ศพ – ตอนที่ 313 เอาชีวิตคนงานก่อสร้าง

ศพ 3 เอาชีวิตคนงานก่อสร้าง

ตอนที่ 313 เอาชีวิตคนงานก่อสร้าง

ในช่วงเวลานี้ นอกจากเฝ้าร้าน ผมก็เล่นเกม ดื่มชาอะไรต่างๆนานาใช้ชีวิตสงบสุขอย่างน่าประหลาด

แต่ทุกคนต่างเก็บเรื่องหนึ่งเอาไว้ในใจ นั่นก็คือเรื่องของเหล่าเฟิง

เหล่าเฟิงมีสองวิญญาณในร่าง วิญญาณอีกดวงหนึ่งก็คือพี่ชายของเขาหานเฉ่วเฟิง

เพื่อปกป้องเหล่าเฟิงเมื่อสามปีก่อนท่านนักพรตต์ สัญญาเอาไว้กับพี่เฟิงว่าภายในสามปีหลังจากนั้นเขาจะหาแก่นหยินแดงมาให้หนึ่งเม็ดทําให้เลิกแย่งชิงอํานาจในการควบคุมร่างกับเหล่าเฟิง

แต่ระยะเวลาสามปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เหลือเวลาแค่อาทิตย์เดียวแล้ว

ยังไม่ได้แก่นหยินแดงมาครอง หรือแม้แต่เบาะแสเลยก็ว่าได้

พอถึงเวลา พี่เฟิงที่เคยสงบเงียบมาตลอดสามปี ก็จะเริ่มชิงอํานาจในการควบคุมร่างจากเหล่าเฟิงอีกครั้ง

ตอนนี้อาจยังดีอยู่ เพราะร่างกายของเหล่าเฟิงแข็งแรงดีจิตใจมั่นคง

แต่พอมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายเหล่าเฟิง ผลที่ตามมาก็คงยากจะคาดเดา

ภายในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนใช้ช่องทางทุกอย่างที่ตัวเองมี หาผีชุดแดงหนึ่งตน เพื่อจะได้เอาแก่นหยินแดงมาครอง

เหล่าฉันเป็นหัวหน้าในสุสาน เขาสามารถติดต่อกับคนในสุสานอื่นค้นหาเบาะแสตามสถานที่น้อยใหญ่ในเมืองได้

อาจารย์และท่านนักพรตต์ ก็มีช่องทางของตัวเอง เช่นติดต่อพวกคนที่ขายธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง

ใช้ช่องทางของพวกเขา ติดต่อร้านที่ขายของเกี่ยวกับงานศพในบริเวณใกล้เคียง เพื่อจะได้ข่าวคราวอะไรบ้าง

ท่านนักพรตตู้เดินทางไปทั่วทุกที่ มีคนรู้จักไม่น้อย หนึ่งในนั่นก็คือคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา

เขามีช่องทางการติดต่อคนพวกนี้ไม่มากก็น้อย เขาก็สามารถใช้คนพวกนี้ตามหาเบาะแสของผีชุดแดงได้

แต่เดิมที่ผีชุดแดงก็เป็นสิ่งชั่วร้ายที่โหดหินสุดๆ ผีที่หายากแบบนี้มีไม่บ่อยนักที่จะมันจะเกิดขึ้นมาบนโลก

แต่พอปรากฏตัวขึ้นแล้ว ก็จะก่อเรื่องจนอีกฝ่ายอยู่ไม่เป็นสุขต่ําทรามสุดๆไปเลยละ

ถึงแม้ทุกคนจะมีช่องทางที่ว่ามา แต่ตอนนี้เราก็ยังหาเบาะแสของผีชุดแดงไม่เจอ

ในขณะที่ทุกคนท้อ คิดว่าไม่มีโอกาสแล้ว ผมก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง

เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ผมก็ค่อยๆเดินเข้าไปหยิบมาดู

เมื่อเห็นว่าเป็นเสี่ยวม่าน ผมก็อึ้งไปพักหนึ่ง

นี่ก็ผ่านมาพักหนึ่งแล้วที่ผมไม่ได้ติดต่อกับเสี่ยวม่าน ตอนนี้จู่ๆเธอก็โทรมาหาผมเธอมีเรื่องอะไรกันนะ ?

ผมสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากกดรับสายทันที “ฮัลโหล !

“ ติงผ่านทําอะไรอยู่ ? ” เสียงที่คุ้นเคยของเสี่ยวม่านก็ดังขึ้น

ผมฉีกยิ้มให้คนในโทรศัพท์ทันที “ จะทําอะไรได้ละก็เฝ้าร้านนะซิ !โทรมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ”

พอเสียวม่านได้ยินผมพูดแบบนี้ น้ําเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที “ มีเรื่องบางอย่างน่ะ เอ่อคือ คือว่า…”

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านทําเสียงอําๆอึ้งๆ ผมก็พูดกับเธอไปตรงๆ “เราสองคนเป็นอะไรกัน ? มีเรื่องอะไรเธอก็พูดออกมาเลยเถอะ !”

“ คือ ! ได้ ฉันมีเรื่องอยากรบกวนให้นายช่วยหน่อย และนายต้องช่วยฉัน ! ” เสี่ยวม่านพูดเสียงหนักแน่นมาก

เมื่อได้ยินน้ําเสียงของเสี่ยวม่าน มันก็บอกได้ทันทีว่าเธอกําลังเจอปัญหาบางอย่าง

ในฐานะเพื่อนตั้งแต่เด็กของผม ถ้าช่วยได้ ผมก็ต้องช่วยอย่างแน่นอน “ ว่ามาซิ ! เรื่องอะไร ? ไปเจอของสกปรกมาเหรอ ? ถ้าช่วยได้ฉันจะช่วยแน่นอน ”

ผมพูดอย่างหนักแน่น เพราะสิ่งที่ผมจะช่วยเสี่ยวม่านได้ก็คงมีแต่เรื่องขับไล่สิ่งชั่วร้ายหรือปราบปีศาจแล้ว

เมื่อเสี่ยวม่านได้ยินถึงตรงนี้ เธอก็ลดเสียงลงต่ํา แล้วพูดกับผมว่า “มันเป็นแบบนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันเป็นตัวแทนบริษัท ได้ที่ดิน เขตทางใต้มาผืนนึงเดิมที่อยากจะสร้างผลงานให้แม่และคณะกรรมการบริษัทเห็น

แต่มันก็เกิดเรื่องขึ้น

ต่อจากนั้น เสี่ยวม่านก็เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นออกมาทีละนิดๆ

ฟังมาประมาณสองสามนาที ผมถึงเข้าใจต้นสายปลายเหตุของ

เรื่องนี้

เรื่องครอบครัวของเสี่ยวม่านผมก็เล่าไปหมดแล้ว ครอบครัวของเธอเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง แม่บุญธรรมของเธอเป็นประธานบริษัทคน ปัจจุบัน

ตอนนี้เสี่ยวม่านกําลังฝึกงานอยู่ที่บริษัท ที่จริงมันก็คือบริษัทสาขาย่อยของครอบครัวเธอที่อยู่ในเมืองของพวกเรา

เพราะเสี่ยวม่านได้ยินได้เห็นทุกอย่างจากแม่ เธอเลยเข้าใจการทําธุรกิจอย่างลึกซึ้ง

จากเด็กฝึกงาน เธอสามารถสร้างผลงานออกมาได้เร็วมาก

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน แม่เธอยกตําแหน่งรองผู้จัดการทั่วไปของบริษัทสาขาย่อยนั้นให้เธอ

เพราะอยากให้เธอได้ฝึกฝีมือมากกว่าเดิม

ในเวลาเดียวกันก็หวังว่าเสี่ยวม่านจะสร้างผลงานใหญ่ให้พวกคณะกรรมการบริษัทเห็น ว่าเธอไม่ได้สวยแต่รูป แต่มีความสามารด้วย

หลังจากเสียวม่านเข้ารับตําแหน่ง สิ่งแรกที่เธอต้องทําก็คือทําตามแผนบริษัทของเธอ เอาที่ดินมาสร้างอาคาร

นี่ก็คือธุรกิจที่ทํากําไรได้มากที่สุดในปัจจุบัน แต่ก็มีการแข่งขันสูงที่สุดเช่นกัน เป็นธุรกิจที่ล้างผลาญเงินมากที่สุด

บริษัทลูกมีข้อจํากัดด้านการเงิน ไม่อาจซื้อที่ทําเลทองได้ทําได้เพียงซื้อที่ดินที่รองลงมาเท่านั้น

เสี่ยวม่านไปเจอที่ดินทางใต้ผืนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ซื้อกลับมา

ตอนนี้ผู้จัดการแนะนําเสียวม่านว่า ให้สร้างวิลล่าที่นี่ ทําเป็นบ้านพักต่างอากาศห่างไกลตัวเมืองชมทิวเขาและป่าไม้เขียวขจี

บอกว่าแบบนี้จะต้องดึงดูดพวกคนรวยให้มาซื้อได้แน่ๆ ในเวลาเดียวกันก็จะสร้างผลงานได้เร็วกว่าเดิม

หรือแม้แต่ทําเงินได้เร็วอีกด้วย

แต่เสี่ยวม่านกลับส่ายหัว ตามที่เสี่ยวม่านวางแผนเอาไว้ เธอจะสร้างที่พักอาศัยราคาถูกและพื้นที่เช่าแบบกลุ่มที่นี่

ห้องแต่ละชุดจะมีราคาต่ํากว่าตลาด 20 % ทํากําไรได้จากร้านค้าเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยราคาประหยัด

การตัดสินใจครั้งนี้ถูกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทลูกคัดค้านหรือแม้แต่พวกผู้บริหารอาวุโสในบริษัทแม่

ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดทางธุรกิจของเสี่ยวม่าน

บอกว่าบริษัทของพวกเขาไม่ใช่พ่อพระ สร้างบ้านก็เพื่อหาเงินไม่ได้อยากช่วยเลือกคนยากไร้

ผลลัพธ์เสี่ยวม่านเถียงทุกคน และยืนกรานว่าจะทําสิ่งนี้ให้ได้

ดังนั้น เสี่ยวม่านเลยไปทําให้ทุกคนไม่พอใจ

ตอนนี้ไม่ได้มีแค่พวกคณะกรรมการบริษัทเท่านั้นที่หัวเราะเยาะเสี่ยวม่าน แม้แต่พนักงานในบริษัทลูก ก็ยังไม่ยอมฟังคําสั่งของเสี่ยวม่าน

แต่ก็ยังโชคดี ที่เสี่ยวม่านยุติเรื่องนี้ลงได้

แต่เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ก็มีปัญหาเกิดขึ้น

ที่ไซต์งานก่อสร้างขุดเจอโลงศพโลงหนึ่ง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นปกติในงานก่อสร้าง มันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

ผลลัพธ์พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น คนงานที่ขับรถขุดก็ถูกฆ่าตายในบ้านพักพนักงาน

หลังจากสามวันติด คนงานที่เคยแตะโลงศพโลงนั้น ก็ค่อยๆตายไปที่ละคนๆ จนถึงคนสุดท้าย

าดผวามาก :

ตอนนี้คนงานในไซต์ก่อสร้างหวาดผวามาก งานก่อสร้างถูกระงับเอาไว้สองวันแล้ว

ใครๆก็บอกว่าขุดเอาผีร้ายออกมา เจ้าผีร้ายตัวนี้คิดจะเอาชีวิตผู้

คน

เสี่ยวม่านรู้ดี ว่าบนโลกนี้ไม่ได้ดูสงบอย่างที่เห็น และเธอก็เชื่อเรื่องผีร้ายด้วย

ถ้าไม่จัดการโลงศพโลงนั้น งานก่อสร้างต้องดําเนินต่อไม่ได้แน่ๆหรือแม้แต่จะมีคนตายเพิ่มอีก

เสียวม่านอยากจะทําตัวเข้มแข็ง ไม่อยากเจอปัญหาแล้วเอาแต่วิ่งไปหาแม่ของเธอ

ด้วยเหตุนี้เธอก็เลยไม่ได้ไปหาลุงฉินคนนั้น กลับกันเธอก็คิดถึงผมขึ้นมา

ก็เลยโทรมาหาผม หวังว่าผมจะยอมออกโรง ช่วยเธอจัดการปัญหาที่ไซต์ก่อสร้าง

พอฟังที่มาที่ไปของเรื่องนี้จบ ผมก็พูดขึ้นมาทันที “ เสี่ยวม่านเธอวางใจได้ในเมื่อโทรมาหาฉันแล้ว

ฉันก็ต้องจัดการให้เธอแน่นอน ! ”

“ จริงเหรอ ? งั้นก็เยี่ยมไปเลย แล้วนายจะเข้ามาดูเมื่อไหร่ละ ? ”เสียงเสี่ยวม่านในโทรศัพท์ดูดีใจขึ้นมาเล็กน้อย

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องด่วน ผมไม่ได้ลังเลอะไร ตอบกลับเสี่ยวม่านทันที “ เธอไปรอฉันที่นั่นเลย ฉันเก็บของเสร็จแล้ว จะออกไปหาเธอเลย ! ”

หลังเสี่ยวม่านได้ยินคําตอบของผม เธอก็ดีใจชวนผมคุยอีกสองสามประโยคหลังจากนั้นก็วางสายไป

เพิ่งวางสาย อาจารย์ที่นั่งเก้าอี้โยกอยู่ก็ถามผมว่า “เป็นอะไร ? มีปัญหาเหรอ ? ”

ผมพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ อ๋อ ! เสี่ยวม่านโทรมาครับ เธอบอกว่าที่ไซต์งานก่อสร้างขุดเจอโลงศพเก่าโลงหนึ่ง ตอนนี้มีคนตายไปหลายคนแล้ว! เธอเลยให้ผมเข้าไปดูหน่อย…”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset