ศพ – ตอนที่ 335 วิชาร่างจริงห้าชีวิต

ตอนที่ 335 วิชาร่างจริงห้าชีวิต
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าแมวตัวนี้จะร้ายกาจถึงขนาดนี้
ไม่รู้จริงๆว่าเจ้าแมวตัวนี้จะแข็งแกร่งกว่าเมื่อกี้ที่เท่าตัว แต่สิ่งที่ทําให้เรารับไม่ไหวที่สุดคือ เจ้าแมวตัวนี้ยังแยกร่างออกมาได้อีก
เจ้าแมวพวกนี้เหมือนเจ้าปีศาจแมวนั่นเป๊ะ แต่ละตัวต่างดุร้าย และยังเข้าขากันได้ดีอีกต่างหาก
อุ้งเท้าแต่ละข้างต่างมีพละกําลังมหาศาล ไม่มีทางที่เราจะต้านไหว มันร้ายกาจจนผิดปกติ
ตอนนี้พวกเราห้าคน กําลังสู้กับแมวแต่ละตัว
และพวกมันยังมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ เพิ่งสู้กันได้สองนาที พวกเราก็แยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใคร
ตอนแรกเรากําลังตกใจ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ท่านนักพรตตู๋กลับพูดขึ้นมาในเวลานี้ “ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นแค่การอําพรางตาของเจ้าแมวนี่ มันต้องใช้วิชามารบางอย่างทําให้พวกเราสับสน เจ้าเดรัจฉานนี่ไม่ใช่แบคทีเรีย มันไม่มีทางแยกร่างได้แน่ๆ !”
เสียงตะโกนของท่านนักพรตตู๋ ทําให้ทุกคนได้สติกลับมาอีกครั้ง เหมือนได้กินยาสงบใจเข้าไปเม็ดหนึ่ง
ท่านนักพรตคู่พูดถูก ในหมู่แมวห้าตัวนี้ ต้องมีเพียงแค่ตัวเดียวที่เป็นร่างจริง ส่วนอีกสี่ตัวเป็นแค่ตัวปลอม
มันจะต้องเป็นวิชามารบางอย่างของเจ้าปีศาจแมวนี่ เพียงแต่พอพวกเราต้องมนต์แล้ว ก็ยากที่จะสลัดออกได้ เลยทําให้พวกเราคิดว่าเจ้าแมวห้าตัวนี้เป็นของจริงทั้งหมด
ตอนนี้พวกเรามั่นใจได้แค่นี้ พอใจเริ่มสงบขึ้นมาเล็กน้อย ก็มองออกว่าเป็นแค่วิชาพรางตา
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่พวกเราเห็นและรับรู้ได้ ก็ดูเหมือนจริงมาก
หากปล่อยให้มีช่องโหว่เล็กน้อย ก็อาจได้รับบาดเจ็บได้
พวกเราสู้กับแมวคนละตัว จนเวลาผ่านไปสิบกว่านาที ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าพวกเราเริ่มเหนื่อยแล้ว
และยังดูไม่ออกว่าตัวไหนคือตัวจริงฃ
เดิมที่ร่างกายของพี่เฟิงก็บาดเจ็บอยู่แล้ว และยังไม่หายดี ในเวลานี้ยังเข้าไปต่อสู้อย่างดุเดือด แผลที่หน้าอกจึงเริ่มปริ และมีเลือดสดๆไหลออกมาแล้ว
สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ จนถึงตอนนี้ เราก็ยังหาวิธีทําลายวิชาพรางตาไม่ได้
“เมียว” มันร้องออกมาอีกครั้ง อุ้งเท้าของเจ้า แมวแก่กวาดไปทางเหล่าฉัน
เหล่าฉินหลบไม่ทัน เขาโดนซัดเข้าไปเต็มๆ
“แควก” ไหล่ของเหล่าฉันโดนข่วนหลายแผล เลือดสดๆ ไหลหยดออกมาทันที
“เหล่าฉัน !” อาจารย์ตะโกน
“ศิษย์พี่ !” ท่านนักพรตคู่ก็รีบพุ่งเข้ามา เอื้อมมือไปประคองตัวเหล่าฉันเอาไว้ และโจมตีไล่เจ้าแมวตัวนั้นให้ออกไปทันที
“สมควรตาย ประมาทไปหน่อย อ่างแกไม่ต้องมาสนใจฉัน รีบคิดวิธีทําลายวิชาพรางตาของมันเร็ว !” เหล่าฉันพูดเสียงดัง
แต่ท่านนักพรตตู๋กลับทําหน้าลําบากใจ ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ก็ลองหาทางทําลายวิชาพรางตานั้นหลายวิธีแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยสักธี
ในเวลานี้เจ้าแมวเฒ่าตัวนั้นกลับหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า” “ไร้น้ํายา ข้าเป็นภาพลวงตาในสายตาพวกเจ้า และเป็นตัวจริงในสายตาพวกเจ้าด้วย !”
หลังจากพูดจบ แมวห้าตัวนั้นก็ร้องออกมาพร้อมกัน
“เบี้ยว !”
คราวนี้เสียงของดังก้องป่า แพร่พลังปีศาจเป็นระลอก และในเวลาเดียวกันก็กําลังจะลงมือกับพวกเราอีกครั้ง
พวกเราทําได้แค่ตั้งรับ คิดไม่ออกจริงๆว่าควรทํายังไง
ห้ารุมหนึ่ง ตอนนี้กลับโดนเจ้านั้นข่มซะแล้ว แถมยังเหมือนจะโดนอีกฝ่ายฆ่ายกทีมอีกด้วย
แต่จะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นได้ยังไง ผมคิดไม่หยุด จะมีวิธีอะไรบางที่สามารถแก้สถานการณ์นี้ได้
การบล็อกการโจมตีเมื่อกี้ ทําให้ผมเริ่มรู้สึกว่าแขนจะชาแล้ว พอเห็นเจ้าแมวแก่เตรียมตัวจะเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
ผมก็กัดฟัน จะทํายังไงดี จะทํายังไงถึงจะทําลายการพรางตาของเจ้าปีศาจแมวนี้ได้
ในขณะที่ผมกําลังคิดหนัก จู่ๆในสมองก็มีแสงแวบขึ้นมา
ใช่แล้ว ผมมีกระดิ่งทองแดงอยู่นี่นา
ก่อนหน้านนี้กระดิ่งทองแดงช่วยสยบผีชุดเหลีองได้พอสมควร ถ้าใช้กระดิ่งกับเจ้าปีศาจแมว มันอาจจะได้ผลก็ได้
หากอีกฝ่ายเปิดเผยช่องโหว่ออกมา บางทีพวกเราอาจจะหาตัวจริงของมันเจอ ทําลายวิชามารของอีกฝ่าย
และคลายวิชาพรางตาตรงหน้าพวกเราก็ได้
แม้นี้จะเป็นแค่ความคิดของผม แต่ยังไงตอนนี้ก็ต้องลองทําดูก่อน
ผมไม่ลังเล รีบหยิบกระดิ่งออกมา และแกะเทปกาวในกระดิ่งอย่างรวดเร็ว
มองไปที่เจ้าปีศาจแมวที่กําลังพุ่งเข้ามาแล้ว ผมก็เริ่มสั่นกระดิ่งทันที
“กริ้งกริ้งกริ้ง” กระดิ่งทองแดงอันนี้เป็นสมบัติลับที่หลงเหยียนให้ผมเอาไว้
ตอนที่ผมเพิ่งเริ่มสั่น มันก็เปล่งเสียงดังฟังชัดผิดปกติ
และในขณะที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น เจ้าแมวห้าตัวที่กําลังพุ่งเข้ามา ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด และยังตัวสั่นไปพักหนึ่งด้วย หรือแม้แต่พองขนคอ ออกมา
ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ จู่ๆผมก็พบว่าเจ้าแมวแก่ตรงหน้า เบี่ยงตัวหลบพักหนึ่ง ตัวมันโปร่งใสขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที
เจ้าแมวแก่เป็นสัตว์ประหลาด เจ้าสัตว์ประหลาดแบบนี้ไม่ใช้ผีเร่ร่อน พวกมันมีร่างกาย แล้วจะโปร่งแสงได้ยังไง
แม้จะโปร่งแสงเพียงแวบหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่สั้นมากๆ
แต่ผมกลับมั่นใจ แมวที่กําลังพุ่งเข้ามาหาผมเป็นตัวปลอม
เพิ่งคิดถึงตรงนี้ ท่านนักพรตตู๋และพวกอาจารย์ ก็เห็นจุดนี้เช่นกัน ทุกคนต่างทําหน้าดีใจ
อาจารย์รีบพูดขึ้นมาคนแรก “ใช้ได้นิ เสี่ยวฝานสั่นต่อไป !”
เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่รอช้า สั่นกระดิ่งต่อไปทันที
ภายใต้เสียงกระดิ่งเจ้าแมวแก่ตัวนั้นค่อนข้างลําบาก เห็นได้ชัดว่ามันเริ่มหงุดหงิดแล้ว
แมวทั้งห้าตัวต่างร้อง “เบี้ยว” ออกมา แล้วพุ่งมาทางผมทันที
แต่ตอนที่พวกมันพุ่งเข้ามา แมวสี่ตัวนั้น ก็ตัวโปร่งแสงพักไปหนึ่ง มีเพียงแมวตัวซ้ายเพียงตัวเองที่มีตาเรืองแสง และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
มันชัดเจนมาก ตัวซ้ายสุดก็คือร่างจริงของเจ้าแมวแก่ ส่วนอีกสี่ตัวที่เหลือ คือตัวปลอม
พอทุกคนเห็นสิ่งนี้ ก็ไม่สนใจแมวอีกสี่ตัว ทุก คนจ้องแมวตัวซ้ายสุดตาไม่กระพริบ
“ที่แท้แกก็อยู่ที่นี่ !” เหล่าฉันตะโกน และยกดาบเข้าไปแทง
“ไอ้แมวปีศาจ เอาชีวิตแกมาให้ฉันซะ !” พี่เฟิงตะโกน
“เดรัจฉาน !” อาจารย์ด่าทันที
ท่านนักพรตตู๋ก็เค้นเสียง ฮีอย่างเย็นชา “เดรัจฉาน !”
ทั้งสี่คนรุมโจมตี ที่เจ้าแมวตัวนั้น
จู่ๆเจ้าแมวตัวนั้นก็เห็นพวกเรารู้ตัวจริงของมัน แล้วมันเลยเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา มันจะกล้าปะทะกับพวกเราตรงๆได้ยังไง หลังจากนั้นมันก็รีบถอยไปด้านหลังทันที
และในตอนที่มันถอยหนี แมวสี่ตัวที่พุ่งมาทาง ผมก็ส่งเสียงดัง “ปัง” พวกมันระเบิดกลายเป็นควันสีดํา
และจางหายไปในทันที
ตอนนี้ เหลือเพียงร่างจริงของเจ้าแมวแก่เท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน พวกอาจารย์ก็เข้าไปอยู่ในรัศมีสังหารแล้ว แต่ละคนต่างลงมือจู่โจมอย่างต่อเนื่อง
แสงดาบเปล่งประกาย ฟาดฟันเอาชีวิตเจ้าแมวปีศาจ
ตอนนี้ตัวเจ้าแมวมีพลังเยอะขึ้น มันเลยใช้ร่างกายที่คล่องแคล่วว่องไวของตัวเอง หลบและโจมตีกลับ
แต่สองมือจะสู้กับสี่แขนได้ยังไง เมื่อไม่มีวิชาพรางตาแล้ว สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้
ได้ยินเพียงเสียง “เบี้ยว” ท้องของเจ้าแมวตัวนั้น โดนดาบของอาจารย์แทงเข้าไปตรงๆหนึ่งครั้ง
แม้จะไม่ได้ฆ่ามันในทันที แต่เจ้าแมวแก่ก็โดนบีบเข้าไปสู่มุมอับ ตอนนี้เหลือแค่เวลาเท่านั้นที่จะกําหนดความตายของมัน
เจ้าแมวแก่ทําหน้าโมโห เอามือข้างหนึ่งกุมท้ องตัวเองเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหยิบกล่องไม้ที่ใส่แก่นหยินแดงเอาไว้ออกมา “อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามาทั้งหมดนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นข้าจะทําลายมัน !”
แก่นหยินแดงอยู่ในมืออีกฝ่าย ไหนเลยพวกเราจะกล้าทุ่มบ่าม
ทําได้เพียงล้อมเอาไว้ ไม่ได้ขยับเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
พอเจ้าแมวปีศาจนั่นเห็นว่าพวกเราไม่ขยับ มันก็ใช้ใบหน้าที่ดุร้ายจองพวกเรา “เก่งนักนะเจ้าเด็กน้อย
ถึงกับทําลายวิชาร่างจริงห้าชีวิตของข้าได้ !”
ผลลัพธ์เสียงของมันเพิ่งเงียบลง อาจารย์ก็ตะคอกออกมาทันที “เดรัจฉาน อย่าว่าแต่ห้าชีวิตเลย กล้ามายุ่งกับพวกเรา ถึงวันนี้แกจะเอามาเก้า ชีวิตก็อย่าหวังจะเหลือรอดไปได้สักชีวิต……”
พอพูดจบ อาจารย์ก็ยกดาบขึ้น ทําท่าขู่จะใช้กําลัง
ผลลัพธ์ไม่รอให้อาจารย์พูดออกมาอีกครั้ง จู่ๆด้านหลังเราก็มีเสียงสายลมพัดเข้ามา “ฮฮ” ในหุบเขามีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น
อากาศรอบๆที่เคยอบอุ่น ลดลงหลายองศาทัน
ไม่เพียงเท่านี้ เสียงยายแก่ที่แหบแห้ง ก็ดังขี้นด้านหลังของพวกเรา “ข้าละอยากเห็นจริงๆ ว่าใครมันกล้ามาสามหาวขนาดนี้…..”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset