ศพ – ตอนที่ 316 เรียกวิญญาณ

ศพ ตอนที่ 316 เรียกวิญญาณ

ตอนที่ 316 เรียกวิญญาณ

จู่ๆก็ได้ยินฟางฉางเจียงพูดแบบนั้น สีหน้าของพวกเราสามคนจึงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

ให้ตายเถอะมีคนตายไปเยอะขนาดนี้แล้ว นายยังเอาแต่สนใจไซต์งานก่อสร้างของตัวเองอีก

หยางเฉ่ว่าฟางฉางเจียงในทันที “ ทําไมยัยผีนั่นไม่ฆ่านายไปด้วยนะ ถ้าไม่จัดการยัยผีนั้น คนต่อไปที่จะตายอาจเป็นครอบครัว หรือลูกเล็กเด็กแดง.”

“ เธอ….” ฟางฉางเจียงโมโหจนตาแดง

แต่กลับโดนเสี่ยวม่านห้ามเอาไว้ก่อน “ พวกเขาพูดถูก ผู้ช่วยฟาง ถึงจะก่อสร้างต่อไม่ได้ อย่างมากสุดก็แค่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบความปลอดภัย งานล่าช้าออกไปประมาณปีครึ่ง แล้วก็จ่ายเงินชดเชยอีกนิดหน่อย แต่ถ้ามีคนตายขึ้นมาอีก มันจะแย่ยิ่งกว่าเดิมนะ! ฉันเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ติงฝาน เฟิงเฉิวหาน

หยางเฉวเรื่องนี้ต้องรบกวนพวกนายแล้ว !”

เสียงของเสี่ยวม่านเพิ่งเงียบลง ฟางฉางเจียงก็กระซิบกับเสี่ยวม่านต่อทันที “ ท่านรองผู้จัดการ ไม่ซิ

คุณหนูใหญ่ ท่านต้องคิดให้ดีนะ ตอนนี้คุณหนูกําลังโดนจับตามองอยู่ ไม่ใช่เวลาที่ควรเอาอารมณ์มาตัดสินปัญหานะ การทดสอบคุณของคณะกรรมเริ่มขึ้นแล้วนะครับ ถ้างานก่อสร้างโดนเลื่อนออกไป แน่นอนว่าเงินชดใช้นิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ผลงานที่คุณสร้างมาจะเสียเปล่าเลยนะครับ ถึงเวลานั้นการก้าวอยู่ในบริษัทในอนาคตของคุณ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง ! หรือท่านประธานอาจโดนพวกคณะกรรมการพวกนั้นกดดันเลยนะครับ

ผมเข้าใจเสี่ยวม่านอย่างหนึ่ง ถึงจะไม่แน่ใจ แต่เห็นได้ชัดว่าธุรกิจของครอบครัวเสี่ยวม่านไม่ใช่เล่นๆ

ในฐานะที่เสี่ยวม่านเป็นว่าที่ประธานคนต่อไป จึงมีคณะกรรมการบางคนไม่เห็นด้วย

แต่เรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางธรุกิจของพวกเขา แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ผีตนนี้ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องจับตัวมาให้ได้ ในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย ในเมื่อเข้ามารับรู้แล้ว ก็ไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน

และหลังจากเสี่ยวม่านได้ยินฟางฉางเจียงพูดเช่นนั้น เธอก็คลี่ยิ้มออกมา “ เงินสามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีชีวิตแล้ว ก็คือไม่มีแล้ว ! บรรดาคนงานที่บริสุทธิ์ไม่กี่คนในไซต์งานพวกนั้น ฉันก็ไม่อยากให้พวกเขาตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ เรื่องของบริษัท พักเอาไว้ก่อนเถอะ ”

“ คุณหนูใหญ่ คุณ คุณต้องคิดให้ดีนะ สายตานับไม่ถ้วนในบริษัทกําลังจับตาดูคุณอยู่นะ !” ฟางฉางเจียงพูดต่อ เขาไม่อยากให้พวกเราเรียกผีมาที่นี่ และไม่อยากให้ไซต์งานต้องได้รับความเสี่ยงอีก

แต่เสี่ยวม่านกลับส่ายหัว “ ผู้ช่วยฟาง เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ตกลงตามนี้ละ ”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านก็หันมาพูดกับพวกเรา “ ติงฝาน พวกนายจะทําอะไรก็ทําเลย ! เราขุดโลงศพได้จากไซต์งานของพวกเรา ยังไงเราก็ต้องรับผิดชอบเรียกเธอกลับมา ! พวกนายลงมือเถอะ

เมื่อเห็นเสี่ยวม่านเห็นด้วย ผมก็พยักหน้าเล็กน้อย “ เสี่ยวม่าน เธอเข้าใจถือเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่เธอสบายใจได้ พวกเราจะไม่ทําให้ไซต์งานของเธอเกิดเรื่องอีก ถ้าทุกอย่างราบรื่น ตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป

พวกเธอก็เริ่มทํางานต่อได้แล้ว !”

พอพูดจบ ผมก็หันไปมองหน้าหยางเนิ่วและเหล่าเฟิง

ทั้งสองคนต่างพยักหน้าให้ผม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้ต้องจัดการผีตนนี้ให้ได้

ฟางฉางเจียงเห็นเสี่ยวม่านตัดสินใจแล้ว ก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี เพียงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราเท่านั้น “ งั้นก็ต้องรบกวนท่านนักพรตทุกท่านแล้ว เรื่องนี้สําคัญมาก หากไซต์งานของพวกเราเกิดเรื่องขึ้นมาอีก มันต้องส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการทดสอบที่บริษัทใช้ประเมินรองผู้จัดการแน่นอน ดังนั้นท่านนักพรตทุกท่าน ได้โปรดจัดการให้เรียบร้อยหมดจดด้วย ทางเราจะต้องตอบแทนอย่างดีแน่นอน ! ”

ผมยกยิ้มที่มุมปาก “ วางใจได้ ! เรื่องของคนกันเอง พวกเราต้องคิดหาวิธีจัดการให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกคุณไปอยู่ในห้องก่อนเถอะ! พอจัดการเสร็จแล้ว พวกเราจะไปบอกให้พวกคุณรู้เอง ! ”

ขณะพูด พวกเราก็หยิบอาวุธออกมา เตรียมทําพิธีที่หลุมศพ

ส่วนเสี่ยวม่านและฟางฉางเจียงอยู่ที่นี่ต่อไปก็ทําอะไรไม่ได้ พวกเขาเลยไม่อยู่ต่อนานนัก หลังจากนั้นก็กลับไปรอข่าวที่ห้องทํางานในไซต์งานก่อสร้างทันที

พวกเราเองก็ไม่รอช้า รีบตั้งทําแท่นบูชา เตรียมเรียกวิญญาณ

ปกติแล้วการเรียกวิญญาณแบ่งออกเป็นสองประเภท

ประเภทแรกเรียกว่าเชิงหุน อย่างที่สองเรียกว่าหวางหุน

เชิงทุนก็คือผีเร่ร่อน เป็นการเรียกแบบสุ่ม ไม่มีการระบุเป้าหมาย

ใดๆ

ตอนผมแต่งงาน เราก็ใช้วิธีนี้เรียกวิญญาณในปากุ่ยหม่า

ส่วนหวางหนตรงกันข้ามกัน มันคือการเรียกวิญญาณผีตนใดตนหนึ่ง

สิ่งที่พวกเราทําอยู่ตอนนี้ คือการเรียกวิญญาณแบบหวางหุน

แต่วิธีนี้ยากกว่า แถมของที่เกี่ยวข้องก็มีค่อยข้างเยอะ

จําเป็นต้องใช้ของที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายเป็นสื่อ ถึงจะทําพิธีนี้ได้

ของพวกนี้มีสามประเภท ประเภทแรกคือวันเดือนปีเกิดของผู้ตาย

หากมีของสิ่งนี้แล้วขอแค่ผู้ทําพิธีมีความสามารถเพียงพอ ก็จะมีโอกาสเรียกวิญญาณได้สําเร็จถึง 90%

ประเภทที่สอง ของที่อยู่บนร่างกายผู้ตาย เช่นผมและเล็บเป็นตน

ประเภทนี้จะมีโอกาสทําสําเร็จถึง 70-80%

ประเภทที่สาม ของที่คนตายเคยใช้ ของประเภทนี้มีขอบเขตกว้างมาก สามารถเป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

เพียงแต่ความสําเร็จของประเภทนี้ต่ํามาก มีแค่ 30% เท่านั้น

แม้โอกาสจะไม่สูง แต่พวกเราก็ต้องลองดู ไม่อย่างนั้นการหาตัวผีตนนี้ ก็คงเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร เราไม่มีทางเลือกแล้ว

แน่นอน การเรียกวิญญาณยังมีข้อกําหนดอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือ วิญญาณตนนั้นต้องอยู่บนโลกไม่ได้ลงนรก

ไม่อย่างนั้นถึงจะใช้พลังขนาดไหน ก็ไม่มีทางทําสําเร็จได้อย่างแน่นอน

แท่นพิธีไม่ได้ยุ่งยากอะไร ก็แค่มีธงเรียกวิญญาณ และธูปเทียนอะไรพวกนั้น

หลังเตรียมของครบทุกอย่างแล้ว พวกเราก็ทําธงเรียกวิญญาณปักใจกลางหลุมศพ หลังจากนั้นก็เริ่มพิธีเรียกวิญญาณได้แล้ว

คราวนี้คนทําพิธีคือเหล่าเฟิง เขาเคยพเนจรไปทั่ว จึงเคยใช้พิธี เรียกวิญญาณมาไม่น้อย

การเรียกวิญญาณครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายสําหรับเขา เขาเลยทํา ทุกอย่างออกมาได้อย่างราบรื่น

ผมและหยางเนิ่วทวงเวทย์สะกดอยู่ข้างๆ เราใช้เชือกแดงทํา เป็นวงเวทย์ ทําเอาไว้ใช้ซุ่มโจมตี หลังจากนั้นเราก็ใช้ดินกลบอีกชั้น

ในเวลาเดียวกันเราก็ทํากับดักซุ่มโจมตีเอาไว้ทั้งสองด้าน ขอแค่ เป้าหมายปรากฏตัว พวกเราก็กระตุกเชือกแดง ขังอีกฝ่ายเอาไว้ ในนั้นทันที

หลังจากนั้นค่อยร่วมมือกัน เรียกสติผีร้ายคืนมา หรือไม่ก็กําจัด ทิ้งซะ

ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอแค่ให้ผีร้ายกลับมาเท่านั้น

ปากของเหล่าเฟิงท่องคาถาเรียกวิญญาณไม่หยุด ในมือร่ายรํากระบี่อย่างต่อเนื่อง

เพราะเราใช้วิธีที่สามเรียกวิญญาณ จึงต้องใช้เวลานานหน่อย

ปกติแล้ว ถ้าใช้วันเดือนปีเกิด จะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงก็สําเร็จแล้ว

ถ้าเป็นวิธีที่สอง ก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมง

แต่ถ้าเป็นวิธีที่สาม ก็พูดยากแล้ว เพราะอย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้ถึงสามชั่วโมง และจะสําเร็จหรือเปล่า ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เวลาเดินไปเรื่อยๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว

แต่ตอนนี้รอบๆยังคงสงบเหมือนเดิม ธงเรียกวิญญาณก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย

เหล่าเพิ่งทําพิธีเรียกวิญญาณมาสามชั่วโมงแล้ว จึงดูค่อนข้างเหนื่อย แต่รอบๆก็ยังสงบเหมือนเดิม

ดังนั้น ผมและหยางเจ๋วเลยส่งสัญญาณให้เขาเปลี่ยนกะ

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยเข้าไปแทนเหล่าเฟิง ทําพิธีเรียกวิญญาณต่อไป ให้เหล่าเฟิงได้ไปพักสักครู่หนึ่ง

แต่แล้วก็ต้องบอกว่า ถึงผมจะใช้วิชาเรียกวิญญาณเป็น แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยกับมัน

เหล่าเพิ่งทําพิธีเรียกวิญญาณสามชั่วโมงติดอย่างราบรื่น มีแค่อาการเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น

แต่ผมเข้าไปได้แค่หนึ่งชั่วโมง ก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว หายใจหอบเหนื่อย สภาพดูแย่มาก

หยางเฉ่วเห็นผมทนไม่ไหวแล้ว เธอก็เลยอาสาบอกว่าจะรับช่วงต่อจากผมเอง

ผมออกมาถอนหายใจ เช็ดเหงื่อที่กําลังไหลบนหน้าผากของตนเอง จากนั้นก็มองดูเวลาอีกรอบ

ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว พิธีเรียกวิญญาณผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้ว

แต่ธงเรียกวิญญาณก็ยังไม่ขยับเหมือนเดิม ผมเลยไม่รู้ว่ายัยผีนี่จะโดนเรียกมาเมื่อไหร่จริงๆ

แต่ก็ทําอะไรไม่ได้ ได้แต่ทําพิธีต่อไปเท่านั้น

หลังจากรอมาประมาณหนึ่งชั่วโมง หยางเนิ่วก็ทําท่าจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เธอส่งสัญญาณให้เปลี่ยนกะ เธอจะออกมาพักบ้าง

ดังนั้นเหล่าเฟิงเลยเตรียมจะเข้าไป แต่ไม่รอให้เหล่าเฟิงได้ลุกขึ้น จู่ๆกระดิ่งที่แขวนอยู่หน้าแท่นบูชาก็สั่นขึ้นมา “ กริ้งกริ้ง กริ้งกริ้ง”

รอบๆเงียบสงบ เสียงนี้เลยฟังดูดังเป็นพิเศษ

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เราสามคนก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ในใจมีเสียงดัง “ อีก ”

ไม่รอให้รู้ตัว จู่ๆก็มีลมเย็นพัดเข้ามาจากทุกทาง

“ ฮี้ฮี้ ” ขณะที่เสียงลมดังขึ้น เศษดินบนพื้นก็ปลิวคลุ้งไปทั่วฟ้า

อุณหภูมิที่เคยอบอุ่น ลดลงเหลือแคสี่ห้าองศาทันที ทําให้เราตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้

และธงเรียกวิญญาณที่เคยเงียบสงบมาโดยตลอด ในเวลานี้ กลับขยับขึ้นมาดื้อๆ

ธงเรียกวิญญาณสบัดไปตามลมแล้ว

เมื่อเห็นรอบๆเปลี่ยนไป สีหน้าผมก็มืดมนลงทันที ผมแอบพูดเบาๆว่า มาแล้ว

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset