ศพ – ตอนที่ 337 แก่นแตก

ตอนที่ 337 แก่นแตก
จิตใจของผมโดนอาการบาดเจ็บของเหล่าฉินดึงดูดผมกำลังเข้าไปช่วยดับไฟให้เหล่าฉันจึงไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของเจ้าแมวแก่เลยสักนิด
ดังนั้นตอนเจ้าแมวแก่คว้าโอกาสกระโดดข้ามหัวผมผมไม่เห็นหรือสัมผัสได้เลยสักนิด
แต่นี่ไม่ได้แปลว่าพี่เฟิงจะไม่ได้สนใจด้วยเขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่แก่นหยินแดงลูกนั้นนี่เป็นของที่เขาใฝ่ฝันหามาโดยตลอด
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมพี่เฟิงต้องการแก่นหยินแดงแต่ดูจากท่าทางของเขามันกลับดูร้อนรนผิดปกติ
ในเวลานี้พอเห็นเจ้าแมวแก่กระโดดคิดจะหนีออกไปสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเขาตะโกนออกมาว่า“คิดหนึ่งั้นเหรอ?ฝันไปเถอะ!
หลังจากพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นแทงไปที่เจ้าแมวแก่ตัวนั้น
เดิมที่เจ้าแมวแก่ก็บาดเจ็บอยู่แล้วตอนนี้ร่างกายของมันไม่มีทางเบี่ยงตัวหลบได้เลย
ถ้าโดนพี่เฟิงแทงอีกรอบชีวิตมันต้องจบเห่แน่
ภายใต้ความรีบร้อนมันไม่สนใจแก่นหยินแดงอีกต่อไปมันโยนกล่องไม้ในมือไปทางพี่เฟิง
พอพี่เฟิงเห็นกล่องลอยเข้ามาหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีทันทีรีบชักดาบกลับมา
ด้านในใส่แก่นหยินแดงเอาไว้ถ้าดาบนี้แทงเข้าไปมันอาจทำลายแก่นหยินแดงได้และแบบนั้นความฝันของเขาก็จะจบเห่ทันที
พี่เฟิงรีบเก็บดาบและดึงพลังกลับ
แต่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและกระทันหันสุดๆ
แต่ถึงจะเก็บดาบทั้งแต่วินาทีแรกแต่มันก็สายไปหนึ่งก้าว
“ปีก”เพราะดาบในมือของพี่เฟิงมีพลังไหลเวียนอยู่มันเลยคมจนผิดปกติ
ดาบนี้แทงเข้าไปในกล่องตรงๆ
มันเกือบตัดกล่องเป็นสองท่อนส่วนเจ้าแมวตัวนั้นเพราะจู่ๆพี่เฟิงก็เก็บดาบมันเลยกระโดดข้ามหัวพวกเราไปได้
หลังจากหนีออกจากวงล้อมของพวกเราได้สี่เท้าของมันก็วิ่งไม่คิดชีวิตไปหายัยแก่ทันที
ผมและพี่เฟิงไม่สนใจมันผมรีบวิ่งเข้าไปหาเหล่าฉันแล้วช่วยดับไฟให้เขาทันที
พี่เพิ่งรีบดึงดาบกลับมาแล้วเปิดดูของในกล่องทันที
แต่หลังจากเปิดกล่องแล้วเขากลับพบว่าแก่นหยินแดงโดนคมดาบไม้เฉือนเป็นรอยผิวนอกเริ่มแห้งและไม่เป็นสีแดงอีกต่อไป
พลังที่หลอมรวมอยู่ด้านในตอนนี้กำลังไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
พี่เฟิงหน้าถอดสีและตะโกนด่าออกมาทันที“สมควรตาย”
หลังจากพูดจบพี่เฟิงก็ไม่ลังเลแต่อย่างใดเขาหยิบแก่นหยินแดงที่แตกและไม่รู้เหลือพลังหยินเท่าไหร่แล้วขึ้นมาจากนั้นก็ใส่มันเข้าไปในปากแล้วกลืนมันลงไปทันที
เขาทำบ้าอะไรถึงพี่เฟิงจะเป็นวิญญาณแต่ร่างกายนี้เป็นร่างมนุษย์นะ
มนุษย์กลืนแก่นหยินแดงเข้าไปได้ซะที่ไหนละถ้ากลืนลงไปมันก็ไม่เท่ากับหาเรื่องตายเหรอ
แม้ผมจะกำลังช่วยดับไฟให้เหล่าฉินแต่ผมก็เห็นเหตุการณ์นี้
ผมหน้าเปลี่ยนสีรีบพูดขึ้นมาทันที“พี่เฟิงกินแก่นหยินแดงนี่ไม่ได้นะพี่กับเหล่าเฟิงจะตายได้นะ!”
พี่เฟิงกลับทำหน้าจริงจัง“ฉันรู้แต่แก่นหยินแตกแล้วพลังหยินไหลออกมาเร็วมากฉันเลยต้องเอาแก่นไปไว้ในตัวทำได้แค่กลืนกลืนลงไป…”
พอพูดถึงตรงนี้พี่เฟิงก็เอามือปิดปากดูเหมือนจะทรมานมากสีหน้าเดี๋ยวก็เขียวเดี๋ยวก็แดงขึ้นมาทันที
คงเป็นเพราะแก่นหยินแดงเริ่มทำปฏิกิริยากับร่างกายมนุษย์แล้ว
“ไอ้น้องฉันคงช่วยช่วยไม่ไหวแล้วที่เหลือที่เหลือฝากพวกนายด้วยนะจำจำไว้พอกลับไปแล้วต้องต้องเอาเลือดสดๆให้ฉันดื่มวันละถ้วย….”
ยิ่งพูดสีหน้าของพี่เฟิงก็ดูแย่ลงและดูทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ
และเพิ่งพูดถึงตรงนี้เขาก็ตาเหลือก“บิ๊ก”แล้วสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที
“พี่เฟิงพี่เฟิง!”
ผมหน้าถอดสีเหล่าฉันได้รับบาดเจ็บจากยันต์ดำในเวลานี้กำลังนอนสลบเป็นตายอยู่ที่พื้น
โชคที่ที่ผมดับไฟทันบวกกับเหล่าฉันใส่เสื้อผ้ามาหนาผิวเลยไม่ได้โดนไหม้ร้ายแรงอะไรเพียงเป็นรอยแดงพักฟื้นนิดหน่อยเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
แต่ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพี่เฟิงเป็นยังไงทำไมเขาถึงต้องกลืนแก่นหยินแดงเข้าไปดื้อๆด้วย
นี่เป็นเรื่องที่เอาชีวิตคนได้เลยนะผมรีบเข้าไปหาพี่เฟิงผมพบว่าตัวเขาเดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็เย็นหายใจแรงท่าทางผิดปกติสุดๆ
ส่วนอีกทางด้านหนึ่งเจ้าแมวตัวนั้นได้ไปอยู่กับยัยแก่แล้วแต่มันหลบอยู่ข้างหลัง
“เสี่ยวฝานศิษย์พี่กับเสี่ยวเฟิงเป็นยังไงบ้าง?”ท่านนักพรตต์สู้ไปถามไป
ผมหยิบดาบไม้และลุกขึ้น“ท่าทางดูไม่ดีเท่าไหร่!”
หลังจากพูดจบผมก็รีบไปรวมกับพวกเขาทันที
ตอนนี้ดูเหมือนต้องจัดการยัยแก่นี่กับเจ้าแมวแก่ให้ได้ก่อนพวกเราถึงจะช่วยทั้งสองคนได้มากกว่าเดิม
เป็นธรรมดาที่ยัยแก่จะมีพลังสูงตอนที่อยู่ตำบลหม่าหวางพวกเราก็ได้เห็นกับตาแล้ว
แต่ร่างจิตในคราวนี้กลับมีพลังไม่เท่าครั้งก่อน
ขณะที่เวลาล่วงเลยไปร่างจิตนั้นก็ค่อยๆเลือนหายตอนนี้เธอกำลังสู้ฝีมือทัดเทียมกับอาจารย์และท่านนักพรตต์
แต่ถ้ามองจากสถานการณ์ของยัยแก่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่พลังรบของยัยแก่นี้ก็จะลดลงมากเท่านั้นและร่างกายก็จะจางหายไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนเพราะเหตุผลบางอย่างทำให้ครั้งนี้ร่างจิตของยัยแกไม่เพียงไม่แข็งแกร่งมากพอแต่ยังอยู่ได้ในเวลาจำกัดอีกด้วยมันต่างจากเมื่อตอนอยู่ตำบลหม่าหวางลิบลับ
จู่ๆผมก็เข้ามาในเวลานี้ร่วมมือกับพวกอาจารย์โจมตีเธอเพิ่มความรุนแรงในการต่อสู้
แม้พลังของยัยแก่กำลังลดลงพลังรบถดถอยร่างจิตก็มีเวลาจำกัดแถมยังต้องปกป้องเจ้าแมวแก่ที่อยู่ข้างหลังด้วย
แต่เธอก็ยังร้ายกาจเหมือนเดิมพวกเราไม่อาจทำให้รู้ผลแพ้ชนะได้ในทันที
สำหรับเจ้าแมวตัวนั้นเมื่อกี้โดนผมแทงเข้าไปที่ท้องตอนนี้เลยมีเลือดไหลนองเต็มพื้นท่าทางดูอาการค่อนข้างหนัก
แม้แต่ตาที่สามในเวลานี้ก็ยังค่อยๆหายไป
ขอแค่พวกเราทนต่อไปอีกหน่อยรอให้ร่างจิตของยัยแก่หายไปพวกเราไม่เพียงจะมีเวลาช่วยพี่เฟิงและ
เหล่าฉินแต่ยังอาจจะมีโอกาสได้ฆ่าเจ้าแมวแก่ตรงหน้าด้วยก็ได้
ดังนั้นพวกเราเลยทุ่มกำลังใส่ยัยแก่อย่างไม่คิดชีวิตแต่ยัยแก่คนนี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการยากจริงๆ
เธอประสานมือทันใดนั้นพลังที่กำลังลดลงของเธอก็เพิ่มขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ไม่ว่าพวกเราจะโจมตียังไงก็ไม่อาจทำลายร่างของเธอได้เราได้แต่สู้กับเธอต่อไปเท่านั้น
เช่นเดียวกันยัยแก่ก็จัดการเราไม่ได้เหมือนกัน
แต่หลังจากนั้นยัยแก่ก็ค่อยๆพบว่าเจ้าแมวบาดเจ็บและเห็นสถานการณ์ของตัวเองไม่ค่อยดีไม่อาจเอาชนะพวกเราได้เธอจึงสู้กับพวกเราและหันไปพูดกับเจ้าแมวแก่ว่า“เจ้าแมวแก่ถอยกลับไปก่อนแล้วฉันจะสั่งให้คนมารับแก”
“นายนายท่านแล้วแล้วท่านละขอรับ?”เจ้าแมวแก่ทำท่าทางลังเลมันถามกลับทันที
“ข้าไม่เป็นอะไรแกรีบไปได้แล้ว!”ยัยแก่พูดต่อด้วยเสียงแหบแห้ง
ตอนเจ้าแมวตัวนั้นได้ยินถึงตรงนี้มันก็พยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากเอามือข้างนึงจับท้องเอาไว้
แล้วพูดกับยัยแก่ว่า“นายท่านถ้างั้นข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ…..”
ขณะพูดมันก็หมุนตัวแล้วไปทางด้านหนึ่งของหุบเขา
“จะหนีไปไหน!”ท่านนักพรตต์ตะโกนเขาคิดจะไล่ตามเจ้าแมวแก่ตัวนั้นไป
เพราะเจ้าแมวนทำให้เหล่าฉินและเหล่าเฟงบาดเจ็บ
ในฐานะศิษย์น้องของเหล่าฉินก็เป็นธรรมดาที่ท่านนักพรตต์จะไม่ปล่อยเจ้าแมวตัวนี้ไปง่ายๆ
แต่ตอนท่านนักพรตต์จะวิ่งตามยัยแก่คนนั้นก็เคลื่อนตัวมาขวางหน้าท่านนักพรตต์เอาไว้
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”
“ยัยแก่ไปตายซะ!”ท่านนักพรตต์ตะคอกออกมาด้วยความโมโหยกดาบไม้เข้าไปแทงทันที
แต่ยัยแก่คนนี้กวัดแกว่งไม้เท้าดำในมืออย่างคล่องมือแม้พละกำลังของเธอจะลดลงอย่างต่อเนื่องแต่พวกเราก็ไม่สามารถจัดการเธอได้ทันที
การต่อสู้แบบนี้ผ่านไปอีกหลายนาทีเจ้าแมวตัวนั้นหนีไปจนไม่เห็นเงาแล้วแต่พวกเรากลับกำลังสู้กับยัยแก่ในหุบเขาแห่งนี้

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset