ศพ – ตอนที่ 312 เผาเสื้อผ้า

ศพ ตอนที่ 312 เผาเสื้อผ้า

 

ตอนที่ 312 เผาเสื้อผ้า

 

มู่หลงเหยียนใช้ภาพเหมือนของผมผนึกโลง ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็เป็นอัปมงคลชัดๆ

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับไม่อธิบายให้ผมฟังเลยสักนิด กลับกันยังถามถึงเสื้อผ้าของเธอแทน

 

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของมู่หลงเหยียน ผมก็ได้แต่หดหูใจ

 

ได้แต่หยุดเรื่องนี้เอาไว้เพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังไงที่นี่ก็ไม่มีคนนอก

 

ถ้าผมไม่พูดออกไป ก็ไม่มีใครรู้หรอก

 

พอคิดได้แบบนี้ ผมก็ถอนหายใจยาวๆ หลังจากนั้นก็พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ เสื้อผ้าอยู่นี่หมดแล้ว เธอมาลองดูซิ !”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็เดินไปหากระเป๋าที่อยู่ข้างๆ

 

ในกระเป๋าใบนี้ มีแต่เสื้อผ้าที่มู่หลงเหยียนซื้อมาจากอินเตอร์เน็ต

 

เห็นได้ชัดว่ามู่หลงเหยียนกำลังดีใจ พอเห็นว่าผมเปิดกระเป๋าแล้ว เธอก็เอาเสื้อผ้าแต่ละตัวออกมาดูทีละตัวๆ ท่าทางทั้งตื่นเต้นและดีใจสุดๆ นอกจากนี้ยังเอามาเทียบที่หน้าอก แล้วถามผมว่าดูดีไหมอีกต่างหาก

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนทำท่าทางดีใจ ผมก็ลืมเรื่องภาพเหมือนไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากมู่หลงเหยียนตรวจสอบเสื้อผ้าทุกตัวเสร็จแล้ว เธอก็พูดกับผมอีกครั้ง “ โอเคแล้ว ของครบแล้วนายรีบเผาให้ฉันเถอะ ! ”

 

มู่หลงเหยียนเป็นแค่ผีผู้หญิง เสื้อผ้าในตอนนี้ เธอยังไม่สามารถใส่ได้

 

“ อือ ” ผมตอบรับสั้นๆ จากนั้นก็บอกให้เธอไปยืนรออยู่ข้างๆ

 

หลังจากนั้นผมก็หยิบธูปออกมาจากห่อ จุดแล้วปักลงบนดิน

 

ในเวลาเดียวกันก็เอากระดาษเหลืองที่เตรียมเอาไว้แล้ว ออกมา เขียนชื่อม่หลงเหยียนลงไป

 

ผมจุดไฟใส่กระดาษที่พื้นก่อน พอกระดาษติดไฟแล้ว มันก็ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

 

จากนั้นผมก็ใช้ไฟที่กำลังลุกไหม้นี้ เผาเสื้อผ้าไหมสีอ่อนหนึ่งตัวจากนั้นก็นำเสื้อที่ติดไฟแล้ว ไปโยนใส่กองเสื้อผ้าที่เหลือ

 

ไฟลุกสูงขึ้นฟ้า ทำให้รอบๆสว่างไสวขึ้นมา หลังจากเสื้อผ้าติดไฟหมดแล้ว มันก็ทิ้งกองขี้เถ้าเอาไว้กองนึ่ง ขณะเดียวกันในอากาศก็มีกลิ่นเหม็นไหม้เต็มไปหมด

 

เสื้อผ้าพวกนี้มีไม่เยอะมาก ผ่านไปไม่นานมันก็โดนเผาจนหมดเกลี้ยง

 

มู่หลงเหยียนและยายโม่ต่างยืนดูอยู่ข้างๆ โดยเฉพาะมู่หลงเหยียน เธอทำตาปริบๆราวกับแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว

 

เพราะต้องทำพิธีก่อน หลังจากเปลวไฟดับแล้ว มู่หลงเหยียนก็จะได้รับของทั้งหมด

 

ตอนเปลวไฟกองสุดท้ายดับ มู่หลงเหยียนก็เอื้อมมือเข้าไปในกองขี้เถ้า แล้วดึงเสื้อผ้าออกมาที่ละชุดๆ

 

ตอนมู่หลงเหยียนหยิบเสื้อผ้าพวกนี้ออกมา เธอดีใจแทบบ้า

 

แต่คราวนี้เธอไม่ได้หยิบออกมาเทียบกับหน้าอก ขณะหยิบเสื้อผ้าแต่ละชุดออกมา เธอก็หมุนตัว ลองเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่พวกนั้นที่ละชุด

 

ขณะมองเสื้อผ้าชุดใหม่บนตัว เธอก็ทำท่าทางดีใจสุดๆ

 

“ เจ้ากาก นายว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง ? ” ขณะพูด มู่หลงเหยียนก็กางแขน ฉีกยิ้มให้ผม ทำหน้ารอคอยคำตอบจากผม

 

ไม่พูดไม่ได้ มู่หลงเหยียนหน้าตาดี และหุ่นดีอีกด้วย

 

แม้ว่าตอนนี้อากาศจะหนาวมาก แต่เธอกลับกำลังใส่กระโปรงลายดอกไม้ที่ทำจากผ้าเนื้อบาง

 

กระโปรงตัวนี้ทรงสวยมาก พออยู่บนตัวมู่หลงเหยียนแล้ว มันก็ยิ่งมีชีวิตชีวา และสวยเข้าไปใหญ่

 

ผมพยักหน้ารัวๆ “ ดูดีมาก สวยมาก ! ”

 

“ ฮ่าๆๆๆ งั้นเหรอ แล้วชุดนี้ละ ?” หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็หมุนตัวอีกรอบ ทันใดนั้นเสื้อยีนส์ที่เข้าคู่กันก็มาอยู่บนตัวเธอ

 

คราวนี้ มู่หลงเหยียนก็สวยไปอีกแบบนึง

 

เหมือนกับเด็กสาวข้างบ้าน ที่พอเห็นแล้วเราก็ไม่อาจลืมได้เลย

 

ต่อจากนั้น มู่หลงเหยียนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกตัวรอบหนึ่ง หุ่นหลงเหยียนดีมาก ไม่ว่าจะใส่อะไรก็สวยทั้งนั้น

 

หลังจากรอเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มันก็ดึกมากแล้ว

 

ผมจึงพูดกับมู่หลงเหยียนและยายโม่ว่า “ น้องศพ ยายโม่ ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ !”

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน “ ครั้งนี้นายเอาเสื้อผ้ากับโลงมาให้ฉัน มันก็ค่อนข้างจะลำบากหน่อย ! ฉันจะไปหยิบของมาให้นาย ไม่แน่ในอนาคตนายอาจจะได้ใช้มันก็ได้”

 

“ ของ ? ของอะไร ? ” ผมพูดด้วยความสงสัย

 

มู่หลงเหยียนกลับแบมือออกมา ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบ และบนมือเธอก็มีกระดิ่งหนึ่งอันปรากฏขึ้น

 

กระดิ่งอันนี้ดูเก่ามาก แถมข้างบนยังมีอักษรสลักเอาไว้อีกด้วย

 

“ กระดิ่ง ”

 

“ คือ กระดิ่ง แต่มันไม่ใช่กระดิ่งธรรมดานะ มันเป็นกระดิ่งกุมวิญญาณ มีผลต่อการควบคุมสิ่งชั่วร้ายมาก นายชอบออกไปข้างนอกบ่อยๆ เอาสิ่งนี่ติดตัวไปด้วย เพื่อเกิดอะไรขึ้นมามันอาจจะช่วยนายได้บ้าง ! ”

 

มู่หลงเหยียนอธิบายอย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกันก็ยื่นกระดิ่งกุมวิญญาณมาทางผม

 

กระดิ่งกุมวิญญาณ แค่ได้ยินชื่อก็ฟังดูไม่เลวแล้ว

 

แต่เห็นได้ชัดว่ากระดิ่งกุมวิญญาณ ไม่อาจเทียบกับอาวุทของลัทธิเต๋าได้

 

มู่หลงเหยียนเป็นแค่วิญญาณตนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเธอใช้มันไม่ได้อยู่แล้ว ในเมื่อเธอมอบสิ่งนี้ให้ผม

 

งั้นผมก็ไม่เกรงใจเลยแล้วกัน

 

“ โอเคงั้นฉันจะรับไว้!”

 

ขณะพูด ผมก็หยิบกระดิ่งกุมวิญญาณมาไว้ในมือ

 

แต่พอมาอยู่ในมือแล้วถึงได้รู้ว่า กระดิ่งกุมวิญญาณอันนี้หนักมาก ไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุอะไร ด้านนอกยังมีผนึกขี้ผึ้งปิดเอาไว้อีกชั้น

 

มู่หลงเหยียนเห็นผมสำรวจกระดิ่งอันนี้ เธอก็เลยพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ฉันใช้เจ้านี่ไม่ได้ ก็เลยผนึกเอาไว้พอกลับไปแล้ว นายแกะมันออกก็ใช้ได้แล้ว ! ”

 

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เพราะด้านนอกมีขี้ผึ้งผนึกไว้หนึ่งชั้นมู่หลงเหยียนถึงกล้าใช้มือถืออาวุธชิ้นนี้เอาไว้

 

ไม่อย่างนั้นด้วยร่างวิญญาณของมู่หลงเหยียน ไม่มีทางแตะต้องของสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน

 

ถึงจะทำได้ ก็ต้องทำให้เธอบาดเจ็บ หรือสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย

 

ผมหัวเราะฮ่าๆและพยักหน้ารับ หลังจากนั้นก็เก็บเจ้านี้ให้เรียบร้อย หลังจากบอกลาเสร็จ ผมก็ออกจาก

 

จวนมู่หลงเพียงลำพัง

 

เรื่องภาพเหมือนและโลง ผมก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

 

มันชัดเจนมาก มู่หลงเหยียนเองก็ไม่คิดจะอธิบายให้ผมฟัง

 

สำหรับเรื่องที่เอาภาพเหมือนของผมไปแปะไว้บนฝาโลง ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด

 

อาจารย์เคยพูดเอาไว้ โลงเหล็กโลงนี้ที่มู่หลงเหยียนเลือกมามีประโยชน์มาก

 

ในเมื่อมันมีประโยชน์เยอะ งั้นก็คงไม่เอารูปไปแปะมั่วๆ

 

แต่เพราะมีข้อมูลที่น้อยเกินไป มันเลยทำให้เดาได้ยาก ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยไม่คิดให้ปวดหัวอีก

 

พอเดินออกจากปาก๋ยหม่าแล้ว ไอเย็นที่อยู่รอบๆก็หายไป

 

ผมถือกระดิ่งที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ เดินตรงกลับบ้านทันที

 

ระหว่างนั้นไม่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น พอกลับมาถึงห้อง ก็เข้าช่วงรุ่งเช้าแล้ว

 

ผมไม่มีเวลามาทำลายผนึกกระดิ่งกุมวิญญาณแล้ว หลังจากล้างหน้าเสร็จ ผมก็เข้าไปซุกในที่นอนทันที

 

วันถัดมา ผมนั่งละลายขี้ผึ้งด้านนอกตัวกระดิ่งกุมวิญญาณ จากนั้นก็สำรวจมันอีกพักหนึ่ง

 

ผมพบว่ามันเป็นกระดิ่งทองแดง ไม่ได้มีแค่คำว่า “ กุม” สลักเอาไว้ ด้านในยังมีพวกอักขระบางอย่างสลักเอาไว้อีกด้วย

 

ตัวกระดิ่งทองแดงทั้งลูก ดูประณีตมาก

 

ผมลองเขย่ามันสองสามครั้ง “ กริ้งๆๆ ” เสียงกระดิ่งใสแจ๋วเป็นกระดิ่งที่ดีอันหนึ่งเลยทีเดียว

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้ากระดิ่งทองแดงอันนี้ จะมีผลยังไง เวลาตอนเจอกับวิญญาณชั่วร้าย

ต่อจากนั้น ผมก็เอาไปให้อาจารย์ดู

 

หลังจากอาจารย์ลองดูให้ละเอียดแล้ว เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย บอกว่าเป็นอาวุธที่ดีชิ้นหนึ่ง

 

แต่จะมีพลังรบยังไง เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

 

แต่ก็ให้ผมพกเจ้านี่ติดตัวเอาไว้ กระดิ่งทองแดงอันนิดเดียว พกพาสะดวกถ้าเจอปัญหายุ่งยาก เจ้ากระดิ่งอันนี้อาจช่วยชีวิตผมไว้ก็ได้

 

เรื่องก็เป็นแบบนี้ เวลาก็ผ่านไปอีกพักหนึ่ง

 

ในช่วงเวลานี้เงียบสงบมาก ไม่มีปัญหามากวนแต่อย่างใด

 

ตามหลักแล้วทุกคนควรดีใจกันสุดๆถึงจะถูก แต่เหล่าเฟิงและพวกเรากลับเริ่มร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ

 

เพราะวันที่ท่านนักพรตตูและพี่เฟิงสัญญาเอาไว้จะมาถึงแล้วอย่าว่าแต่แก่นหยินแดงเลย ตอนนี้แม้แต่ผีผู้หญิงชุดแดง เราก็ยังไม่มีเบาะแสเลย……

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset