ศพ – ตอนที่ 315 ตรวจสอบไซต์งานก่อสร้าง

ศพ

ตอนที่ 315 ตรวจสอบไซต์งานก่อสร้าง

โลงศพสีดําสนิท ด้านบนสลักรูปหมาสามตัวและยังมีโซ่เหล็กอีกด้วย

คนที่ทําแบบนี้ต้องการทําให้คนตายถูกขังอยู่ในโลงตลอดกาลดังนั้นถ้าดูจากโลงเหล็ก บวกกับโซ่เหล็กแล้วยังมีรูปสลักหมาอีกด้วย

แบบนี้ คนตายไม่เพียงไม่สามารถออกมาจากโลงได้ แต่ยังต้องทุกข์ทรมานจากโลงเหล็ก และโดนหมาทําร้ายอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า คนที่จัดเตรียมโลงเหล็กนี้ขึ้นมา จะต้องมีความแค้นต่อผู้ตายในโลงมากแน่ๆ

เพราะแบบนี้ ผู้ตายในโลงจึงต้องถูกขังอยู่ในนั้นทุกวันคืนทนทุกข์ทรมานจากความมืดและความเย็น

ความเจ็บปวดจากการกัดของหมาชั่ว พอเจอเรื่องพวกนี้นานเข้าก็จะกลายเป็นวิญญาณร้าย

ตอนนี้ดูเหมือน จะกลายเป็นวิญญาณร้ายโดยสมบูรณ์แล้วและยังลงมือฆ่าคนติดต่อกันอีกด้วย

ตอนนี้สิ่งเดียวที่เรายังไม่มั่นใจ ก็คือวิญญาณร้ายตนนี้ชั่วช้าถึงขั้นไหนแล้ว

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ คิดว่าเรื่องนี้เริ่มรับมือยากมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆหยางเฉ้วก็พูดขึ้นมาว่า “ ผู้ช่วยฟางโลงศพโลงนั้นอยู่ที่ไหน เราขอดูหน่อยได้ไหม ? ”

เมื่อฟางฉางเจียงได้ยินแบบนั้น ก็ทําหน้าอึดอัดใจทันที เขาส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “ ตอนนี้ดูไม่ได้แล้วครับ เมื่อเช้านี้ หลังสํานักมรดกและวัฒนธรรมสํารวจเสร็จ ก็ขนโลงเหล็กใบนั้นไปแล้วครับ ”

“ ไม่มีโลงเหล็กแล้ว งั้นก็ลําบากหน่อยแล้วละ !” หยางเจ่วบนพึมพํา

ผมเหลือบมองฟ้าด้านนอกตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

ดังนั้นเลยพูดกับทุกคนว่า “ เบาะแสในตอนนี้ก็มีอยู่เท่านี้ไหนๆเราก็มาแล้วยังไงคืนนี้ก็ต้องจัดการเจ้านั้นให้ได้”

“ ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เราเคยคิดบ้างไหม ว่าโลงโดนขนไปแล้วหรือจะพูดอีกอย่างคือ ศพโดนย้ายไปแล้ว

ผีตัวนี้มีโลงมีศพ มันอาจตามโลงกับศพตัวเองไปแล้วก็ได้โลงกับศพไม่อยู่ที่นี่แล้ว แล้วผีตัวนั้นยังจะอยู่ที่นี่อีกเหรอ ? ” หยางเฉ่วพูดเสริม

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ในใจผมก็มีเสียงดัง “ อีก”

ใช่แล้ว! เจ้าผีร้ายนั่นมีโลงและศพอยู่

โลงและศพโดนย้ายไปแล้ว งั้นเจ้าผีร้ายนั่น ก็อาจออกไปจากที่นี่แล้วไม่อยู่ที่นี่แล้ว

หรือจะพูดอีกอย่างคือ แม้ไซต์งานก่อสร้างแห่งนี้จะมีคนตาย

หลายคน

แต่ต่อจากนี้ ก็ไม่ต้องให้เราออกโรงอีกแล้วเพราะที่นี่กลับมาสงบอีกครั้งแล้ว

แต่ปัญหาคือ โลงเหล็กเปิดแล้ว ผีตัวนั้นก็กลายเป็นวิญญาณร้ายแล้วไม่ว่ามันจะตามศพไปที่ไหน มันก็ต้องลงมือฆ่าคนต่ออย่างแน่นอน

ผมขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากกว่าเดิมแล้ว

แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆฟางฉางเจียงกลับพูดออกมาว่า “ ไม่มีศพแล้วมีแคโลงครับตอนนั้นคนงานไม่กี่คนช่วยกันเปิดโลง โลงเพิ่งเปิดออกศพผู้หญิงในโลงก็กลายเป็นฝุ่นผง แม้แต่เศษซากกระดูกก็ไม่เหลือ

แปลกสุดๆ คนที่อยู่ตรงนั้นตกใจไม่น้อยเลยละครับ ”

“ แต่ต่อมาก็ได้ยินผู้เชี่ยวชาญพูดว่า ว่าอะไรนะปรากฏการการระเหยทางธรรมชาติ จู่ๆศพก็ลอยขึ้นบนฟ้า แล้วสลายกลายเป็นอากาศธาตุทันทีเรื่องนี้ผมจําได้แม่นครับ.”

พอได้ยินฟางฉางเจียงพูดเรื่องพวกนี้ด้วยน้ําเสียงหนักแน่นผมก็ตัวแข็งที่อทันที “ถ้าอย่างนั้น ผีตัวนั้นก็ไม่มีศพแล้วในเมื่อไม่มีศพงั้นผีผู้หญิงตัวนี้ก็หนีออกจากโลงได้แล้ว และก็ไม่ตกอยู่ในข้อจํากัดใดๆแล้วงั้นซิ ! ”

พอหยางเจ่วและเหล่าเพิ่งคิดได้ถึงจุดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเช่นกัน

เหล่าเฟิงพูดตามมาติดๆ “ แบบนี้อันตรายยิ่งกว่าเดิมแล้วถ้าปล่อยให้ผีประเภทนี้หนีไปได้ หรือวิ่งเข้าไปในเมืองจะหาตัวยากมากเลยละ ! และไม่มีวิธีควบคุมด้วย หรือแม้แต่จะจับตัวก็จับได้

ยากมาก ”

เหล่าเฟิงพูดไม่ผิดเลยสักนิดปกติแล้วพอวิญญาณกลายเป็นผีร้ายแล้วจะมีเงื่อนไขพิเศษมากมาย

ถึงจะกลายเป็นวิญญาณร้ายแล้วและดุร้ายมากขนาดไหนก็ตามก็มักมีข้อจํากัดของอาณาเขตในการเคลื่อนไหวทั้งนั้น

เช่นเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่อยู่ในตึกร้าง อาณาเขตของเธอก็มีแค่ตึกร้างเท่านั้น

ยังมีผีทารกและผีผู้หญิงในบ่อน้ําอาณาเขตของพวกเขาก็มีแค่ในบ่อน้ําและบริเวณบ้านหลังนั้นเท่านั้น

หากผีผู้หญิงคนนี้ไม่มีศพแล้วจริงๆก็เหมือนกับฆาตกรลอยนวลที่สามารถฆ่าคนได้ทุกเมื่อ

“ ต้องหายัยผีนี่ให้เจอ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาต้องร้ายแรงมากแน่ๆ !”หยางเฉ่วก็พูดเช่นกัน

ผมที่อยู่ข้างๆพยักหน้ารับ หลังจากนั้นก็ปรึกษากับทั้งสองคน

ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่การช่วยแก้ปัญหาให้ไซต์งานก่อสร้างของเสี่ยวม่านคนเดียวแล้ว ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ผลที่ตามมาต้องร้ายแรงสุดๆใครก็ตามที่อยู่แถวนี้อาจตกเป็นเป้าหมายได้

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนเราทําได้แค่เริ่มเดินหาจากไซต์งานก่อสร้างไปจนถึงข้างนอกเท่านั้น

ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว แต่พวกเรายังให้เสี่ยวม่านและฟางฉางเจียงพาพวกเราไปดูข้างนอก โดยเฉพาะหลุมที่ขุดเจอโลงเหล็ก

พอออกจากห้องทํางานแล้ว ทุกคนก็เดินไปที่ไซต์งานก่อสร้างทันที

ผมกวาดตามองฮวงจุ้ยคร่าวๆ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ดูมีฮวงจุ้ยที่เลวร้ายอะไร ถือเป็นที่ที่พอใช้ได้ที่หนึ่ง

สร้างอาคารที่นี่ หรือสร้างสุสาน ก็ไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงสถานที่ที่ขุดเจอหลุมศพ

ที่นี่มีหลุมดินแห่งหนึ่ง สูงประมาณสามเมตรตอนนี้โดนขุดไปครึ่งหนึ่งโลงศพก็ออกมาจากหลุมนี้

เพราะสํานักมรดกและวัฒนธรรมมาสํารวจไปแล้วดังนั้นสิ่งที่เกี่ยวกับหลุมศพ เลยโดนย้ายออกไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่หลุมศพที่ทรุดตัวลงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ไม่มีของอย่างอื่นเลยสักชิ้น

“ ที่นี่แหละครับ โลงศพใบนั้นออกมาจากที่นี่แหละครับ !” ฟางฉางเจียงชี้ไปที่หลุมศพ

ผมพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พาหยางเนิ่วและเฟิงเฉิวหานเข้าไปดู

เราตรวจสอบรอบๆครู่หนึ่ง แต่นอกจากดินแล้วก็มีแต่ดิน ไม่เจอเบาะแสอะไรมากนัก

หลังจากนั้นพวกเราก็ยึดที่นี่เป็นจุดเริ่มต้น ในการเดินสํารวจดูรอบๆ

หลังจากสํารวจดูทั้งไซต์งานแล้ว ก็พบว่าแม้แต่พลังหยินสักนิดสักหน่อยเราก็ยังสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด

เมื่อไม่มีพลังหยิน งั้นก็หมายความว่ารอบๆนี้ไม่มีวิญญาณอยู่

ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นผีผู้หญิงคนนั้นก็คงไปจากที่นี่นานแล้วไม่ได้อยู่ในไซค์งานตั้งแต่เรามาถึงแล้ว

เมื่อผู้ช่วยฟางได้ยินว่าในไซต์งานไม่มีผีตนนั้นแล้ว ก็ดีใจขึ้นมาทันที “ เยี่ยมไปเลย ขอแค่เจ้าสิ่งนั้นไม่อยู่ในไซต์งานของพวกเราไซต์งานของพวกเราก็จะก่อสร้างได้อย่างสงบสุขแล้ว รองผู้จัดการพรุ่งนี้ผมไปจะบอกให้คนงานเริ่มกลับมาทํางานอีกครั้ง ! ”

ถึงผู้ช่วยฟางจะดีใจ แต่พวกเราสามคนกลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด

ผีผู้หญิงตนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ งั้นก็บอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเธอไปที่อื่นแล้วถ้าไม่จัดการเธอซะ งั้นต่อไปก็จะมีคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากให้เป็น ผมขมวดคิ้วสมองตื้อไปชั่วขณะ

แต่จู่ๆหยางเนิ่วที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ ผีไม่ได้อยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างแล้ว แถมตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าเราอยากจัดการผีตัวนี้ก็ต้องคิดหาวิธีเรียกเธอกลับมา หลังจากนั้นก็จัดการเธอซะ !”

เสียงของหยางเฉ่วเพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็พูดขึ้นมาทันที “ เรื่องนี้ไม่ถือว่ายากอะไร ฉันกับอาจารย์เดินทางไปทั่ว เคยใช้วิธีเรียกวิญญาณไม่น้อยหลุมศพของเธอเพิ่งเปิดไม่นาน ที่จริงเราสา มารถใช้ประโยชน์จากหลุมศพเปิดหลุมเรียกวิญญาณได้ ! ”

เมื่อได้เหล่าเฟิงพูดถึงขนาดนั้น คิ้วที่เคยขมวดแน่นของผมก็คลายออกทันที

ใช่แล้ว ! ทําไมฉันคิดไม่ออกนะ ถึงผีตัวนี้จะเป็นอิสระแล้วตอนนี้ไม่มีข้อจํากัดเรื่องอาณาเขต

แต่พวกเราก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย เราก็สามารถใช้วิธีของตัวเองได้บีบให้ยัยนี่กลับมาก็จบแล้วน

ถึงตอนนั้นเราก็วางกับดักรอเอาไว้ ขอแค่ยัยนี่กลับมา เราก็จะจับหรือกําจัดได้ทันที

ผมดีใจ พยักหน้ารัวๆทันที “ คือ วิธีนี้ใช้ได้”

แต่หลังจากฟางฉางเจียงที่อยู่ข้างๆได้ยิน กลับทําหน้าตกใจทันที “ ท่าน ท่านนักพรตทุกท่านแบบ แบบนี้ไม่ดีมั้ง”

“ ในเมื่อเจ้านั้นไม่อยู่ในไซต์งานของเราแล้ว งั้นก็ปล่อยมันไปเถอะพวกคุณพวกคุณจะเรียกมันกลับมาทําไมอีก หาก หากมีค นตายขึ้นมาอีกไซต์งานไซต์งานของเราจะทํางานกันไม่ได้แล้วนะครับ ! ”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset