ศพ – ตอนที่ 332 ทำตามสัญญา

ตอนที่ 332 ทำตามสัญญา
ตำบลของเราไม่ใหญ่บวกกับตอนนี้อากาศหนาวแล้วในเวลานี้จึงมีผู้คนเดินอยู่ข้างนอกไม่มากนัก
ตอนผมและอาจารย์มาถึงสุสานก็พบว่าเหล่านมารอพวกเราอยู่ที่นี่นานแล้ว
ตอนนี้พอเห็นพวกเราเดินเข้ามาก็รีบเข้ามารับพวกเราทันทีบอกว่าท่านนักพรตต์และเหล่าเฟิงยังไม่มา
เลยชวนเรามาดื่มชาก่อน
วันนี้ที่สุสานมีแค่เหล่าฉันคนเดียวรอบๆเลยเงียบสงัดมาก
หลังจากรอมาประมาณครึ่งชั่วโมงในที่สุดท่านนักพรตต์และเหล่าเพิ่งที่พวกเรารอคอยก็มาถึง
ท่านนักพรตตู้เห็นพวกเรามาถึงหมดแล้วเลยรีบทักทายทันที” ขอโทษทีเมื่อกี้ที่บ้านมีเรื่องยุ่งนิดหน่อย
เลยทำให้ทุกคนต้องรอนานแล้ว!”
” พวกเราเพิ่งมาถึงไม่นานในเมื่อมาถึงกันแล้วงั้นพวกเราก็รีบเริ่มเลยเถอะ!ต่อไปเสี่ยวเฟิงจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขหน่อย!” อาจารย์พูด
ท่านนักพรตต์ก็พยักหน้ารับที่พวกเรามาในวันนี้หนึ่งเพื่อเป็นสักขีพยานสองเพื่อมาเป็นตัวช่วยเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นด้วย
เหล่าเฟิงเป็นศิษย์ของท่านนักพรตต์แน่นอนแต่พี่เฟิงคนนี้กลับไม่เคยสนใจใยดีท่านนักพรตต์เลย
และพลังของพี่เฟิงก็มีไม่น้อยไปกว่าท่านนักพรตตู้พวกเราเลยคิดว่าพี่เฟิงอาจก่อเรื่องวุ่นขึ้น
ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินไปที่สวนด้านหลัง
ระหว่างทางผมถามเหล่าเฟิงว่าร่างกายดีขึ้นบ้างไหม
เหล่าเฟิงยิ้มแล้วตอบว่าไม่เป็นอะไรแล้วเพียงแค่ยังรู้สึกเจ็บหน้าอกหน่อยๆ
และยังบอกว่าพอผ่านคืนนี้ไปแล้วเรื่องที่เขากังวลใจมาตลอดก็จะหายไปแล้ว
พอมาถึงที่ทุกคนก็ยืนอยู่ด้านข้างท่านนักพรตตู้พูดกับเหล่าเฟิงว่า” เสี่ยวเฟิงเรามาเริ่มกันเถอะ!มีอาจารย์อยู่ไม่ต้องกังวลนะ!”
เหล่าเฟิงพยักหน้าแล้วบอกว่า” ได้หลังจากนั้นก็หยิบขวดยาสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ทุกคนมองดูแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พอเทยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วเหล่าเฟิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆมองทุกคนหนึ่งรอบแล้วหลังจากนั้นก็กลืนยาลงไป
หลังจากกลืนเข้าไปแล้วเหล่าเฟิงก็ประสานมือ” ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้งเพี้ยง!”
หลังจากพูดจบตัวเหล่าเฟิงก็สั่นอย่างแรงทันใดนั้นเองก็มีคลื่นพลังบางอย่างกระจายตัวออกมา
จากนั้นเหล่าเฟิงก็ตาเหลือกและล้มลงไปกับทันที
ท่านนักพรตต์พร้อมนานแล้วเขาเข้าไปรับตัวเหล่าเฟิงเอาไว้หลังจากนั้นก็พาเขาไปนั่งบนเก้าอี้
สภาพของเหล่าเฟิงไม่ต่างจากครั้งก่อนมากนักเขายังคงเหมือนคนเป็นลมชักกระตุกไม่หยุดน้ำลายฟูมปาก
แต่ก็ไม่มีอะไรมากหลังจากนั้นพักหนึ่งร่างกายของเหล่าเฟิงก็หยุดกระตุกขึ้นมาดื้อๆ
ต่อจากนั้นก็เห็นเพียงเหล่าเพิ่งลืมตาขึ้นเหมือนคนเพิ่งตื่น
แต่พวกเรารู้ดีเมื่อเหล่าเพิ่งลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็จะไม่ใช่เฟิงเฉิวหานแล้วแต่เป็นพี่ชายในร่างของเขาหานเฉ่วเฟิง
หลังจากพี่เฟิงตื่นขึ้นมาเขาไม่ได้ลุกจากเก้าอี้กทันทีแต่ขยับคอไปมาสองสามรอบดัง” กรอบกรอบกรอบ”
หลังจากนั้นน้ำเสียงก็ต่างไปจากที่เหล่าเฟิงเคยพูดมันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงของพวกไม่ได้เรื่อง” ไม่ได้ออกมาตั้งนานร่างกายโดนเจ้าขยะนี่เอาไปเล่นจนพังอีกแล้ว!”
หลังจากพูดจบพี่เฟิงก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆลูบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดว่า” โอ้ย!เจ็บจริงๆเลยทำไมเจ้าขยะถึงโดนทำร้ายแบบนี้ได้นะ….”
” เฮ้ยไอ้น้องไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!” พี่เฟิงทักทายผม
ผมคลี่ยิ้มและพยักหน้ารับ
ในขณะที่พี่เฟิงกำลังบ่นพึมพำด้วยคำพูดห้วนๆท่านนักพรตต์กลับเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า
” หานเฉ่วเฟิงยังจำข้อตกลงของพวกเราได้ไหม?”
จู่ๆพี่เฟิงก็ได้ยินเสียงนี้เขาเลยหันไปมองทันที
เขาใช้สายตาหยาบคายมองท่านนักพรตต์แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น” ข้อตกลง!ฉันจำได้อยู่แล้วตอนนี้เหลือแค่แก่นหยินแดงเดี๋ยวฉันขอดูเวลาก่อนนะ!”
พอพูดจบพี่เฟิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปฏิทินในนั้น
” พอดีเลย!วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วตาแก่วันนี้ถ้าแกยังไม่เอาแก่นหยินแดงมาแลกก็อย่ามาโทษว่าฉันยึดร่างเจ้าน้องขยะนี่เลย” พี่เฟิงพูดจาเด็ดขาด
” ฮี!ที่เจ้าออกมาคืนนี้ก็เพื่อเรื่องนี้แหละเจ้าดูให้ดีนี่ก็คือแก่นหยินแดงที่เจ้าต้องการ” ท่านนักพรตตู้ทำหน้าตาจริงจังยื่นกล่องไม้ออกมาหลังจากเปิดออกมันก็เผยให้เห็นแก่นหยินแดงที่อยู่ด้านใน
ท่านนักพรตตูไม่ลังเลดึงยันต์ผนึกออกทันที
วินาทีที่ยันต์โดนดึงออกพยังหยินที่อยู่ด้านในก็เริ่มกระจายออกมา
พลังหยินของแก่นพลังนั้นแข็งแกร่งมากมันทะลักออกมาทันที
ทันใดนั้นท่าทางที่หยาบคายและไม่คิดว่าท่านนักพรตตู้จะเอาแก่นหยินแดงออกมาจริงๆ
ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีหรือแม้แต่เผยแววตาตกใจออกมาเลยทีเดียว
แก่นพลังหยินของผีชุดแดงทรงพลังอยู่แล้วสำหรับคนเป็นอย่างพวกเรามันไม่มีประโยชน์อะไร
แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุหยินถ้าได้เจ้าสิ่งนี้ไปครองมันจะช่วยเพิ่มพลังให้กับตัวเอง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นและไม่ให้แก่นพลังหยินปล่อยพลังออกมามากเกินไป
หลังจากที่ท่านนักพรตตู้โชว์แก่นพลังหยินของจริงแล้วเขาก็รีบใช้ยันต์ผนึกแล้วเก็บเอาไว้ในกล่องทันที
” แก่นแก่นหยินแดง!ตาแก่แกหาเจ้านี่มาจริงๆซินะ” พี่เฟิงทำหน้าตกใจเขาไม่อยากเชื่อเท่าไหร่
” ฮ!แน่นอนอยู่แล้ว” ท่านนักพรตต์ตอบกลับอย่างเย็นชา
” เร็ว!รีบเอามาให้ฉัน” หลังจากพูดจบพี่เฟิงก็คิดจะเข้ามาแย่ง
ผลลัพธ์เขาเพิ่งเอื้อมมือออกมาอาจารย์และเหล่าฉันก็ดึงดาบไม้ออกมาแล้วกระโดดเข้าไปขวางเอาไว้ข้างหน้าพี่เฟิงทันที
” อย่าเพิ่งรีบร้อน!ก่อนจะเอาแก่นหยินแดงให้เจ้าเจ้าช่วยท่องคำสาบานใหม่อีกรอบจะดีกว่า!”
ท่านนักพรตต์พูด
พี่เฟิงขมวดคิ้ว” บ้าเอ้ยเรื่องเยอะจริงๆ!
พี่เฟิงยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วพูดคำสาบานออกมา” ฉันหานเฉ่วเฟิงขอสาบานว่าขอแค่ฉันได้แก่นหยินแดงมาครองตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะไม่แย่งร่างกับเจ้าขยะไม่ร่างกายของน้องชายฉันเพิ่งเฉวหานอีกแล้ว
หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าผ่าวิญญาณแตกสลาย”
เสียงเพิ่งเงียบลงพี่เฟิงก็ยื่นมือออกมา” ตอนนี้พอใจแล้วใช่ไหม!รีบส่งมาให้ฉันซะซิ!
พี่เฟิงยื่นมือออกมาไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปแย่งอาจารย์และเหล่าฉันจึงถอยออกไปสองก้าวไม่ยืนขวางอีก
ท่านนักพรตคู่พยักหน้าเล็กน้อย” ได้!ในเมื่อเป็นแบบนี้งั้นข้าก็จะยกแก่นหยินแดงให้เจ้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะทำตามที่สาบานไว้อยู่กับน้องเจ้าอย่างสงบสุข”
หลังจากพูดจบท่านนักพรตคู่ก็ยื่นมือออกไปกล่องไม้ที่ใส่กล่องหยินแดงเอาไว้ถูกโยนไปทางพี่เฟิงทันที
พี่เฟิงทำหน้าดีใจแม้แต่เผยแววตาที่ตื่นเต้นออกมาเขายื่นมือออกไปรับทันที
เราหลงคิดว่าการแลกเปลี่ยนนี้จะจบลงแล้วแต่ในตอนนั้นเองเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ทันใดนั้นเองจู่ๆเงาสีดำเงาหนึ่งก็พุ่งลงมาจากกำแพงตรงไปที่กล่องไม้กลางอากาศนั้นอย่างไรซุ่มไร้เสียง
ไม่รอให้กล่องไม้ตกไปถึงมือพี่เฟิงและไม่รอให้พวกเรารู้ตัวแต่อย่างใด
ปากของเงานั้นก็งับไปที่กล่องไม้นั้นอย่างแรงแล้วหลังจากนั้นก็ใช้ความเร็วแค่ชั่วพริบตารีบออกห่างพวกเราทันที
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันทั้งเร็วมากและเหนือความคาดหมายมาก
” อะไรน่ะ!กล้าแย่งแก่นพลังหยินของฉันงั้นเหรอ!” พี่เฟิงตอบสนองเร็วที่สุดในเวลาเดียวกันเขาก็ตะโกนออกมาทันที
และเห็นได้ชัดว่าพวกเราตกใจมากเรารีบหันไปมองทางเงาสีดำที่พุ่งออกไปทันที
พอหันไปมองเรากลับพบว่าเจ้าเงาสีดำอันนั้นเป็นแมวแก่ตัวหนึ่ง
ขณะเสียงตะโกนของพี่เฟิงดังขึ้นเจ้าแมวแก่ตัวนั้นก็หันมามองหน้าพวกเรา
เราเห็นเพียงเจ้าแมวแก่ตัวนั้นมีดวงตาสีเขียวปากคาบกล่องไม้เอาไว้และบนหน้าของเจ้าแมวตัวนั้นยังเหมือนมีรอยยิ้มน่าขนลุกอยู่ด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ต่อจากนั้นเสียงน่ารักๆของผู้หญิงคนนึงก็ดังขึ้น” แก่นหยินแดงนี่ข้าขอรับเอาไว้ละ….”
เสียงเพิ่งเงียบลงเจ้าแมวตัวนี้ก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงอีกครั้ง
ไม่รอให้พวกเราตามทันมันก็กระโดดลงจากกำแพงและหายไปจากสายตาของทุกคนทันที..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset