ศพ – ตอนที่ 318 ดุร้าย

ช่วงเวลานั้น ผมหายใจไม่ออกเลย

แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ หลังจากที่รู้สึกว่าโดนบีบคอ แรงดึงมหาศาลจากที่ไหนก็ไม่รู้ก็ตามมาติดๆ

ผมไม่อาจปัดป้องใดๆได้เลย ตัวผมโดนแรงดึงมหาศาลนั้นกระฉากตัวออกไปทันที

ตอนนี้ผมไม่อาจควบคุมร่างกายได้เลย ผมลองพยายามดิ้นรนแล้ว แต่สุดท้ายก็เสียแรงเปล่า

ปากก็ส่งเสียงออกมาไม่ได้ ทำได้แค่เพียงพยายามส่งเสียงตะโกน “ อื้อฮือฮือ ” ออกมา

“ ติงฝาน ! ”

“ เหล่าติง ! ”

พอหยางเนิ่วและเหล่าเฟิงเห็นฉากนี้ ก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทุกคนยังไม่พร้อมรับมือเลยด้วยซ้ำ

และก็คิดไม่ถึงด้วย ว่ายัยผีตัวนี้จะมีลูกเล่นแบบนี้

หลังเหล่าเฟิงตะโกนเสร็จ เขาก็ไม่กล้ารอช้า เอามือทั้งสองข้างกุมเชือก แล้วกระตุกให้กับดักกระชับตัวทันที

เขาอยากใช้กับดักนี้หยุดการกระทำของผีตรงหน้า ช่วยผมให้หลุดออกจากอันตราย

แต่วิธีนี้ไม่ได้ผลเลยสักนิด พอผีตนนั้นหันมามอง เหล่าเฟิงที่กำลังจะกระชับกับดัก ก็นิ่งอึ้งในทันที

ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าถอดสี ราวกับการมองของผีผู้หญิงคนนี้ ทำให้เหล่าเฟิงกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตัวเขาหยุดนิ่งอยู่กับที่

ลองหันมามองทางหยางเฉ่ว วินาทีต่อจากนั้นเธอก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าทันที เอื้อมมือดึงเสื้อของผมเอาไว้

เพื่อป้องกันไม่ให้ผีผู้หญิงคนนั้นดึงผมไปหา

แต่หยางเฉ้วก็ซื้อได้ค่อนข้างลำบาก แรงดูดมหาศาลนั้น ทำให้แม้แต่ตัวหยางเนิ่วก็ต้องถูกลากไปข้างหน้าด้วย

แต่ในเรื่องของความเร็ว ก็ลดลงมาพอสมควร

ผีผู้หญิงค่อยๆหันมามอง ทางผมกับหยางเนิ่ว

ใบหน้าของเธอยังคงดุร้ายเหมือนเดิม ปากเผยให้เห็นเขี้ยวยาวที่พ่นลมหายใจที่เยือกเย็นออกมา “ ฮึฮึฮึ… ”

ดวงตาปลาตายคู่นั้น จองพวกเราอย่างดุร้าย ในปากพ่นน้ำเสียงที่เย็นชาและโมโหร้ายออกมา

“ ไอ้ชายโฉดหญิงชั่ว วันนี้ฉันจะแยกพวกแกทั้งคู่ออกจากกัน”

หลังจากพูดจบ มือที่ยื่นออกมาของเธอก็ทำท่าบีบอย่างแรงวินาทีนั้นแรงดูดที่มองไม่เห็นก็เพิ่มขึ้นในทันที

คอของผมโดนบีบแรงมาก จนแทบหายใจไม่ได้ ผมหน้าแดง รู้สึกอึดอัดผิดปกติ

แต่ในใจของผมกลับรู้ดี ยัยผีตนนี้มีพลังเยอะมาก ถ้าโดนดูดเข้าไปใกล้ฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้ว จุดจบของผมจะต้องออกมาอนาถอย่างแน่นอน เช่นอาจโดนยัยผีตัวนี้บีบคอจนตายหรือไม่ก็โดนกัดตายในที่เดียว

เหล่าเฟิงโดนอีกฝ่ายจ้องจน “ เหวอ ” ตอนนี้หน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว ยืนนิ่งอย่างกับรูปปั้น

แม้หยางเฉ่วจะดึงผมเอาไว้ แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ผมก็อาจทำให้เธอต้องลำบากไปด้วย

ตอนนี้ผมต้องช่วยตัวเองเท่านั้น

วิธีที่ผมจะช่วยตัวเองได้ในตอนนี้ ก็คือการใช้ยันต์

แม้จะไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม แต่ยังไงผมก็ต้องลองดูสักตั้ง

เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็กลั้นหายใจ ทนต่อความรู้สึกอึดอัดจากทั่วร่าง

หยิบยันต์ที่เอวออกมาอย่างรวดเร็ว นี่คือยันต์อัญเชิญเทพติงเจีย 12 องค์

เป็นยันต์ที่ทรงอนุภาพที่สุดที่ในบรรดายันต์ทั้งสามที่อาจารย์สอนผม และเป็นยันต์ที่ร่ายคาถายากที่สุด

ยันต์ชนิดนี้ไม่เพียงสามารถสยบปีศาจและศพได้ แต่ยังสามารถใช้จัดการกับวิญญาณชั่วร้ายได้อีกด้วย

ผมไม่ได้คิดอะไรเยอะแยะ ตอนนี้ผมทำได้แค่ใช้ยันต์แผ่นนี้เท่านั้น ใช้ประโยชน์จากพลังของยันต์สลายพลังชั่วร้ายของยัยผีตัวนี้ เพื่อทำให้ตัวเองกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ หลังจากหยิบยันต์ออกมา ผมก็เสกคาถาอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปใกล้ผีผู้หญิง ผมก็ประสานมือทั้งสองข้างเป็นรูปดาบ

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่หน้ากำลังแดงก่ำ ผมก็พยายามพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง !”

เสียงเพิ่งเงียบลง ผมก็ยื่นยันต์ไปข้างหน้าเล็กน้อย

ทันใดนั้นเอง ยันต์ปราบสิ่งชั่วร้ายแผ่นนี้ก็เปล่งแสง

“ ตูม” พร้อมด้วยเสียงระเบิดตามมาติดๆ มันกลายเป็นประกายไฟ

ขณะที่ประกายไฟปะทุขึ้น ยันต์แผ่นนั้นก็เริ่มทำงานตรงหน้าของผม

ขณะที่ยันต์แผ่นนั้นเริ่มปลดปล่อยพลังออกมา จู่ๆแรงมหาศาลที่บีบคอผมเอาไว้ก็หายไป แรงดึงนั้นก็หยุดตามมาติดๆ

ผีผู้หญิงที่ยืนห่างออกไปห้าเมตร ก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าโดนพลังของยันต์หยุดยั้งเอาไว้

เธอในตอนนี้ จ้องผมด้วยความโมโห ขณะเดียวกันก็เตรียมจะลงมือกับผมอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ไอตามสัญชาตญาณสองสามครั้ง แล้วต่อด้วยการหายใจเข้าเฮือกใหญ่ๆ

“ พวกเราถอยเร็ว ! ” หยางเฉวรีบพูด

ผมเองก็รู้ดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพักหายใจ ต้องทิ้งระยะห่างให้ปลอดภัยจากยัยผีตัวนี้ก่อน

ยัยนี่แข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ หากไม่ทิ้งระยะห่าง เราต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ

ขณะพยายามหายใจ ผมถอยไปข้างหลังหลายก้าวอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกันก็หยิบเชือกแดงขึ้นมาจากพื้น เตรียมกระชับกับดับให้แน่น

“ ไอ้ชายโฉดหญิงชั่ว คอยดูเถอะว่าฉันจะฆ่าพวกแกยังไง”

ผีผู้หญิงตะคอก ขณะเดียวกันก็คิดจะเข้ามาโจมตีพวกเราอีกครั้ง

เมื่อได้ยินผีผู้หญิงพูดแบบนั้น ผมก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด รีบกระตุกกับดับให้แน่นทันที

กับดับรูปร่างสี่เหลี่ยมหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มันกำลังจะขังผีผู้หญิงเอาไว้ตรงกลาง

แต่ยัยผีตัวนี้ กลับทำท่าไม่กวาดกลัวเลยสักนิด และยังทำบางอย่างที่เหนือความคาดหมายของพวกเราอีกด้วย

เธอเห็นตัวกับดักกำลังหดเล็กลง ในปากกลับเค้นเสียงดัง ฮึ หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้น

ทันใดนั้นเองลมจากทั่วสารทิศก็พัดเข้ามากับดักที่กำลังหดตัว นั้น “ ตูม” มีเสียงระเบิดดังตามมาติดๆ

เชือกแดงที่ถักทอขาดวิ่น ยันต์ที่ติดอยู่ก็ลุกไหม้

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมกับหยางเฉ่วก็ตะลึงในทันที

เวรละ ยัยผีนี่น่ากลัวเกินไปแล้วมั้ง

นี่มันวงเวทย์ที่ทำมาจากเชือกแดงนับร้อยเส้นเลยนะ

ผีปกติทั่วไป แค่คิดจะเข้ามาใกล้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะโดนพลังของยันต์ทำร้าย

แต่ยัยผีตรงหน้า กลับใช้แค่ฝ่ามือเดียว ก็สามารถทำลายเส้นใยที่ทรงพลังของพวกเราได้แล้ว

ผมเริ่มกลัว ความแข็งแกร่งของยัยผีตัวนี้ เกินกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก

เมื่อเห็นความน่าเกรงขามของอีกฝ่าย ผมก็คิดว่าอย่างเธอน่าจะถึงระดับเต้าชื่อจงฉีแล้ว

หรือจะพูดอีกอย่างคือ พลังของอีกฝ่ายสูงกว่าพวกเราแล้ว

ผมใจสั่น แต่ก็ไม่ได้ยืนซื้ออยู่เฉยๆ

รู้ว่าในเวลานี้ยิ่งลังเลเท่าไหร่ ความตายก็จะเข้ามาหาเร็วเท่านั้น

หลังจากลังเลพักหนึ่ง ผมก็รีบดึงดาบไม้ออกมา

หยางเนิ่วก็ตอบสนองเช่นกัน เธอเองก็ดึงดาบไม้ตามมาติดๆ

แต่ไม่รอให้พวกเราได้ทำขั้นต่อไป ยัยผีตัวนั้นก็คำรามออกมา “ โฮก ” หลังจากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

การเคลื่อนไหวเร็วสุดๆ จนเห็นเป็นภาพซ้อนทับกัน

ภายในช่วยพริบตา เธอก็มาอยู่ในรัศมีสังหารแล้ว แถมเธอยังเหวี่ยงกรงเล็บที่คมกริบเข้ามาแล้ว

ม่านตาของผมขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันผมก็รีบตะโกนออกมาว่า “ รีบหลบ ! ”

ขณะพูด ผมก็ผลักตัวหยางเนิ่วอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็ตวัดดาบออกไปรับมือ

แต่การตวัดดาบที่หุนหันพันแล่นของผม กลับไม่โดนคู่ต่อสู้เลย

กลับกันกลับกลายเป็นสร้างโอกาสให้อีกฝ่าย “ แควก ” กรงเล็บพวกนั้นกวาดมาโดนหน้าอกของผมตรงๆ

ตอนนี้ผมกำลังใส่เสื้อขนเป็ดอยู่ มันโดนข่วนเป็นรอยกรงเล็บสี่รอย พร้อมกันนั้นขนเป็ดข้างในก็ไหลทะลักออกมาทันที

ผมทำหน้าชา รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว โชคดีที่วันนี้ผมใส่เสื้อผ้าหนา การข่วนเมื่อกี้ก็เลยไม่โดนเนื้อของผม ไม่อย่างนั้นหน้าอกของผมคงโดนบาดเป็นแผลแล้ว

อีกทางด้านหนึ่ง หยางเฉ่วที่โดนผมผลักเมื่อกี้ ได้ลุกขึ้นมาแล้ว

ไม่รอให้ยัยผีนี่ลงมือกับผมอีกรอบ “ ฟั่บ ” ดาบก็พุ่งเข้าไปแทงที่ซี่โครงซ้ายของผีผู้หญิง

ผีชุดเหลืองก็รับรู้ได้ถึงอันตราย เธอจึงหันไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองเธอก็จ้องไปที่หยางเนิ่ว

เมื่อเห็นดาบกำลังพุ่งเข้ามา เธอกลับไม่หลบเลยสักนิด แต่พลิกมือเข้าไปจับเอาไว้ทันที

แม่เจ้า เธอใช้มือเดียวจับดาบเอาไว้

ดาบไม้เป็นอาวุธปราบสิ่งชั่วร้าย เป็นอาวุธออกศึกของพวกเราคนปราบสิ่งชั่วร้าย ผีทั่วไปหลบเจ้าสิ่งนี้แทบเป็นแทบตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะแตะมันตรงๆเลย

แต่ยัยผีชุดเหลืองตัวนี้ มีพลังเยอะมาก เธอคว้าดาบเอาไว้ในมือดื้อๆ

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ดาบไม้เป็นของธาตุหยาง ตอนนี้มันแผดเผาผีผู้หญิง “ ซ่าซ่าซ่า ” แถมยังมีควันลอยออกมาจำนวนไม่น้อย

แต่เหมือนผีผู้หญิงจะตายด้านไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เธอยังคงไม่ปล่อยมือ

กลับกันยังจ้องหยางเนิ่วตาไม่กระพริบ และพูดออกมาอย่างดุร้าย “ อี ยังคิดจะฆ่าฉัน ฉันจะทำลายหน้าสวยๆของแกเดี่ยว

พอพูดจบ เธอก็ออกแรงกระตุกอย่างแรง หยางเนิ้วถูกกระฉากไปตามแรง

มืออีกข้างหนึ่งของผีผู้หญิง เล็งไปที่หน้าขาวสวยของหยางเจ่วเธอกำลังจะตบ

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset