ศพ – ตอนที่ 326 เก็บแก่นพลังหยิน

ตอนที่ 326 เก็บแก่นพลังหยิน

 

พี่เทิ๋งหนิวลากเข้าประเด็นทันที ผมเองก็ไม่อ้อมค้อม พูดออกมาตามตรง “ ไม่ปิดบังพี่เทิง พวกเราต้องการแก่นพลังในตัวผีผู้หญิงคนนั้น”

 

พอพี่เทิงหนิวและพี่หวางเป้าเฉิงได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็อึ้งไปพักหนึ่ง

 

หลังจากนั้นถึงได้ยินพี่เทิงหนิวพูดกับผมด้วยน้ําเสียงสงสัย “น้องติงฝาน เจ้าจะเอาแก่นพลังผีผู้หญิงไปทําไม เจ้าของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอกนะ ! แถมแก่ นพลังของผีชุดแดงมีพลังหยินแรงสุดๆ หากเอาไปพกติดตัว จะทําร้ายพลังหยางในร่างกายพวกเจ้าด้วยนะ !”

 

เมื่อได้ยินเทิงหนิวพูดแบบนี้ ผมก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “ พี่เทิ๋งพูดถูก แต่แก่นพลังนี้ เป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ดังนั้นเมื่อกี้ก็เลยห้ามพี่เทิ๋งเอาไว้ไงครับ !”

 

เมื่อเทิงหนิวและหวางเป้าเฉิงได้ยินผมพูดแบบนั้น ถึงจะรู้สึกสงสัยว่าพวกผมจะเอาแก่นพลังหยินไปทําไม

 

แต่พอเห็นผมไม่พูด ทั้งสองตนก็ไม่เค้นถามต่อ

 

เพียงแค่เห็นพี่เทิ๋งพยักหน้าและพูดว่า “ ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นพวกเราก็จะเอาแก่นพลังหยินในตัวผีผู้หญิงมาให้ ขอแค่ทุกคนไม่เป็นอะไร พวกเราก็จะได้กลับไปรายงานได้ถูก !”

 

ผมทํามือคํานับพี่เทิง “ ขอบคุณมากครับ !”

 

“ เกรงใจเกินไปแล้ว !”

 

หลังจากพูดจบ เทิงหนิวและหวางเป้าเฉิงก็หมุนตัว แล้วลอยไปทางผีผู้หญิงทันที

 

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนเตรียมจะลงมือด้วยตัวเอง สังหารผีผู้หญิงตนนั้นแล้วเก็บแก่นพลังหยินของเธอ

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที

 

ไม่เพียงมีชีวิตรอดมาได้ แต่ยังได้แก่นพลังของผีผู้หญิงมาครองอีกด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไงละ

 

แม้แต่เหล่าเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีดวงตาร้อนผ่าว เผยให้เห็นหน้ามีความสุข

 

แต่หยางเฉ่วกลับเข้ามาดึงแขนผมในเวลานี้ หลังจากนั้นก็พูดกับผมว่า “ ติงฝาน ผีระดับบอสแบบนี้ นายไปรู้จักได้ยังไง? »

 

ผมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าหยางเฉ่วและเหล่าเฟิงต้องถามผม ดัง นั้นผมเลยหาเหตุผลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงผมพูดว่า “ หือ ! สุสานจินชานและเขา ตู้ชานล้วนอยู่ใกล้ๆเมืองเราทั้งนั้น อาจารย์ของฉันเคยทําพิธีศพอยู่ที่นี่ตั้งยี่สิบกว่าปี

 

ย่อมต้องรู้จักผีพวกนี้เป็นธรรมดา พอนานวันเข้า ฉันเองก็ได้มารู้จักเหมือนกันก็เท่านั้น ! ดูเหมือนวันนี้เราจะโชคดีสุดๆ ผู้นําผีทั้งสองท่านคงผ่านมาพอดี ก็เลยแวะเข้ามาช่วยพวกเรานะ !”

 

ขณะพูด ผมก็เริ่มเดาในใจแล้ว

 

ที่หวางเป้าเฉิงและเทิ้งหนิวมาที่นี่ ต้องเป็นเพราะยัยมู่หลงเหยียนออกคําสั่งแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้พี่เทิงหนิวก็คงไม่พูดว่า “ พวกเราจะได้กลับไปรายงานได้ถูก” แบบนั้นหรอก

 

เพราะหยางเฉ่วและเหล่าเฟิงอยู่ด้วย ผมก็เลยไม่กล้าพูดถึงมู่หลงเหยียน และตอบอะไรมากนัก

 

แต่จากคําพูดของเทิงหนิว ผมก็มั่นใจพอสมควรแล้ว ว่าน่าจะเป็นเพราะมู่หลงเหยียนติดต่อกับพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ลอยมายังที่นี่ และในวินาที่ที่สําคัญที่สุด พวกเขาก็ได้ช่วยให้ผมหลุดพ้นจากภัยอันตราย

 

ผมกับคิดในใจแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

 

หยางเฉ่วก็ไม่ได้สงสัย เพราะคําพูดของผมมันฟังดูสมเหตุสมผล เธอเลยพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ตามเข้าไปดูทันที

 

ในเวลานี้ เทิงหนิวและหวางเป้าเฉิงมาถึงตรงหน้าของผีผู้หญิงแล้ว

 

หลังจากพวกเราตามมาถึง เทิงหนิวก็จ้องไปที่ผีผู้หญิง แล้วใช้มือเก็บผนึกที่หลังผีผู้หญิง

 

ทันใดนั้นตราสัญลักษณ์บนหลังของผีผู้หญิงก็หายไปทันที

 

ผีผู้หญิงที่เคยทรุดอยู่กับพื้นก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

ดวงตาเบิกกว้าง เผยให้เห็นถึงความดุร้าย เธอเด้งตัวขึ้นจากพื้นทันที ขณะเดียวกันก็กรีดร้องใส่พวกเราหนึ่งครั้ง

 

“ อร้าย” ทันใดนั้นเธอก็ยกกรงเล็บขึ้นมา แล้วเข้ามาทาง พวกเรา

 

แต่หวางเปาเฉิงและเทิ้งหนิวที่ยืนอยู่ด้านหน้ากลับไม่ขยับตัวเลยสักนิด พวกเขาแค่เค้นเสียงดึง ฮี จากนั้นก็แยกย้ายกันล งมือ

 

ไม่รอให้กรงเล็บของผีผู้หญิงมาถึง เธอก็โดนหวางเป้าเฉิงใช้นิ้วจิ้มไปที่ประตูชีวิต

 

วินาทีนั้น ผีผู้หญิงเหมือนโดนสกัดจุด เธอหยุดอยู่กับที่ทันที

 

แต่มันยังไม่พอเท่านั้น ผีผู้หญิงเพิ่งหยุดนิ่ง เทิงหนิวก็ล งมืออย่างกระทันหัน

 

เขาทําหน้าเยือกเย็น เอามือแทงเข้าไปในหน้าอกของผีผู้หญิงตรงๆ

 

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ ฉีก ” มือของเทิงหนิว เหมือนกับมีดที่คมกริบ มันแทงทะลุเข้าไปในหน้าอกของผีผู้หญิงแล้ว

 

ผีผู้หญิงตนนั้นทําหน้าตกใจ เผยสีหน้าทรมานออกมา แต่เพราะถูกสกัดจุดเอาไว้ เธอเลยไม่สามารถขยับได้

 

แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่า ร่างกายของเธอกําลังสันอย่างแรง

 

และมือที่เข้าไปในตัวผีผู้หญิงของเทิ๋งหนิว ก็กระฉากบางอย่างอย่างแรง ขณะดึงออกมา แก่นหยินเม็ดสีแดงเข้มก็ค่อยๆออกมาจากในตัวผีผู้หญิง

 

ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของผีผู้หญิงก็มีเสียงระเบิดดัง “ บัง” ทันใดนั้นเองสายลมที่เยือกเย็นก็สาดซัดออกมาทันที

 

สายลมที่ทรงพลัง กลายเป็นระลอกคลื่น สั่นสะเทือนรอบๆอย่างต่อเนื่อง

 

อาจเป็นเพราะทรมานเกินไป แม้แต่ผีผู้หญิงที่โดนสะกดเอาไว้ ก็ยังกรีดร้องโหยหวนออกมาในเวลานี้

 

“ อร้าย ! ”

 

หลังจากนั้น เราก็เห็นเทิงหนิวและหวางเป้าเฉิงเริ่มถอยหลัง เว้นทิ้งระยะห่างจากผีผู้หญิง

 

ส่วนผีผู้หญิงตนนั้น ตรงหน้าอกกลับดูเหมือนมีหลุมสีดําสนิทปรากฏขึ้น

 

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันเธอก็จ้องพวกเราอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ ไอ้ไอ้ชายชั่ว เอา เอาคืนมา เอาแก่นพลังของฉันคืนมา !”

 

ขณะพูด เธอก็เดินตัวสั่นมาข้างหน้าสองก้าว หลังจากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น

 

แต่เมื่อไม่มีแก่นพลังแล้ว เธอก็เหลือแค่จุดจบเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตาย

 

เพิ่งเดินได้สองก้าว เสียง “ ตุบ” ก็ดังขึ้น เธอล้มไปนอนกองกับพื้นอีกครั้ง พลังชั่วในกายเริ่มสลายหายไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันร่างกายของเธอก็เริ่มสั่นเทา

 

พวกเราเข้าใจดี นี่ก็คืออาการขั้นแรกที่วิญญาณจะแตกสลาย

 

“ น้องติงฝาน นี่คือแก่นพลัง เจ้ารับไปก่อน !” เทิงหนิว ไม่สนใจผีผู้หญิงมากนัก เขาเอาแก่นพลังมาให้ผมทันที

 

“ ขอบคุณพี่เทิ๋งมากครับ !”

 

ผมเอาสองมือไปรับไว้ ทันใดนั้นเองผมก็พบว่าแก่นพลังเป็นอะไรที่เย็นมาก เหมือนกับก้อนน้ําแข็งก้อนหนึ่ง

 

ภายนอกมีสีแดงจัด เหมือนกับเซลล์เม็ดเลือดที่แข็งตัวเป็นก้อน

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วก็เพิ่งเคยเห็นแก่นหยินแดงครั้งแรก พวกเขาเลยเข้ามามุงดูทันที

 

แต่ก็ได้ดูแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะผมเอายันต์ขึ้นมาผนึกเอาไว้ แล้วส่งให้กับเหล่าเฟิง

 

“ เหล่าเฟิง นายเอาไปซิ ! ”

 

ช่วงเวลานั้น เหล่าเฟิงเหมือนจะซาบซึ้งใจมาก “ เหล่า เหล่าติง ขอบ ขอบใจมาก ”

 

น้ําเสียงเหมือนคนจะร้องไห้ ดวงตาก็ค่อนข้างแดง

 

ผมเข้าใจว่าเหล่าเฟิงเป็นคนพูดหยาบ คําว่า “ ขอบใจ ” ถือเป็นการขอบคุณที่ดีที่สุดแล้วของเขา

 

ผมตบหลังเขาเบาๆ “ เพื่อนกันนิ จะพูดคําพวกนี้ไปทําไม ดีใจหน่อยซิ ”

 

หลังจากดูจบ ผมก็หันไปมองผีผู้หญิงที่วิญญาณกําลังจะ แตกสลายต่อ

 

เมื่อไม่มีแก่นพลังหยินแล้ว พลังชั่วร้ายในร่างกายผีผู้หญิงก็สลายหายไปเรื่อยๆ เธอในชุดสีแดง ก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองในเวลาไม่นาน

 

ขณะเดียวกันตัวเธอก็สั่นแรงยิ่งกว่าเดิม และยังพูดออกมาไม่หยุด “ ไอ้ ไอ้คนทรยศ ไอ้ฆาตกร ไอ้คนทรยศ ไอ้ ไอ้ฆาตกร…..

 

พลังชั่วร้ายไหลออกไปเร็วมาก ผ่านไปไม่นาน ชุดสีเหลีองก็เริ่มกลายเป็นสีขาวแล้ว

 

หลังจากเปลี่ยนเป็นสีขาวเต็มตัว ในร่างกายของผีผู้หญิงก็มีพลังชั่วร้ายหลงเหลือไม่มากแล้ว

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็เริ่มพบว่า ดวงตาที่ไร้นัยน์ตาของเธอเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว

 

มันค่อยๆ กลับมามีนัยน์ตาสีดําอีกครั้ง

 

หรือจะพูดว่า ในขณะที่พลังชั่วร้ายไหลออกไป แม้วิญญาณของผีตนนี้กําลังจะแตกสลาย แต่เธอก็ได้กลับมามีสติอีกครั้ง

 

เพิ่งเห็นถึงตรงนี้ จู่ๆหวางเป้าเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ประสานมือ แล้วชี้ไปยังคิ้วของผีผู้หญิง ทันใดนั้นเองก็ดูเหมือนมีหมอกสีขาวกําลังไหลเข้าไปในร่างเธอ

 

จากนั้นผีผู้หญิงที่เคยตัวสั่นไม่หยุด ก็หยุดสั่นลงดื้อๆ ราวกับความเจ็บปวดของเธอโดนวิธีนี้ระงับเอาไว้

 

และผีผู้หญิงก็ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ เธอกลับมามีสติเต็มร้อย

 

อีกครั้ง

 

ทันใดนั้นเองผีผู้หญิงที่คืนสติมาแล้วก็ตะลึงในทันที หลังจากนั้นเธอก็มองร่างที่เลือนลางของตัวเอง

 

หันไปมองรอบๆด้วยความสงสัย แล้วถึงหันมามองพวกเรา ครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

“ ที่ ที่นี่มันคือที่ไหน ? ”

 

เสียงอ่อนโยน ไม่ดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด

 

พี่เทิ๋งทําท่านิ่งเฉย พูดกับเธอตามตรง “ เจ้าลองคิดให้ดีๆ น่าจะพอนึกอะไรออกบ้าง… ”

 

ผีผู้หญิงลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงได้เริ่มนึกถึงเรื่องราวก่ อนหน้านี้

 

แต่ผ่านไปไม่ถึงห้าว เธอก็ทําตัวแข็งที่อ หลังจากนั้นก็ทําหน้าเศร้า หรือแม้แต่เริ่มร้องไห้ออกมา

 

เมื่อเห็นภาพนี้ พวกเราก็เข้าใจในทันที ความทรงจําของผีผู้หญิงกําลังฟื้นกลับมาอย่างแน่นอน

 

หลังจากนั้นประมาณสองสามนาที จู่ๆพี่หวางก็พูดกับผีผู้หญิงว่า “ แม่นาง คาถาที่ข้าใช้เมื่อกี้ สามารถขจัดความเจ็บปวดในร่างกายเจ้าได้ แต่เจ้าจะบอกพวกเราได้ไหม ว่าเจ้ามีความแค้นอันใด ถึงทําให้ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นผีชุดแดงได้ ?”

 

ผม เหล่าเฟิง และหยางเฉ่วก็ตาเบิกกว้าง เราก็อยากรู้เหมือนกัน ยัยผีที่เกือบฆ่าเราสามคน เคยเจอเรื่องอะไรมาตอนมีชีวิต

 

พอผีผู้หญิงได้ยินดังนั้น ก็ร้องไห้แหกปากออกมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ

 

ดูเหมือนความทรงจําในช่วงนั้น จะทําให้เธอเจ็บปวดมาก

 

แต่หลังจากร้องไห้ออกมาพักหนึ่ง เธอก็ยังพูดกับพวกเราว่า * ช่วงหลายปีนี้ ช่วงหลายปีนี้ฉันอยู่อย่างทรมานมาก ต้องโดนขังอยู่ในโลงเหล็กทุกข์ทรมานทุกวันคืน และเรื่องทุกอย่างนี้ก็เกิดจากไอ้ผัวชั่วที่ทําร้ายฉัน… ”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset