ศพ – ตอนที่ 331 ช็อก

ตอนที่ 331 ช็อก
พวกอาจารย์ทั้งสามคน ทําท่าทางตกใจและตึงเครียดมาก
ตอนเหล่าฉันถามเสร็จ ดวงตาก็เบิกกว้างเข้าไปใหญ่พวกเขาคงอยากฟังจากพวกเราน่าดู
เนื่องจากเป็นผีชุดแดง มันเลยไม่ใช่เรื่องตลกที่เอามาพูดเล่นๆได้ผีประเภทนี้ร้อยปีจะมีครั้งพบเจอได้ยากสุดๆ
หากเจอเข้ากับตัวแล้ว ไม่มีทางได้เป็นสุขง่ายๆแน่
และพลังขั้นต่ําของผีประเภทนี้ ก็อยู่ขั้นเต้าจนขึ้นไปทั้งนั้นพลังแบบนี้สูงกว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสายงานไปแล้ว
แม้แต่พวกอาจารย์เอง ก็ไม่มีใครเลื่อนไปถึงขั้นเต้าจขึ้นสักคน
แต่พวกเราสามคน กลับเป็นหนุ่มสาวรุ่นหลัง
และยังใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งคืน ก็สามารถจัดการผีชุดแดงได้แล้วแถมยังได้แก่นพลังหยินมาอี กด้วย
จึงเป็นธรรมดาที่พวกอาจารย์จะไม่เชื่อหรือคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก
เมื่อเห็นพวกเหล่าฉันทําท่าทางแบบนั้ ผมก็พยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ําเสียงหนักแน่น “จริงๆ ครับเหล่าฉินเมื่อคืนพวกเราจัดการผีชุดแดงตัว นึ่งได้จริงๆ ! แถมยังได้แก่นพลังหยินมาอีกด้วย
แม้ทั้งสามคนจะเตรียมใจมาแล้ว แต่พอเสียงผมดังขึ้นตาเฒ่าสามคนก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้
“จริง จริงเหรอ ?” เหล่าฉันพูดเสียงสั้น
“เอ่อเสี่ยวฝาน แล้วตอนนี้เสี่ยวเฟิงเป็นยังไงบ้าง ?” ท่านนักพรตต์ถาม
“เฟิงเฉิวหานบาดเจ็บหนักครับ เมื่อคืนเพิ่งล้างปอดไปครับตอนนี้อาการคงที่แล้วกําลังพักผ่อนอยู่ข้างในครับ !” ผมชี้ไปที่ห้องผู้ป่วย
ท่านนักพรตตู้เปิดประตูแล้วชะโงกหน้าเข้าไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อเห็นเหล่าเฟิงกําลังหลับอยู่ เขาก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปกวนเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วทําท่าทางว่าสบายใจขึ้นเยอะเท่านั้น
“เสี่ยวฝาน งั้นแกรีบบอกพวกเรามาเร็ว ว่าพวกแกใช้วิธีอะไรกําจัดผีตัวนั้น อย่างน้อยที่สุดผีชุด แดงก็มีพลังอยู่ในขั้นเต้าจจิ้นพลังของพวกแกสามคน สู้กับผีตัวนั้นไม่ไหว…” อาจารย์อยากรู้สุดๆ
ในเวลาเดียวกัน เหล่าฉินและท่านนักพรตต์ก็มองมาทางพวกเราทําท่าอยากฟังมากว่าพวกเราใช้วิธีอะไร
พวกเราก็ไม่ได้ปิดบัง ผมเล่าตั้งแต่ตอนที่รู้เรื่องจากเสี่ยวม่านมารวมตัวกันที่หน้าไซต์งาน ก่อสร้าง
ได้ยินเรื่องโลงเหล็กกักวิญญาณ ไปจนถึงตอนเรียกวิญญาณและตอนที่ผู้นําสุสานจินชานหวางเป่าเฉิงและ
ผู้เฒ่าเขาผีเทิงหนิวมาถึงให้ทุกคนฟัง
แต่พอพูดถึงหวางเป่าเฉิงและเทิ้งหนิวผมก็ส่งสายตาให้อาจารย์
พออาจารย์ฟังถึงตรงนี้ และเห็นสายตาของผมเขาก็เข้าใจว่าผมจะสื่ออะไรในทันทีระหว่างนั้นจะต้องเกี่ยวอะไรกับผีเมียของผมแน่ๆ
ดังนั้น อาจารย์เลยแกล้งทําเสียง “อ๋อ” ให้ความร่วมมือกับการโกหกของผม
ท่านนักพรตตู้เชื่อผมสุดๆ เขาเองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
บวกกับเหล่าเฟิงและหยางเฉวก็เป็นพยานด้วยสรุปคือเรื่องนี้ผู้เฒ่าเขาผีเทิงหนิวและผู้นําสุสาน จินชานหวางเป่าเฉิงเป็นคนลงมือเราถึงได้จัดการผีชุดแดงได้
หลังจากพูดเรื่องพวกนี้จบ พวกเรายังเล่าเรื่องในอดีตของผีผู้หญิงให้พวกเขาฟังด้วย
พวกอาจารย์เองก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้แต่พวกเขาทํางานในสายงานนี้มานานแล้วจึงคุ้นชินกับเรื่องความแค้นพวกนี้นานแล้ว
และส่วนใหญ่ผีร้ายในนั้นก็เกิดจากรักเป็นเหตุทําให้ความเกลียดชังกลายเป็นความแค้นขึ้นมา
ดังนั้นจากผีร้ายสิบตน จะมีประมาณเก้าตนที่มีชีวิตน่าเศร้าจนคนที่ได้ยินต้องรู้สึกสงสาร
หลังพวกอาจารย์รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็รู้สึกตกใจกับทุกสิ่งที่พวกเราเผชิญมาในคืนนี้มาก
แต่โชคดีที่มันผ่านไปได้อย่างราบรื่นแต่ละคนต่างกลับมาอย่างปลอดภัย
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆเหล่าเฟิงก็ตื่นขึ้นมา
อาจารย์และคนอื่นๆเห็นเหล่าเพิ่งตื่นแล้วจึงไม่มัวพูดไร้สาระกับเราอีกรีบตรงเข้าไปข้างเตียงทันที
หลังจากนั้นก็ให้ผมไปตามหมอมา
ในฐานะที่ท่านนักพรตต์เป็นแพทย์แผนจีนจึงจับชีพจรให้เหล่าเฟิงเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามว่ารู้สึกยังไงบ้าง
แต่อาการของเหล่าเฟิงค่อนข้างคงที่แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
พอทุกคนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วและได้เห็นแก่นพลังหยินเรียบร้อย และฟังคําแนะนํา ของหมอเสร็จแล้วก็ใจเย็นขึ้นมาทันที
ผมและหยางเนิ่วไม่ได้เป็นอะไรมากสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทุกเมื่อ
อย่างมากที่สุดเหล่าเฟิงก็ต้องนอนโรงพยาบาลอีกสองวันเพื่อทําการรักษาอีกสองสามครั้งแล้วหลังจากนั้นก็จะสามารถกลับบ้านได้แล้ว
ช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะกับที่ท่านนักพรตต์และพี่เฟิงนัดกันเอาไว้พอดี ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะ ได้อยู่พร้อมหน้าเพื่อมอบแก่นพลังหยินให้พี่เฟิง
แบบนี้ เราก็จะสามารถทําตามข้อตกลงที่ท่านนักพรตตู้ทําไว้เมื่อตอนนั้นได้ทุกอย่าง ต่อไปพี่เฟิงก็จะไม่ออกมาแย่งร่างกับเหล่าเฟิงแล้ว
พอถึงตอนเที่ยง พวกเราก็กินข้าวด้วยกัน หลังจากนั้นก็เดินทางออกจากโรงพยาบาลทิ้งเอาไว้เพียงท่านนักพรตตู้ที่อยู่เฝ้าเหล่าเฟิงเท่านั้น
ตอนออกมา หยางเจ่วบอกลาพวกเราเพื่อกลับไปที่มหาลัยของเธอ
แต่ก่อนที่หยางเฉวจะจากไป เธอได้บอกกับผมว่าอาทิตย์หน้าจะเป็นช่วงปิดภาคเรียนของเธอแล้ว
ให้ผมไปช่วยเธอขนของจากมหาลัย ไปที่ขนส่งเพราะเธอขนคนเดียวไม่ไหว
แม้จะรู้จักกับหยางเฉวไม่นานนัก แต่เราก็มีความรู้สึกดีๆต่อกันไม่น้อย
ช่วยเธอขนของ เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร
ผมตอบตกลง โดยไม่คิดอะไรสักนิด
พอหยางเจ๋วเห็นผมตกลงเธอก็ดูดีใจมากและอารมณ์ดีสุดๆบอกว่าพอถึงเวลาแล้วเธอจะโทรมาหา
หลังจากนั้น หยางเฉวก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งตรงกลับมหาลัยทันที
พอหยางเนิ่วจากไปแล้ว พวกเราสามคนก็ตรงกลับตําบลชิงฉือทันที
ระหว่างทาง ผมเล่าเรื่องที่แท้จริงให้อาจารย์และเหล่าฉันฟัง
ตอนนี้ มีเพียงอาจารย์และเหล่าฉันเท่านั้นที่รู้ว่าผมแต่งงานกับผีมีเมียเป็นผี
เมื่อกี้มีท่านนักพรตตูและหยางเนิ่วอยู่ด้วยผมก็เลยไม่กล้าพูดเรื่องจริงออกมาทั้งหมด
ตอนนี้พอได้ยินว่าผู้เฒ่าเขาผีและมังกรเหล็กออกมาเพราะหลังจากที่ผมขอความช่วยเหลือไปแล้วผีเมียของผมเป็นคนเรียกมาพวกเขาก็อดตกใจไม่ได้
เหล่าฉันตกใจกว่าใครเพื่อนบอกว่าคิดไม่ถึงว่าผีเมียของผมยังมีลูกเล่นแบบนี้ซ่อนอยู่ถึงกับเรียกผู้นําผีให้มาช่วยได้
นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com
แต่เราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้อย่างละเอียดตาเฒ่าทั้งสองคนบอกว่าผีเมียของผมมีฝีมือสูงส่งต่อไปให้ผมอย่าไปขัดใจเธอให้มากนัก
ขอแค่มันไม่ล้ําเส้น อย่างน้อยที่สุดก็ตามใจเธอไปไม่อย่างนั้นคนที่ต้องทรมานก็จะมีแค่ผมคนเดียว
ผมทําหน้าไร้เดียงสา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เนื่องจากการที่ผมยังมีชีวิตอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะการแต่งงานกับผี ได้รู้จักกับมู่หลงเหยียน
แต่ผมก็โดนผีเมียทรมานมาไม่น้อยเวลาอยู่ต่อหน้าเธอผมแทบไม่มีอํานาจใดๆด้วยซ้ํา
เมื่อกลับไปถึงบ้าน ก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
ผมยังทําอย่างที่เคย เดินไปจุดธูปที่ป้ายวิญญาณน้องศพและเผ่าจิ้งจอก หลังจากนั้นถึง ไปนั่งพักที่โซฟา
สองวันนี้ก็ทําให้ร่างของผมทรมานพอสมควรพอนั่งพิงโซฟาได้ไม่นานผมก็นอนกลับไปอย่าง ไม่รู้ตัว
แต่สิ่งที่ทําให้ผมคิดไม่ถึงคือ ความฝันที่ผมไม่ได้ฝันถึงมานานแสนนานนั้น ได้กลับมาอีกครั้ง
ยังเป็นสะพานอันเก่า และร่างของผู้หญิงที่คุ้นตาใต้สะพานยังคงมีผีร้ายอยู่นับพันนับหมื่นพวกมันยังเอื้อมมือไปหาเธอไม่หยุด
ผู้หญิงคนนั้นไม่สะทกสะท้านใดๆหลังจากเงียบมาสักพักเธอก็พูดขึ้นมาว่า “รอฉันด้วย”หลังจากนั้นก็กระโดดลงไปในหมู่วิญญาณร้าย นับหมื่นนั้น
ฝันเรื่องนี้อีกแล้ว และเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วผมเป็นฝ่ายดูทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะไม่ตกใจจนตื่น
ครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งครั้ง ตอนตื่นขึ้นมาหน้าผากของผมเปียกชุ่มไปหมด
แม้จะเป็นความฝันเดียวกัน และเคยฝันเห็นมาหลายครั้งแล้ว
แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ผมก็ยังรู้สึกใจสั่นและกลัวอยู่เสมอ
ท่านนักพรตต์เองก็ทํานายฝันให้ผมแล้วบอกว่าผมเกี่ยวพันกับผู้หญิงคนหนึ่ง
แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็แปลกมากแม้แต่ตัวผมเองก็สับสนมากจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมจะเข้าใจคําทํานายอะไรนั่นไหมผู้หญิงที่ท่านนักพรตตู้ทํานายออกมาจะเป็นใครก็ไม่รู้
แต่จิตใต้สํานึกของผม กลับอยากให้มันชัดเจนมากและทําไมผมจะต้องฝันเห็นมันซ้ําๆแบบนี้
ผู้หญิงบนสะพานเกี่ยวข้องอะไรกับผมผีร้ายหมื่นกว่าตนนั้นคืออะไร ทําไมตั้งแต่ต้นจนจบถึงได้ยินเพียงแค่สองคํา“รอฉันด้วย”
สิ่งนี้เข้าใจยากมาก แต่ผมก็พบว่าตอนนี้ฟ้ามืดแล้วและบนตัวของผมยังมีผ้าห่มคลุมเอาไว้หนึ่งผืน
ส่วนอาจารย์ กําลังเก็บของอยู่หน้าร้านท่าทางกําลังจะปิดร้านแล้ว
สองวันต่อจากนั้น เราใช้ชีวิตอย่างสงบสุขทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ความฝันแปลกๆนั้นก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาอีกเหล่าเฟิงเองก็ออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่ที่ บ้านแล้ว
และคืนนี้ ท่านนักพรตต์ก็นัดพวกเราให้ไปเป็นพยานในการทําตามคําสัญญาสุดท้ายที่ให้ไว้กับ พี่เฟิง
เขาจะนําแก่นหยินแดง ให้พี่เฟิงและบอกให้เขาไม่ต้องก่อเรื่องอีกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
เพราะร่างกายเฉพาะของเหล่าเฟิงทุกคนเลยหวังว่าพี่เฟิงจะอยู่เฉยๆได้สักที
สถานที่คือสุสานที่เหล่าฉันทํางานและอาศัยอยู่ที่นั้นคนน้อยเงียบสงบ ทํางานที่นั้นในตอนกลางคืน
เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมาคนนอกเข้ามายุ่งย่าม
ด้วยเหตุนี้ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จพวกเราก็ยังดูทีวีอยู่ในบ้านอีกพักหนึ่ง
หลังจากนั้นประมาณสี่ทุ่ม ช่วงเวลานี้บนถนนค่อนข้างเงียบสงบไม่มีคนเดินพลุกพล่าน
พอมาถึงตอนนี้ ผมและอาจารย์ก็ออกจากบ้านแล้วเริ่มเดินไปที่สุสานทันที……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset