยาคู่ใจออกมา แล้วค่อยเดินกลับไปที่บ้าน

 

ผมเห็นอาจารย์เดินออกไปไกลแล้ว ผมจึงเกร็งหน้าท้องและแบกโลงเหล็กนี่เข้าไปในปาคนเดียว

เดิมที่สถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีทางเดินอยู่แล้ว ผมเลยเดินชนไปมา หรือแม้แต่ล้มเลยก็มี

 

โชคดีที่เจ้าโลงเหล็กนี่ไม่หล่นมาทับตัวผม ไม่อย่างนั้นผมต้องแบนเป็นกล้วยปิ้งแน่ๆ

พอผมแบกโลงเหล็กมาถึงประตูจวนมู่หลง ตัวผมก็แทบจะทรุดลงกับพื้นทันที

เหงื่อไหลไม่หยุด ตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงที่หิมะตกแล้ว แต่ผมกลับร้อนจนแทบอยากจะถอดเสื้อผ้า

 

ผมยืนอยู่หน้าประตู หอบหายใจสองสามครั้ง จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ น้องศพ ยายโม่ผมมาถึงแล้ว รีบเปิดประตูเร็ว! ”

ผมตะโกนใส่ประตูสั้นๆ และก็ไม่ได้เดินไปเคาะประตูแต่อย่างใด

แต่เสียงของผมเพิ่งเงียบลง ประตูที่ปิดสนิทก็มีเสียงดัง “ แอ๊ด” ของการเปิดประตูขึ้นมาทันที

 

ขณะเดียวกันผมก็เห็นยายโม่เดินออกมาพร้อมไม้เท้ามังกร ยายโม่ยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม

“ คุณผู้ชาย มาแล้วเหรอเจ้าคะ !”

“ คือ ยายโม่! ”

ยายโม่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ยังยืนเซ่ออยู่ทําไม รีบไปช่วยคุณผู้ชายขนของเข้ามาซิ!”

“ ขอรับ ! ”

ขณะเสียงนี้ดังขึ้น ผมก็เห็นผู้ชายใส่ชุดหลากสี พร้อมหมวกทรง กลมออกมาจากจวน

ผู้ชายพวกนี้ หน้าขาวปากแดง เท้าไม่ติดพื้น ลูกตาไม่เคยขยับ

 

เห็นได้ชัดว่า คนพวกนี้ต้องเป็นคนกระดาษแน่ๆ

พอถึงตอนกลางคืน พวกมันก็จะกลายเป็นคนรับใช้ของมู่หลงเหยียน พอฟ้าสางอีกครั้ง ก็จะกลับมาเป็นคนกระดาษดังเดิม

หลังจากคนกระดาษวิ่งมาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ทุกตัวก็ทําท่าคารวะผม แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

หลังจากนั้นก็ทําตัวเนี้ยบมาก เข้ามาช่วยกันยกโลงเหล็กที่อยู่ข้างๆผมเข้าไปในจวนมู่หลง

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นคนกระดาษ ดังนั้นพอเห็นพวกเขา ผมก็ไม่รู้สึกตกใจมากแล้ว

ต่อจากนั้นผมก็ตามพวกเขาเข้ามาในจวนมู่หลง เพิ่งก้าวเข้าประตูบ้าน ยายโม่ก็พูดกับผมว่า “ คุณผู้ชาย

เพื่อโลงนี้ คุณหนูลงทุนลงแรงไปไม่ไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ตอนนี้คุณผู้ชายแบกกลับมาแล้ว บ่าวรู้สึกขอบคุณคุณผู้ชายจริงๆเจ้าค่ะ!

 

เมื่อได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่

ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ? เธอก็ไม่ได้แค่เลื่อนดูในโทรศัพท์ผมเหรอ ? แค่นี้ก็เสียแรงแล้วเหรอ? ผมรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที

 

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงหัวเราะครู่เดียวเท่านั้น “ ผมควรทํา ผมควรทํา ! ”

ขณะคุยกัน ภายใต้การนําของยายโม่ พวกเราก็เดินเข้ามาในเรือนชั้นในแล้ว

 

เพิ่งเข้ามาในเรือนชั้นใน ผมก็เห็นรอบตัวมู่หลงเหยียนมีคนกระดาษหญิงกลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่

ตอนนี้เธอกําลังวาดภาพทิวเขาสีหมึก แถมท่าทางยังดูไม่เลวเลยทีเดียว

 

มู่หลงเหยียนวาดด้วยความตั้งใจสุดๆ ลายเส้นงดงามแบบสมัยโบราณ มองไปแล้วดูอ่อนโยนและสงบเยือกเย็น ท่าทางเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่มีผิด

แต่ภายในรูปลักษณ์ที่สง่างามของเธอ กลับซ่อนระเบิดลูกหนึ่งเอาไว้

 

“ คุณหนู คุณผู้ชายเอาของมาแล้วเจ้าค่ะ !” ยายโม่พูดด้วยความเคารพ

แต่มู่หลงเหยียนไม่เงยหน้ามามองด้วยซ้ํา เธอวาดไปพูดไป “ วางเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน! ”

 

ขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น ยายโม่ก็ชี้ให้คนรับใช้ยกโลงเหล็กไปวางเอาไว้ก่อน

 

ต่อจากนั้น ผมก็ได้มู่หลงเหยียนพูดออกมาอีกครั้ง “ เจ้ากาก เอาเสื้อผ้าฉันมาหรือยัง” 

ผมกลอกตา พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

 

แต่สุดท้ายผมก็พูดว่า “ เอามาแล้ว ของอยู่นี่หมดแล้ว !”

“ นายก็รู้เหรอว่าต้องเอามาให้ฉัน นายดูนี้มันวันที่เท่าไหร่แล้ว เทศกาลกวงกันมันวันที่ 11 วันนี้มันวันที่ 18 แล้วนะ!”

 

โอ้โห เรื่องนี้ก็โทษผมได้เหรอ? พนักงานไม่มาส่งของ แล้วผมจะทําอะไรได้ละ ?

ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา มู่หลงเหยียนก็พูดต่อทันที “ ช่างเถอะ เห็นแก่ที่นายแบกโลงเหล็กมาให้ฉัน 

ฉันจะไม่โทษนาย ไปซิ! ถอดเสื้อผ้าออก วันนี้ฉันจะวาดภาพร่างกายคนแบบร่างให้นายฟรีๆ ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อึ้งในทันที คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป

จึงถามเธอว่า “ อะไรนะ ? เธอให้ฉันทําอะไรนะ? ”

 

มู่หลงเหยียนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับทําสีหน้าจริงจัง “ วาดภาพร่างกายคนแบบร่าง ?

 

เลิกยืนซื้อได้แล้ว รีบถอดซิ! แบบไม่ใช่เสื้อผ้านะ ”

 

เมื่อคําพูดนี้ออกมา “ เวิ้ง” เสียงช็อกก็ดังขึ้นในหัวผม ผมแทบกระอักเลือดออกมาทันที

ยัยมู่หลงเหยียน เดี๋ยวนี้ยิ่งกล้าเล่นหนักขึ้นเรื่อยๆซินะ

ครั้งก่อนซ้อมผมในบ้าน ครั้งที่สองก็ยังใช้ข้ออ้างฝึกดาบ เอาไม้มาทุบผมทั้งคืน

ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ คิดจะวาดภาพขึ้นมาอีกแล้ว

ผมเป็นคนในสมัยราชวงศ์ชิงคนหนึ่ง วาดภาพทิวเขาทั้งหลายก็ว่าไปอย่าง

แต่ยัยตัวแสบ กลับอยากจะเรียนการวาดแบบตะวันตก

จะเรียนการวาดภาพสมัยใหม่ก็ว่าไปอย่าง แต่ในวันที่อากาศหนาวขนาดนี้ ยัยนี่กลับบอกให้ผมถอดเสื้อผ้า เพื่อมาเป็นแบบร่างมนุษย์ให้เธอ นี่เธอคิดจะทําให้ผมแข็งตายหรือยังไง ?

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset