ศพ – ตอนที่ 325 ผู้นําผี

นิยาย ศพ ตอนที่ 325 ผู้นําผี

 

ตอนที่ 325 ผู้นําผี

 

วันเกิดมู่หลงเหยียนก็ผ่านมาหลายวันแล้ว

 

ในงานวันเกิดวันนั้น ผมเองก็ได้เจอแขกที่มีหน้ามีตาไม่น้อย

คนที่ผมประทับใจที่สุด ก็คือมังกรเหล็กผู้นําแห่งสุสานจินชานหวางเป้าเฉิง

 

ตอนนั้นเขาเป็นผีตนเดียวที่เข้ามาทักผมก่อน

 

ลุงวัยกลางคน ภายนอกดูเป็นคนใจดี ดังนั้นผมก็เลยประทับใจในตัวเขามากที่สุด

 

ตอนนี้จู่ๆก็ได้ยินคําว่ามังกรเหล็กแห่งเขาจินชานขึ้นมาผมเลยคิดถึงเขาทันที

 

ส่วนอีกตนหนึ่ง ผู้เฒ่าเขาผีเขาตู้ชาน ผมจําได้แค่ลางเลือนตอนนี้นึกไม่ค่อยออกแล้ว

 

ตอนนั้นแขกที่มางานมีประมาณร้อยสองร้อยตนได้ผมเองก็ไม่ได้มีสมองดีอะไรเบอร์นั้น มาถึงตอนนี้ในสมองของผมก็เหลือความทรงจําไม่มากเท่าไหร่แล้ว

 

แต่ภูเขาตู้ชานจะต้องเป็นภูเขารกร้างลูกหนึ่งที่อยู่แถวนี้อย่างแน่นอนคนท้องถิ่นอย่างเราจะเรียกเขาตู้ชานในอีกชื่อหนึ่ง “ เขาฆ่าตัวตาย”เพราะบนภูเขาลูกนั้นมีคนไปฆ่าตัวตายเป็นจํานวนมาก

 

หรือเอาแบบสดๆใหม่ๆหน่อยก็เมื่อปีที่แล้ว มีคนห้าคนไปแขวนคอตายบนเขาชานในวันเดียวกัน

 

ตอนมีคนไปพบศพ ศพก็เหม็นเน่าแล้ว

 

หลังจากเห็นเรื่องนี้ในทีวี อาจารย์ยังพูดอยู่ข้างๆอี กเล็กน้อย

 

เขาบอกว่าภูเขาลูกนั้นมีพลังหยินแรงมาก ฮวงจุ้ยอันตราย ระดับความดุร้ายไม่น้อยไปกว่าสุสานไร้ญาติทั่วไป

 

และนี่ก็คือสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับเขาตู้ชาน ส่วนเรื่องอื่น ผมเอ งก็มีข้อมูลไม่มาก

 

ตอนนี้ผมเห็นทั้งสองร่างลอยเข้าไปในสนามรบ พุ่งเข้าใส่ ผีชุดแดงอย่างบ้าคลั่งพวกเขาก็ดูทรงพลังมาก

 

เมื่อหันไปมองทางผีชุดแดง หลังจากโดนซัดกระเด็นไปแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเธอดูโมโหสุดๆในเวลานี้เมื่อเห็นผีทั้งสองตนพุ่ง เข้าไปหาเธอก็ไม่มีท่าที่จะหลบกลับกันยังคํารามออกมาครั้ งหนึ่ง หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าไปปะทะกับพวกหวางเป้าเฉิงทันที

 

การเคลื่อนไหวของพวกเขาเร็วมาก ผ่านไปแค่พริบตาเดียวทั้งสองก็เริ่มปะทะกันแล้ว

 

เพิ่งพบหน้า ผีผู้หญิงก็ยื่นกรงเล็บออกมาเธอคิดจะใช้มันฟาดฟันใส่ผีทั้งสองทําให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย

 

ผีทั้งสองตนคํารามออกมาหนึ่งครั้งในเวลาเดียวกันก็ยกมีอออกไปตบอีกฝ่าย

 

“ ตูม” เสียงระเบิดของกระแสลกรงเล็บของผีผู้หญิงตนนั้นยังไม่ทันได้สัมผัสตัวผีทั้งสองเธอก็โดนซัดจนปลิวและหล่นลงมากระแทกพื้นอีกครั้ง

 

ในเวลาเดียวกัน ผู้เฒ่าเขาผีเขาตู้ชานก็ตะโกนออกมาว่า “ เดรัจฉาน คุณชายของเราแกก็กล้าแตะคอยดูเถอะว่าข้าคนนี้จะเอาชีวิตเจ้ายังไง!”

 

หลังจากพูดจบ ผู้เฒ่าเขาก็เหยียดแขนออกทันใดนั้นเองไม้ บรรทัดเหล็กสีดําก็ยืดออกมาจากแขนเสื้อของเขา

 

พอไม้บรรทัดเหล็กดํานั้นออกมา ผู้เฒ่าเขาผู้ชานก็คว้ามาถือไว้ แล้วชี้ไปที่ผีผู้หญิงตนนั้นทันที

 

เพิ่งพบหน้ากันเท่านั้น ผีผู้หญิงก็เหมือนจะบาดเจ็บแล้ว

ในเวลานี้เธอกําลังกุมหน้าอกเอาไว้ ทําหน้าตกใจเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาอีกครั้งเธอรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ไหว

 

เลยรีบลุกขึ้นแล้วถอยหลังออกไปทันที

 

แต่หวางเป้าเฉิงผู้นําแห่งสุสานจินชานกลับเค้นเสียงดังฮี “ เดรัจฉาน ยังคิดจะหนี ”

 

หลังจากพูดจบ หวางเป้าเฉิงก็ทํามือเป็นท่าแปลกๆอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้นก็ทําเสียงดุใส่ผีผู้หญิงคนนั้นทันที “หยุดเดี๋ยวนี้ !”

 

เสียงเหมือนระฆัง มันดังกังวานไปทั้งไซต์งานทันที

 

และขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น ผีผู้หญิงที่หมุนตัวคิดจะหนีก็หยุดอยู่กับที่จริงๆ

 

เหมือนกับโดนเสียงที่น่าเกรงขามของหวางเป้าเฉิงสะกดเอาไว้ ฉากนี้ทําให้เราสามคนมองกันตาค้างเลยทีเดียว

 

แม่เจ้า! นั่นมันผีชุดแดงเลยนะ ถึงจะเพิ่งเลื่อนขั้นเมื่อกี้แต่ขั้นต่ําพลังของเธอก็น่าจะอยู่ในขั้นเต้าจจิ้นเชียวนะ

 

แต่ แต่พออยู่ต่อหน้าหวางเป้าเฉิงและผู้เฒ่าเขาตู้ชานมันก็ เหมือนกับไม่มีอะไรเลยสักนิด

 

แค่เจอหน้าก็โดนซัดกระเด็น ตอนนี้หวางเป้าเฉิงแค่ประสานมือครั้งเดียว และตะคอกออกมาอีกครั้ง ยัยผีตัวนี้ก็โดนสยบอยู่กับที่แล้ว

 

พอเห็นฉากนี้ ผมก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้ ผมช็อกแล้วช็อกอีก

สมกับฉายา “ มังกรเหล็ก ” และ “ ผู้เฒ่าเขาผี”จริงๆความสามารถนี้และพลังแบบนี้ ดูท่าว่าจะสูงกว่าของผีผู้หญิงชุดแดงหลายเท่า

 

หลังจากผีผู้หญิงโดนสะกดเอาไว้แล้ว ผู้เฒ่าเขาตู้ชานก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังผีผู้หญิง เขาทําท่าเฉยชา

 

ยกไม้บรรทัดเหล็กดําขึ้น และทําท่าจะฟาดลงไป

 

การฟาดลงไปครั้งนี้ อาจทําให้วิญญาณของยัยผีนี่แตกสลาย

ก็ได้

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็ใจสั่นทันที

 

ทําแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าผู้เฒ่าเขาตู้ซานตนนี้ทําลายแก่นพลังในตัวของผีผู้หญิงตนนี้ งั้นเราก็จะได้ไม่คุ้มเสียนะซิ

 

หากเราคิดจะหาผีชุดแดงตนใหม่ พยายามชิงแก่นหยินแดงออกมาอีกครั้ง นั่นก็คงเป็นเรื่องที่ยากมาก

 

เพราะจากระยะเวลาที่มี มันไม่อาจเป็นไปได้แล้ว

 

ดังผมเลยไม่คิดอะไรมากนัก รีบตะโกนใส่ผู้เฒ่าเขาผีว่า“ท่านผู้อาวุโสยั้งมือเอาไว้ก่อน !”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ไม้บรรทัดที่กําลังฟาดลงไปของผู้เฒ่าเขา ชานตนนั้น ก็หยุดอยู่เหนือหัวของผีผู้หญิง

 

ในเวลาเดียวกัน หวางเป้าเฉิงผู้นําสุสานจินชานและผู้เฒ่าเขาผีเขาตู้ชานก็หันมามองด้วยความสงสัย

 

ผมไม่ได้ยืนบี้ออยู่ที่เดิม ระหว่างนั้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

 

พอเห็นผีทั้งสองหันมามอง ผมก็วิ่งไปพูดไป “ พี่หวางท่านผู้อาวุโสเขาตู้ชาน เหลือลมหายใจเธอให้ผมด้วย”

 

ผู้เฒ่าเขาชาน หันมามองหน้าหวางเป้าเฉิงหวางเปาเฉิงก็พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย

 

ในเวลานี้ผู้เฒ่าเขาตู้ชานก็เก็บไม้บรรทัดเหล็กดําแต่เขากลับยังฟาดฝามือไปที่หลังของผีผู้หญิง

 

พอโดนฝ่ามือนั้นเข้าไป ตราสัญลักษณ์สีดําแปลกๆก็ติดอยู่ ที่แผ่นหลังของผีผู้หญิง

 

ร่างกายของผีผู้หญิงทรุดลงไปนอนกองกับพื้นทันทีน่าจะเพราะโดนสัญลักษณ์นั่นสะกดเอาไว้

 

ในเวลาเดียวกัน ผู้เฒ่าเขาชานก็เริ่มเดินกลับมา

 

พอเหล่าเฟิงและหยางเนิ่วที่ไกลออกไปเห็นถึงตรงนี้แม้จะไม่รู้จักพวกหวางเป้าเฉิง แต่พวกเขาก็มองออกว่าผีที่ทรงพลังทั้งสองนี้มีความเกี่ยวข้องกับผม จึงรีบวิ่งเข้ามาหาทันที

 

ไม่ว่าจะพูดยังไง ถ้าผีทั้งสองไม่ปรากฏตัวพวกเราก็อาจจะตายด้วยเงื้อมมือของผีผู้หญิงไปแล้ว

 

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงตรงหน้าของหวางเป้าเฉิงและผู้เฒ่าเขาตู้ชาน

 

“ น้องติงฝาน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ! ” หวางเป้าเฉิงทักผมก่อน ใบหน้าใจดีของเขาเปื้อนยิ้มแห่งความสุข

 

ผมไม่กล้าเสียมารยาท ทํามือคารวะหวางเป้าเฉิงและผู้เฒ่าเขาชานที่กําลังเดินเข้ามาทันที

 

“ พี่หวาง ท่านผู้อาวุโสเขาตู้ชาน เมื่อกี้ขอบคุณพวกท่านทั้งสองมากที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือพวกเรา

 

ไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว !”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายพูดอะไรขอรับ เป็นพวกเราเองต่างหากที่มาช้าเกินไป ทําให้คุณชายต้องเสี่ยงอันตรายแล้ว ” ผู้เฒ่าเขาตู้ชานพูดอย่างสุภาพ

พอหวางเป้าเฉิงเห็นแบบนั้น ก็รีบพูดขึ้นมาทันที “น้องติงฝานข้าจะแนะนําให้เจ้ารู้จัก นี่คือผู้เฒ่าผีแห่งเขาตู้ชานเพิ่งหนิว ”

 

“ ท่านผู้อาวุโสเทิงหนิว ! ” ผมทํามือคารวะอีกครั้ง

 

แต่ผู้เฒ่าเขาตู้ชานกลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” “ คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ารับไม่ไหวหรอกนะ ที่ท่านเรียกข้าว่า

 

ผู้อาวุโสน่ะ ”

 

“ งั้นงั้นผมเรียกว่าพี่เพิ่งเป็นไงครับ ” ผมลองถามผีที่ทรงพลังเช่นนี้ ถ้าผูกมิตรเอาไว้ได้คงดีไม่น้อย

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ! แบบนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย… ” ผู้เฒ่าเพิ่งหนิวเป็นผีที่ห้าวหาญ แต่เขาก็สุภาพกับผมมาก

 

แต่ในเวลาเดียวกัน เหล่าเฟิงและหยางเฉ่าก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน

 

เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็พูดกับทั้งสองคนว่า “ เหล่าเฟิงหยาง เฉ่ว พวกนายมานี่เร็ว ฉันจะแนะนําให้รู้จักกับพี่ชายทั้งสองของฉัน ! ”

 

ทั้งสองคนถึงกับอึ้ง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพียงแค่เข้ามาจับมือ แสดงความเคารพเท่านั้น

 

หวางเป้าเฉิงและเทิ้งหนิวก็ไม่ถือตัว จับมือกลับเช่นกัน

 

“ พี่เทิง พี่หวาง ทั้งสองคนนี้คือเพื่อนของผม หยางเนิ่วและเพิ่งเฉ้วหาน ท่านนี้คือมังกรเหล็กผู้นําแห่งสุสานจินชานพี่หวางเป้าเฉิง ท่านนี้คือผู้เฒ่าเขาผีเขาตู้ชาน พี่เทิงหนิว ” ผมแนะนํา

 

พอทั้งสี่คน / ตนได้ยินผมแนะนําแบบนั้น ก็ทักทายกันอย่างสุภาพ

 

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วต่างเป็นคนเก่าคนแก่ในสายงานจึงเป็นธรรมดาที่จะรู้ว่ามังกรเหล็กผู้นําแห่งสุสานจินชานและผู้เฒ่าเขาผีแห่งเขาตู้ชานคืออะไร

 

ตอนนี้พอแน่ใจแล้วว่าผีทั้งสองที่ผมแนะนําให้รู้จักเป็นผีชั้นผู้นํา แววตาของพวกเขาก็เผยให้เห็นความตกใจและแสงที่เปล่งประกายออกมาเล็กน้อย

 

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาทั้งสองคนก็สงสัยว่าผมไปรู้จักกับผีสองตนนี้ได้ยังไง

 

แต่ทั้งสองคนไม่ได้ถามออกมาในเวลานี้ พวกเขาเพียงแค่ทักทายกับผีทั้งสองตนเท่านั้น

 

ต่อจากนั้น ผมก็ได้ยินพี่เทิงหนิวพูดกับผมว่า “ น้องติงผ่าน บาดแผลบนตัวพวกเจ้ายัยผีตัวนั้นเป็นคนทําละซิ แต่ทําไมเมื้อกี้ตอนที่ข้าจะฆ่ายัยผีตัวนั้น เจ้ากลับบอกให้ข้าหยุดละ ”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset