ศพ – ตอนที่ 336 เป็นยายแก่อีกแล้ว

ตอนที่ 336 เป็นยายแก่อีกแล้ว
จู่ๆอากาศรอบๆก็เปลี่ยนไป อากาศหนาวเย็น ขึ้นมาทันตา เสียงลมโบกสบัดรอบตัว
ไม่เพียงเท่านี้ เสียงยายแก่คนหนึ่งกลับดังขึ้น มาจากทางด้านหลัง
ตอนได้ยินเสียงนี้ “พรึบ” หน้าผมก็เปลี่ยนสี ทันที
ทําไม ทําไมเสียงนี้มันถึงฟังดูคุ้นหูขนาดนี้ นี่ มันไม่ใช่เสียงของยัยแก่สาวกขององค์กรตาผีเห รอ
จิตใต้สํานึกของผมบอกให้หันไป ผลลัพธ์พอ หันไปมอง เราก็เห็นคนห่างออกไปไม่ไกล ใน เวลานี้มียายแก่สวมชุดคลุมสีดําคนหนึ่งกําลังยืน
ยัยแก่ยังคงเหมือนเมื่อก่อน ในมือถือไม้เท้าสี ดํา แต่ไม้เท้าสีดําอันนี้ไม่เหมือนกับของยายโม่ ไม่ได้เป็นไม้เท้าหัวมังกร แต่เป็นไม้เท้าหัว กะโหลกคน
ภายใต้ผ้าคลุม พวกเราเห็นเพียงคางเหี่ยวๆ ของยัยแก่เท่านั้น
ยัยนี่ ไม่ใช่ยัยแก่สาวกองค์กรตาผีเหรอ ป้าที่ เรียกตัวเองว่าคนสวย จะมีใครได้อีก
“ยัยแก่ เป็นแกอีกแล้วเหรอ !” ผมเผลอพูดออกมา
ตอนนั้นก็เป็นเธอที่ทําลายวิญญาณของ เชี่ยนเชี่ยนผีสาวในตึกร้าง ต่อมาเธอยังไปก่อ เรื่องเอาไว้ที่ตําบลหม่าหวาง และยังคิดจะเอา
พวกเราไปทําเป็นทาสผีของเธอ เพื่อใช้เป็นตัว เก็บพลังความแค้นให้เธอ
ไปๆมาๆแบบนี้ พวกเราก็ถือว่าเคยเจอกันมา หลายครั้งแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่า พวกเราจะเจอกันเร็วขนาดนี้ แมยังเจอกันในหุบเขาที่ห่างไกลผู้คนอีก
แต่ภายใต้ดวงตาสวรรค์ พวกเราพบว่ายัยแก่ยังคงเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่ได้มาด้วยร่างจริง
แต่เป็นเพียงร่างจิต ที่เธออกมาปรากฏตัวที่นี่ ก็ คงเป็นเพราะเจ้าแมวแก่ตัวนี้เรียกมา
เพิ่งคิดถึงตรงนี้ เจ้าแมวแก่ก็รีบพูดออกมาทันที “นายท่านช่วยข้าด้วย…..”
ในน้ําเสียง ปนไปด้วยการอ้อนวอน
ส่วนยัยแก่นั้นกลับกวาดสายตามองเจ้าแมวแก่ แต่ไม่ได้ตอบกลับใดๆ
จากนั้นเธอก็หันกลับมามองผม แล้วหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ออกมา “เจ้านี่ไม่มีมารยาทตลอดเลย ครั้งก่อนก็บอกเจ้าแล้ว ต้องเรียกข้าว่าป้าคนสวย ! ในเมื่อเจ้าไม่กลับใจ แถมยังทําร้ายสัตว์เลี้ยง ของข้า งั้นวันนี้ป้าคนสวยก็จะสั่งสอนเจ้าเอง !”
“เดรัจฉาน ศิษย์ของข้าก็ต้องให้ยัยแก่ชั่วอย่าง แกสั่งสอนเหรอฮะ ? วันนี้ฉันจะทําอยร่างจิตของ แก และฆ่าแมวของแกเอง !” อาจารย์พูดออกมา อย่างเย็นชา จากนั้นก็ยกดาบแล้วขึ้นแล้วพุ่งไป หายัยแก่ทันที
ยัยแก่เห็นอาจารย์พุ่งเข้ามา ก็เค้นเสียงดัง ฮี จากนั้นก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
ในระยะเวลาสั้นๆนี้ พลังหยินมหาศาลก็ทะลัก ออกมา เหมือนกับระลอกคลื่น ที่สาดซัดเข้ามาต ลอดเวลา
ท่านนักพรตคู่ก็ขมวดคิ้ว ในเวลาเดียวกันก็พู ดว่า “พวกเธอสามคนไปจัดการเจ้าแมวนั่น ฉันจะไปช่วย
เหล่าติง !”
หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตต์ก็ตามหาอาจารย์ ไป เตรียมจัดการยัยแก่ชั่วคนนี้
พอเห็นการต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเราก็ไม่ได้ ลังเลอะไรมากนัก ต่างแยกย้ายกันลงมือใส่เจ้า แมวตัวนั้นทันที
พลังของเจ้าแมวตัวนี้ไม่ได้สูงขนาดนั้น ตอนนี้ น่าจะถึงเต้าซื้อขั้นสุดแล้ว
หรือก็คือมีพลังพอๆกับพี่เฟิงในตอนนี้ แต่พี่เฟิง ผม และเหล่าฉันร่วมมือกัน ก็น่าจะจัดการเจ้าแมว แก่นี่ได้แล้ว
พอการต่อสู้เริ่มขึ้น พวกเราก็แยกย้ายกันลงมือ จนสุดท้ายก็เข้ามาในรัศมีฆ่าเจ้าแมวแก่ได้แล้ว
ในเวลานี้เจ้าแมวตัวนั้นก็บ้าคลั่งขึ้นมา ร้อง “เบี้ยวเลี้ยว” ออกมาสองครั้ง จากนั้นก็ยกกรงเล็บ ขึ้นมาฟาดฟันใส่ร่างกายของพวกเรา
มันคมจนน่ากลัว หากโดนเข้าสักครั้ง ต้องเป็น แผลเหวอะอย่างแน่นอน
ถึงพวกเราจะได้เปรียบ แต่ก็ไม่กล้าประมาท
เราสามคนเข้าไปล้อมเอาไว้ พยายามเข้าไป ใกล้เรื่อยๆ ทําให้แมวแก่ตัวนี้ไม่มีโอกาสทําร้าย เราได้
ต่อจากนั้นพวกเราก็ค่อยๆบีบเจ้าแมวแก่ให้จน มุม ขอแค่พวกเราไม่ทําอะไรทุ่มบ่าม พอบีบเจ้า แมวแก่ไปถึงมุมบับอับแล้ว เราก็สามารถฆ่ามันได้ อย่างง่ายดาย
ส่วนอาจารย์ที่อยู่ด้านหลังพวกเรา ตอนนี้พวก เขาได้เริ่มปะทะกับยัยแก่นั่นแล้ว
ยัยแก่คนนี้ร้ายกาจมาก แม้จะเป็นแค่ร่างจิต ไม่ ใช่ร่างจริง แต่พลังของเธอก็ยังแข็งแกร่งเหมือ นเดิม
อาจารย์ผมและท่านนักพรตตู้ร่วมมือกัน ก็ยังไม่ อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ แถมตอนนี้ยังดูเหมือนกํา ลังต่อสู้แบบเรื่อยเปื่อยไม่คิดจะเอาชนะ
แต่แค่นี้ก็พอแล้ว เป้าหมายของพวกเราในครั้ง นี้มีเพียงแค่เอาแก่นหยินแดงกลับไปเท่านั้น
ขอแค่ได้แก่นหยินแดงกลับมา พวกเราจะไม่ สนใจกับเจ้าร่างปลอมนี่เลย
หลังจากนั้นประมาณสองนาที ในที่สุดเจ้าแมว แก่ตัวนี้ก็โดนบีบจนจนมุม
ตรงนี้ ไม่มีที่ว่างเหลือให้มันเลยสักนิด มันได้ แต่ปัดป้องการโจมตีเท่านั้น
ตอนนี้วิชามารที่มันเก่งที่สุด วิชาว่างจริงห้าชี วิตอะไรนั้นโดนทําลายไปแล้ว
ตอนนี้พอได้ปะทะกับเราตรงๆ ก็เห็นได้ชัดว่า มันรับมือไม่ไหว
เห็นเพียงเหล่าฉันตวัดดาบอย่างดุดัน คราวนี้ ดาบกดร่างของมันลง แม้มุมจะไม่กว้างมาก แต่ มันก็มีที่ว่างพอสําหรับเจ้าแมวแก่
พอผมและพี่เพิ่งเห็นแบบนั้น ก็ไม่มีทางปล่อย โอกาสให้เจ้าแมวแก่
พี่เฟิงกวาดดาบเป็นแนวนอน ไปตรงคอของ เจ้าแมวแก่ตัวนั้น
เจ้าแมวแก่ตกใจมาก มันรีบหดคออย่างรวดเร็ว ทําท่าหลบการโจมตีครั้งนี้
ดาบของพี่เฟิง เฉียดตัวอีกฝ่ายไป
แต่ ผมกลับเล็งเห็นโอกาศ ผมใช้เพลงดาบที่ มู่หลงเหยียนสอนมา ผมเลือกมุมที่ดูยุ่งยาก จาก นั้นก็แทงเข้าไปที่ท้องของมันทันที
มุมนี้ยุ่งยากมาก บวกกับพวกเราโจมตีสาม ครั้งติด พื้นที่ของเจ้าแมวตัวนั้นก็มีจํากัดมาก
พอเจ้าแมวตัวนี้เห็นดาบของผม มันก็สายไปแล้ว
ได้เพียงส่งเสียงร้องอย่างอนาถ “เบี้ยว” และ เลือดที่กระเซ็นออกมา
ดาบไม้ในมือของผม แทงเข้าไปท้องของเจ้า แมวแก่เต็มๆ
ถึงเจ้าแมวแก่จะทรมาน แต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้ยืน อยู่โง่ มันจับดาบไม้ของผม แล้วออกแรงหักมัน
“ก๊อก” เจ้าแมวแก่หักดาบไม้ของผม
ยังไม่จบเท่านี้ สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ วินาที ที่ดาบหัก จู่ๆอาจารย์และท่านนักพรตต์ที่อยู่ ด้านหลังก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ระวังข้างหลัง !”
พอได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็สัมผัสถึงความเย็นที่ กําลังเคลื่อนมาจากทางด้านหลัง
อันตรายที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกําลังแล่นไปทั่ว ร่าง หลังจากมีความรู้สึกนี้ จิตใต้สํานึกก็บอกให้ ผมหลบไปข้างๆทันที
ผลลัพธ์ผมเพิ่งเบี่ยงตัวหลบ ยันต์ดําแผ่นหนึ่งก็ ลอยผ่านหน้าผมไป พุ่งชนเข้ากับหินด้านข้างดัง “ตูม”
มันระเบิดออกในทันที
อีกทางด้านหนึ่ง พี่เฟิงหูตาไว วินาทีที่ผมเบี่ยง ตัวหลบ เขาเองก็ประสานมือเป็นรูปดาบ
แล้วตะโกนออกมาทันที “ทําลาย !”
ยันต์ดําที่ลอยมาทางเขา ก็ “ตูม” ระเบิดลุกเป็น ไฟสีเขียว แล้วจางหายไปในทันที
นอกจากพวกเราจะหลบการโจมตีได้อย่างราบ รื่นแล้ว ทางเหล่าฉันกลับไม่โชคดีเหมือนเรา
อย่างแรก เขาไม่มีพลังเหมือนพี่เฟิง อย่างที่ สองคือ เขาไม่เหมือนกับผม ไม่ได้หลบตามสัญ ชาตญาณ
เหล่าฉินหันหน้าไปมองตามสัญชาตญาณ พอ เห็นยันต์ดําลอยเข้ามา เขากลับทําอะไรไม่ถูก จากนั้นก็คิดจะเอาดาบมาขวางเอาไว้
แต่ยันต์ดํานั้นเร็วมาก การยกดาบขึ้นไปกัน จะ ทันได้ยังไง
ผลลัพธ์ดาบยังไม่ทันขึ้นมา ยันต์ดําแผ่นนั้นก็ แปะลงที่ไหล่ซ้ายของเหล่าฉันแล้ว
เหล่าฉันตกใจมาก เขาคิดจะเอื้อมมือไปแกะ ออก
แต่มันสายไปแล้ว เขายังไม่ทันลงมือ ยันต์ดํา แผ่นนั้นก็ระเบิดดัง “ตูม” มันระเบิดตรงไหล่เหล่า ฉินทันที
เหล่าฉันร้องโอดครวญ ภายใต้แรงระเบิดที่ ทรงพลัง ตัวเขาล้มกระแทกกับพื้น และสลบ ไปในทันที
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้น มัน เผาแขนเขาไปครึ่งหนึ่ง
“ลุงฉิน !” ผมตะโกนด้วยความตกใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผ่านไปเพียงแค่ชั่ว พริบตาเดียวเท่านั้น
ผมเพิ่งตะโกนออกมา แมวกาที่โดนผมแทง ก็ ใช้โอกาสนี้ ออกแรงที่ต้นขา กลั้นความเจ็บปวด เอาไว้
แล้วกระโดดข้ามหัวผมไป มันคิดจะหนีจากการ กักขังของพวกเรา……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset