ศพ – ตอนที่ 330 สํานักหยินชื่อ

ตอนที่ 330 สํานักหยินชื่อ
ช่วงเวลานั้น ผมทําท่าทางแปลกๆออกมา เพ ราะผมคิดถึงคําพูดที่มู่หลงเหยียนเคยบอกผมเมื่อ ก่อนหน้านี้ได้
สํานักศพ ตอนมีชีวิตมันเคยเป็นที่ฝึกวิชาขอ งมู่หลงเหยียนต่อมาเธอได้ตายกลายเป็นหุ่นเชิดให้องค์กรตาผีและก็เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยปี
แต่ตอนนี้หยางเฉวกลับบอกผมว่า สํานักศพที่ว่าที่จริงแล้วเป็นลัทธิที่ชั่วร้ายมีชื่อเดิมว่าสํานัก หยินชื่อ
ลูกศิษย์ทั้งหมดในสํานักนี้ เดินในเส้นทางเดียว กัน นั่นก็คือการฆ่าคน
หยางเนิ่วพูดด้วยน้ําเสียงปกติ แต่ใจของผมกลับเริ่มเต้นแรง
หยางเฉ่วเห็นท่าทีของผมแปลกไป “ติงผ่านนายเป็นอะไรไป ?หรือนายจะเป็นศิษย์สํานัก หยินชื่อนั้นจริงๆเหรอ ?”
ผมรีบโบกมือทันที “จะเป็นไปได้ยังไง ? ฉัน ฉันจะเป็นศิไฟกกกกะษย์ของสํานักชั่วแบบนั้นได้ยังไง ! คือใช่แล้วเจ้าสํานักศพนี่ทําอะไรที่ชั่วร้ายบ้าง ทําไมถึงต้องฆ่าคนบนโลกด้วย !”
หยางเจ๋วพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เริ่มพูดต่อ “ถือได้ !เหตุผลที่สํานักศพโดนคนเรียกว่าลัทธิชั่วร้ายนั้น ปู่ของฉันบอกว่าศิษย์ในสํานักนี้ต้องใช้คนเป็นๆในการฝึกวิชาเพิ่มพลังให้ตัวเองศิษย์สํานักศพแต่ละคนต้องใช้คนหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นในการกลั่นยา ! ศิษย์สํานักศพคน ไหนที่มีพลังสูงมากๆก็ต้องกลั่นยาเยอะตามไปด้วย ส่วนพวกที่ถึงขั้นผู้อาวุโสหรือหัวหน้าอย่างน้อยก็ต้องฆ่าคนประมาณหนึ่งร้อยคน
ต่ําช้สุดๆเลยละ……”
หลังจากนั้นหยางเนิ่ว ก็เล่าสิ่งที่เธอรู้ให้ผมฟัง จนหมด
หลังฟังเรื่องพวกนี้จบผมก็อดสูดหายใจเข้าไม่ ได้ ฝึกวิชาที่เอาคนไปกลั่นยาเพิ่มพลังแบบนี้ ชั่วช้าจริงๆ
ในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นด้วยกับการมีตัวตนของสํานักแบบนี้และยังถือเป็นลัทธิชั่วร้ายที่บรรดาสํานักอันชอบธรรมทั้งหลายต้องเข้ามาลงโทษอีกด้วย
นอกจากลัทธิที่ชั่วร้ายนี้จะใช้คนเป็นฝึกวิชาแล้วก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่พิเศษนั่นก็คือลัทธิที่ชั่วร้ายนี้ได้ร่วมมือกับพวกผีที่บําเพ็ญตน
ผู้นําผีจากที่ต่างๆเช่นผู้เฒ่าเขาผีมังกรเหล็กผู้ดูแลโลงที่จริงแล้วการมีอยู่ของผีพวกนี้ยังมี ข้อจํากัดบางอย่างอยู่
คนกับผีมีเส้นทางที่แตกต่างกันหยินหยางแยกจากแม้พวกเขาจะอยู่โลกมนุษย์ต่อไป กลายเป็นผีที่บําเพ็ญตนแต่ก็ไม่สามารถมีส่วนเกี่ยวข้อง ใดๆกับมนุษย์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจเข้าไปยุ่ง กับสํานักใดๆได้
และห้ามต่อสู้กับมนุษย์เด็ดขาด
หากล้ําเส้น พวกเขาก็จะโดนช่วงชิง“อายุไข”และถูกส่งกลับโลกของคนตาย หากรุนแรงหน่อยก็อาจจะโดนลงโทษอีกด้วย
แต่ ในนั้นยังมีข้อยกเว้นหนึ่งอย่างนั่นก็คือสํานักหยินชื่อ
ศิษย์ของสํานักนี้ ไม่ใช่มนุษย์ไปซะทีเดียวเพราะวิธีฝึกฝนจะทําให้พลังพัฒนาขึ้นได้เร็วก็จริง
แต่ ก็ทําให้พวกเขากลายเป็นคนก็ไม่ใช่ศพก็ไม่เชิงหัวใจยังเต้นอยู่แต่เลือดกลับเริ่มไม่ค่อย อุ่นเหมือนคนปกติ
ยิ่งพลังเยอะเท่าไหร่ ร่างกายก็จะเย็นมากเท่านั้นไฟหยางทั้งสามใกล้จะสูญสลายในที่สุด
นี่ก็คือสาเหตุว่าทําไม ศิษย์ในสํานักหยินชื่อถึงถูกมองว่าไม่ใช่คนหรือศพอยู่อย่างไม่มีพลังหยินไม่มีพลัง
หยางถูกเข้าใจว่ามีชีวิตครึ่งเป็นครึ่งตาย แต่ก็เพราะการมีตัวตนแบบนี้ศิษย์สํานักหยินชื่อถึงได้ติดต่อกับผีบําเพ็ญตนพวกนี้ได้มันไม่ถือว่าผิดกฎ
ถือว่าเป็นช่องโหว่ช่องหนึ่งของกฎนี้
เรื่องนี้จึงนําไปสู่การมีอยู่ของผีบําเพ็ญตนที่โลภมากพอทนไม่ได้กับการหลอกล่อของสํานัก หยินชื่อ
พวกเขาก็เข้าไปพัวพัน และร่วมกันทําในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากทําแต่ทําไม่ได้
เพราะปรากฎการณ์แบบนี้ ดังนั้นสํานักที่ชอบธรรมทั้งหลายบนโลกเลยมั่นใจว่า มนุษย์กับผีที่บําเพ็ญตนต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนและยังโดนสงสัยอย่างมากว่ามนุษย์พวกนั้นก็คือศิษย์ของสํานักหยินชื่อ
นี่ก็คือสาเหตุว่าทําไม หยางเนิ่วถึงสงสัยว่าผม กับอาจารย์เป็นศิษย์สํานักหยินชื่อ
หลังพูดเรื่องพวกนี้จบ หยางเฉ่วยังถามผมอีกรอบและพูดถึงมิตรภาพระหว่างเธอกับผมว่าถึงผมจะยอมรับเธอก็จะไม่เอาไปบอกคนอื่นแน่ๆ
ผมกลับยิ้มอย่างขมขื่น พลังอ่อนด้อยอย่างผม จะไปเป็นศิษย์สํานักหยินชื่ออะไรนั่นได้ยังไง
เพียงแค่ในใจของผมเริ่มคิดไม่หยุดแล้วว่าตอนมีชีวิตยัยผีเมียของผม เคยเป็นคนในลัทธิชั่วที่หยางเฉ่วพูดถึงจริงๆหรือเปล่า
พอเราคุยกันมาถึงตรงนี้ ผมก็ได้ยินเสี่ยวม่านตะโกนบอกว่าการรักษาของเหล่าเพิ่งเสร็จแล้ว
ผมคลี่ยิ้มให้หยางเฉวเล็กน้อย “วางใจได้ ฉัน กับอาจารย์ไม่ใช่ศิษย์สํานักหยินชื่ออะไรนั่น อย่างแน่นอน
ถ้าฉันกับอาจารย์เป็นศิษย์ลัทธิชั่วนั่นจริงๆป่านนี้พวกเราคงกลายเป็นเศรษฐี กินอิ่มนอนอุ่นไม่ ต้องหาเช้ากินค่ําคอยออกไปช่วยผู้คนแบบนี้ หรอก”
“อ๋อ ! นั่นก็จริง แต่พอเห็นนายกับผู้นําผีพวกนั้นรู้จักกันฉันก็เลยคิดถึงคําพูดของปู่ขึ้นมาน่ะ” หยางเจ๋วพยักหน้า
“โอเค งั้นพวกเราไปดูเหล่าเฟิงกันเถอะ !”
หยางเนิ่วตอบ “อิม” จากนั้นพวกเราก็ไปที่ห้อง รักษาพร้อมกัน
เมื่อพวกเรามาถึงห้องรักษา เราก็พบว่าพวกเจ้าหน้าที่กําลังเป็นเหล่าเฟิงออกมาเพราะต้องล้าง ปอด ตอนนี้เขามีน้ํามูกไหลไม่หยุดคอยจับจมูกอยู่ตลอดเวลา
“เหล่าเฟิงตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง ?” ผมเริ่มถาม
เหล่าเฟิงจามออกมาครั้งหนึ่ง “นายลองโดนเอาท่อสอดเข้าไปในจมูกดูซิ !”
หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนี่ก็จามอีกรอบ
แม้น้ําเสียงของเขาจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่แต่ดูจากท่าทางของเจ้าหมอนี่แล้วเขาน่าจะดีขึ้นเยอะแล้ว
ต่อจากนั้น เหล่าเฟิงก็โดนพาไปที่ห้องพัก
เสี่ยวม่านมาอยู่ข้างหน้าผม แล้วจากนั้นก็พูด กับผมและหยางเฉวว่า “ติงผ่านฉันทําให้พวก นายต้องเดือดร้อนขอโทษด้วยจริงๆนะ !”
“เราสองคนเป็นอะไรกัน ? เธอยังจะมาพูดแบบ นี้อีกไม่เป็นไรหรอกน่าตอนนี้ดึกมากแล้วเธอรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ !เดี๋ยวฉันดูแลที่นี่เอง !” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม
เสี่ยวม่านทําท่าซาบซึ้งใจมาก “ใช่แล้วพวกนายจะคิดค่าจ้างเท่าไหร่พรุ่งนี้เช้าฉันจะให้คนโอ นเงินเข้าบัญชีพวกนาย !”
เสี่ยวม่านมาขอร้องให้ผมช่วย แล้วผมจะพูดเรื่องเงินกับเธอได้ยังไงแต่ไม่ว่ายังไงผมก็พูดไม่ ออกอยู่ดี
ผมเลยยิ้มแล้วพูดกับเธอว่า “ความสัมพันธ์ของ พวกเราสองคนฉันจะกล้ารับเงินจากเธอได้ยังไง ? อีกอย่าง ฉันก็ทํางานแบบนี้อยู่แล้วนี่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราเรื่องนี้ก็ให้มันจบๆไปเถอะ”
พอเสี่ยวม่านได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น ะเธอก็ทําเหมือนยอมไม่ได้หรือแม้แต่ทําท่าทางอึดอัดใจออกมา
ผลลัพธ์พอฟางฉางเจียงที่อยู่ข้างๆเห็นแบบนั้นก็กลอกตาครู่หนึ่งแล้วหลังจากนั้นก็พูดออกมาทันที
“ท่านนักพรตติง แบบนี้ไม่ได้นะครับความสัมพันธ์ของคุณกับท่านรองผู้จัดการเป็นเรื่องส่วนตัวแต่เรื่องที่ไซต์งานเป็นเรื่องของบริษัทการมาของคุณก็ถือว่าไว้หน้า และแสดงน้ําใจต่อท่านรองผู้จัดการแล้ว
แต่เรื่องที่ช่วยงานบริษัท ก็ต้องให้บริษัทเป็น คนจัดการซิครับ ทางบริษัทเราต้องให้ค่าตอบ แทนอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นมันจะไปทําลายกฎของพวกคุณไม่ใช่เหรอครับ ?”
“ท่านนักพรตติง พวกคุณไม่ได้แค่ช่วยพวกเรา จัดการเรื่องนี้ แต่ยังบาดเจ็บอีกด้วย นอกจากค่าตอบแทนของพวกคุณแล้ว ค่าพยาบาล และค่า พักฟื้นก็จะน้อยไม่ได้เด็ดขาดคุณว่าถูกไหมครับท่านผู้จัดการ”
ไม่พูดไม่ได้ สมองของเจ้าฟางฉางเจียงหมุน ได้เร็วจริงๆ แถมยังเข้าใจความคิดของเธอเป็น อย่างดี
เมื่อโดนฟางฉางเจียงถามแบบนี้ เสี่ยวม่านก็มีชี วิตชีวาขึ้นมาทันที “ใช่ติงผ่านความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นเรื่องส่วนตัวแต่นายช่วยทํางานให้บริษัทเอาแบบนี้ก็แล้วกัน !นอกจากค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดแล้ว
บริษัทของเราจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงินห้า หมื่น”
ห้าหมื่น นี่มันเงินจํานวนไม่น้อยเลยนะถึงจะเยอะไม่เท่ากับค่าตอบแทนของผีตานีครั้งที่แล้วแต่นั่นเป็นเงินที่เราแลกมาด้วยชีวิตและลูกของพวกเขาก็เป็นคุณชายเจ้าสําราญเวลารับเงินก็เลยไม่รู้สึกอะไรมากนัก
ผ่านมาแค่ครึ่งคืน เสี่ยวม่านก็ให้เงินถึงห้าหมื่นแค่นี้ก็ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เยอะมากแล้ว
หากย้อนกลับไปเมื่อก่อน ชาวบ้านที่เป็นคนจนเราไม่รับค่าตอบแทนจากพวกเขาก็มี
และบางครั้งที่ต้องออกไปทําพิธีในงานศพถึง สิบที่และในแต่ละที่ยังต้องอยู่เฝ้าสามวันสามคืนแบบนั้น
พวกเรายังได้เงินไม่ถึงห้าหมื่นเลย
แค่เอ่ยปากเสี่ยวม่านก็ให้ถึงห้าหมื่นแล้วเธอช่างใจกว้างจริงๆ
ผมและหยางเฉวก็เข้าใจ นี่คือการขอโทษจากเสี่ยวม่านพวกเราจึงจําเป็นต้องรับไว้
ด้วยเหตุนี้ พวกเราเลยไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าตกลงรับเงินก้อนนี้
เสียวม่านถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกจากนั้นเธอยังอยู่เฝ้าที่โรงพยาบาลกับเรา ต่อ
นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com
หลังจากคุยกันพักหนึ่ง เพราะเหตุผลเรื่องงานพอฟ้าสางแล้วเธอถึงออกไปพร้อมฟางฉางเจียง
ถึงเสียวม่านจะออกจากโรงพยาบาลไปแล้วแต่เธอก็รีบกลับไปที่บริษัททันที พูดได้ว่าเป็นพวก บ้างานนั่นเอง
ในเวลาเดียวกันผมก็โทรไปหาอาจารย์และท่านนักพรตต์เล่าเรื่องในคืนนี้ให้พวกเขาฟัง
พอตาเฒ่าสองคนนี้ได้ยินว่าพวกเราไปเจอผีชุด แดงมา ก็ตกใจและระเบิดเสียงในโทรศัพท์ทันที
แต่หลังจากนั้นพอได้ยินว่าพวกเราไม่เพียงป ลอดภัย แต่ยังจัดการผีชุดแดงได้และได้แก่นพ ลังหยินมาอีกด้วย พวกเขาก็ตกใจแล้วตกใจอีกหรือแม้แต่เงียบไปซะนานสองนาน
แต่ตอนคุยโทรศัพท์ผมก็ไม่ได้พูดให้มันชัดเจนขนาดนั้นบอกให้พวกเขามาดูที่โรงพยาบาลเองตอนนี้เหล่าเฟิงกําลังนอนพักอยู่ในโรงพยาบาล
หลังจากนั้นผมและหยางเฉวก็นั่งพิงเก้าอี้แล้ว พักสายตาครู่หนึ่งจากนั้นประมาณสิบโมงเช้าอาจารย์
ท่านนักพรตตูและเหล่าฉันก็รีบวิ่งฝุ่นตลบมาหา พวกเรา
วินาทีที่เห็นผมกับหยางเฉ่ว พวกอาจารย์ก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
ในเวลาเดียวกันเราก็ได้เห็นเหล่าฉันพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เสี่ยวฝานยัยหนูเสี่ยวเฉ่ว พวกเธอพวกเธอจัดการจัดการผีชุดแดงผีชุดแดงได้จริงๆเหรอ ?”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset