ศพ – ตอนที่ 340 ความทรงจํา

ตอนที่ 340 ความทรงจํา
หลังจากที่พี่เฟิงพูดแบบนั้นออกมา ทุกคนก็รู้ สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาในทันที
ถึงจะเดาเอาไว้แล้ว แต่พอได้ยินจากปากพี่เฟิง ผมก็พูดอะไรไม่ออกอยู่ดี
โดยเฉพาะเหล่าเฟิงที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ เขาทํา ตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ก็ดูตื่นเต้ นด้วยเช่นกัน “ถ้า พูดถึงขนาดนี้ งั้นพวกเราก็แยก แยกออกจากกันได้นะซิ ?”
ระหว่างพูด เสียงเหล่าเฟิงค่อนข้างสั่น
เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็คิดว่า พี่ชายฝา แฝดของเขาคนนี้ จะแยกจากร่างเขาไม่ได้แล้ว
ตอนนี้กลับมีการยืนกรานอีกอย่าง จึงเป็นปกติ ที่ในสมองจะมีความคิดหลั่งไหลเข้ามาเหมือนพายุเข้า
พี่เฟิงเหลือบมองเหล่าเฟิง “ฮี! ถ้าไม่ได้เป็น เพราะพวกแกทํางานไม่ดี ตอนนี้ฉันก็คงได้หลุด ออกจากร่างของแกแล้ว ถ้าอยากให้พวกเราแยก ออกจากกันโดยสมบูรณ์ ต้องหาแก่นหยินแดงมา อีกหนึ่งหรือไม่ก็เยอะกว่านั้น….”
“ทําไมยังต้องให้อีกเยอะละ ?” ผมไม่เข้าใจ
นี่ก็แยกออกมาได้แล้วนะ มันน่าจะห่างจากการ แยกอย่างสมบูรณ์ไม่มากเท่าไหร่แล้วน
แต่พี่เฟิงกลับพูดอย่างอารมณ์เสีย “สถา นการณ์แบบพวกเรา คนบนโลกไม่อาจแก้ได้ แต่ ฉันสามารถใช้แก่นหยินแดงทําให้เราแยกจากกัน ได้ แต่มันก็ต้องใช้วิชาลับของตระกูลฉัน ตอนนี้ ประตูเปิดออกแล้ว
หากคิดจะเปิดมันอีกครั้ง ก็ต้องใช้เยอะกว่านี้ และต้องมีพลังหยินมหาศาล”
น้ําเสียงของพี่เฟิงปนไปด้วยความเสียใจ และดู อารมณ์เสียไม่น้อย
แต่ผมกลับจับคําว่า “ตระกูล” จากคําพูดเมื่อกี้ได้
เหล่าเฟิงไม่มีที่มาที่ไป ก่อนจะเจอกับท่านนัก พรตต์ ไม่มีใครรู้เรื่องในอดีตของเขา
แม้แต่ตัวท่านนักพรตต์ ก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปและ ชาติกําเนิดของพี่เฟิง
เขารู้เพียงแค่เหล่าเฟิงมีสองวิญญาณ จึงเดาว่า ชาติกําเนิดของเหล่าเฟิงอาจเกี่ยวข้องกับพวก หนันหยาง
เพราะพวกหนันหยางมักชอบเลี้ยงผี วิญญาณ กดวงในร่างเหล่าเฟิง และอาจถูกฝังเข้าไปในร่าง ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หรือที่เรียกกันว่าฝังวิญญาณ
แต่เหล่าเฟิงไม่เคยเอ่ยปากพูดขึ้นมาเลย และ ไม่ยอมพูดถึงมันอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ เลยไม่มีใครรู้เรื่องราวก่อนเหล่าเฟ งอายุ 14 ส่วนเรื่องชาติกําเนิดและที่มาของร่าง สองวิญญาณ
ก็ยิ่งมืดบอดเข้าไปใหญ่
พี่เฟิงเข้ามาโดยการฝังวิญญาณจริงหรือเปล่า หรือจะเป็นร่างสองวิญญาณมาตั้งแต่ต้น เราก็ไม่มี ทางรู้ได้เลย
ตอนนี้พอได้ยินพี่เฟิงพูดถึง “ตระกูล” สองคํานี้ ผมก็มั่นใจประมาณ 10% ว่าเหล่าเฟิงต้องเกิด ในตระกูลที่มีการฝึกเต่อย่างแน่นอน
บางทีเขาอาจมาจากสํานักที่เลี้ยงผีบางสํานัก ในหนันหยาง ก่อนจะมารู้จักท่านนักพรตต์ พวก เขาก็เริ่มฝึกวิชาที่เกี่ยวกับเต่ําแล้ว
ผมคิดในใจแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
แต่เหล่าเฟิงที่นั่งอยู่บนเตียง ก็ได้ยินคําพวกนี้ เหมือนกัน
เขาขมวดคิ้วทันที ลุกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วถามพี่ เฟิงว่า “ตระกูล วิชาลับ หรือ หรือนายจะจําเรื่อง ก่อนออกทะเลได้งั้นเหรอ ?”
ก่อนออกทะเล นี่มันเรื่องอะไรอีกละ เรื่องใน อดีตของเหล่าเฟิงเหรอ
ไม่ใช่แค่ผม แม้แต่ท่านนักพรตต์ก็ยังทําท่า อยากรู้มาก เขาก็หันไปมองพี่เฟิงเหมือนกัน
พี่เฟิงกลับเค้นเสียงดัง ฮี “มีอะไรที่ฉันจะจําไม่ ได้ละ ? อย่าว่าแต่ตอนใช้ชีวิตอยู่บนเรือทาสนั่น เลย
ตั้งแต่วินาทีที่ตระกูลฆ่าฉัน หรือตอนที่ฉันโดน ฝังเข้าไปในร่างของแก ทุกอย่างที่แกเคยเจอมา ฉันจําได้ทั้งหมดนั่นแหละ”
เจ้าตัวแสบ ฝังวิญญาณ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
เป็นอย่างที่ท่านนักพรตคู่เดาเอาไว้เมื่อ ตอนแรกไม่มีผิด พวกเขาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ตอนเกิดมา พวกเขาเลือกฝังวิญญาณของพี่เฟิง
พวกเขาตัดข้อมือของเขา พ่นควันบางอย่าง เข้าไปในปากพี่เฟิง ใช้พาชนะพิเศษใส่ร่างเขา เอาไว้ ใช้ยันต์ผนึก แล้วสุดท้ายก็ใช้วิธีบางอย่าง
หากทําพิธีเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะไม่สนใจอีก ต่อไป ว่าเด็กทารกที่ถูกตัดข้อมือคนนั้นจะเป็น หรือตาย
ขอแค่เด็กอีกคนยังมีชีวิตอยู่ แบบนั้นในร่างกาย ของเขา ก็จะถูกฝังวิญญาณอีกดวงลงไป
ทั้งสองคนจะมีชีวิตและความตายร่วมกัน ใช้ ร่างเดียวกัน มีชีวิตอย่างหนึ่งร่างสองวิญญาณ
คนหนึ่งหยาง คนหนึ่งหยิน
นอกจากการฝังวิญญาณแล้ว เจ้าเรือทาสนี้มัน คืออะไร ก่อนอายุ 14 เหล่าเฟิงยังเคยเจอเรื่อง อะไรมาอีก
ผมมีคําถามมากมายในใจ รู้สึกว่าเหล่าเฟิงและ พี่เฟิงยังมีความลับอีกมากมาย
พอเหล่าเฟิงได้ยินแบบนั้น ก็ทําหน้าตื่นเต้น นมาอีกครั้ง “แล้วทําไมนาย ทําไมไม่บอกฉันละ
“บอกแก ? คนมีคุณธรรมอย่างแก จะรับเรื่อง ตระกูลที่โหดร้ายยิ่งกว่าเรือทาสได้หรือไง ? ถ้า ไม่มีฉัน ชีวิตที่ขมขื่นบนเรื่องทาสนั่นแกก็ผ่านมา ไม่ได้หรอก ! เจ้าขยะเอ้ยยังคิดจะอยากรู้เรื่องใน อดีต……” พี่เฟิงทําหน้ารังเกียจ สิ่งที่พูดมีแต่ พวกเขาสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ
แต่พี่เฟิงกลับดูตื่นเต้นผิดปกติ จนแทบเรียกได้ ว่ากระวนกระวาย หน้าตาดูอารมณ์เสียสุดๆ
“รีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ บอกฉันมาว่าบ้านเราอยู่ ที่ไหน ? บอกฉันมา ว่าทําไมคนในตระกูลถึงทํา กับเรา
แบบนี้ ? พวกเรา พวกเรายังมีพ่อแม่อยู่ไหม ? บอกฉันมา บอกฉันมาเดี๋ยวนี้…” พอพูดถึงประ โยคสุดท้าย เหล่าเฟิงก็ตาแดงก่ํา เขาแทบจะตะ คอกออกมา
พี่เฟิงยังคงมองเหล่าเฟิงอย่างดูถูก “ในเมื่อลืม ไปแล้ว ก็อย่าจําได้อีกเลย นั่นเป็นตระกูลที่โหด เหี้ยมอย่างที่แกคาดไม่ถึงเลยละ และการมีอยู่ ของพวกเรา ก็เป็นแค่เครื่องมือของพวกเขา เท่านั้น ! ส่วนเรื่องพ่อแม่
ความโหดเหี้ยมของพวกเขาไม่มีทางที่แกจะ จินตนาการออก”
พอพูดถึงตรงนี้ พี่เฟิงก็ทําท่ารําคาญสุดๆ ไม่ อยากพูดอีกต่อไป เขาเคลื่อนพลังไปที่แขน กลายเป็นกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ทําตัวเป็นสายลมอันเยือกเย็น ลอย เข้าไปในร่างของเหล่าเฟิง แล้วหายไปในทันที
“หานเฉ่วเฟิง นายออกมาเดี๋ยวนี้นะ รีบบอกให้รู้ เรื่องทุกอย่าง บอกความทรงจําที่ฉันขาดหายไป ในช่วงเวลานั้นมา !” เหล่าเพิ่งเริ่มบ้าคลั่ง เขาหัว ร้อนสุดๆ ใช้มือตีร่างกายตัวเอง
แต่พี่เฟิงกลับพูดออกมาอย่างเย็นชา “อ่อน อย่างกับหมา แกยังจะแบกรับความเจ็บปวดพวก นั้นได้เหรอฮะ….”
หลังจากพูดจบ เสียงของพี่เฟิงก็ไม่ดังขึ้นอีก ไม่ว่าเหล่าเฟิงจะตะโกนยังไง พี่เฟิงก็ดูเหมือ นกับหลับไปแล้ว
แต่พวกเราก็ได้รู้ว่า พี่เฟิงใช้แก่นหยินแดง แยก ตัวจากเหล่าเฟิงได้ในระยะหนึ่ง
ตอนนี้ที่เขาเงียบไม่ยอมพูดออกมา เป็นเพราะ ไม่อยากคุยกับเหล่าเฟิงอีก
แต่คราวนี้พวกเราได้ข้อมูลมาจากปากพี่เฟิงไม่ น้อย
เรือทาส ตระกูลที่โหดเหี้ยม ความทรงจําที่ แสนเจ็บปวด เครื่องมือ พ่อแม่ที่โหดร้าย คําพวก นี้ล้วนเป็นคีย์เวิร์ด เหล่าเฟิงและพี่เฟิงมีที่มายังไง กันแน่ แล้วพวกเขามาจากที่ไหนกันแน่
ความลึกลับมากมายจากก่อนหน้านี้ ดูเหมือน จะมีหมอกเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
แม้ตอนแรกเหล่าเฟิงจะดูกระวนกระวายมาก แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆสงบลง
ในเวลาเดียวกันเราก็ได้ยินท่านนักพรตต์พูดว่า “เสี่ยวเฟิง ! ไม่ต้องกระวนกระวายขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ได้มาเริ่มต้นใหม่ที่ดีแล้วนิ ขอแค่พี่ชาย ของเจ้าออกจากร่างเจ้าได้เจ้าก็จะเป็นอิสระแล้ว !จะคิดมากไปทําไม ยังมีอาจารย์อยู่ไม่ใช่เหรอนี้
ท่านนักพรตต์พูดปลอบใจ บอกให้เหล่าเพิ่งทํา จิตใจให้สงบ
เหล่าเฟิงหันมามองหน้าอาจารย์ของตัวเอง ทํา หน้าตาดีใจ แต่แล้วเขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ ต่อ จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ ก่อนจะมารู้จักท่า น ที่จริงผมเคยอยู่บนเรือทาสที่หนันหยางมาสิบ กว่าปี……”
พอท่านนักพรตต์ได้ยินแบบนั้น ก็เห็นได้ชัดว่า เขาอึ้งไปในทันที แต่เสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็กลับ มาสงบดังเดิม และค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา
เขาลูบหัวเหล่าเฟิง “เจ้าเป็นศิษย์ของข้าตู้อ่าว เรือทาสแล้วยังไงละ ? นั่นมันเป็นเรื่องที่ผ่านมา แล้ว ตอนนี้เจ้าแค่ต้องจําเอาไว้ว่า เจ้าเป็นคน ปราบสิ่งชั่วร้าย งานของเราเป็นงานใสสะอาด ทําในสิ่งที่ชอบธรรมทํางานแทนสวรรค์”
ถึงท่านนักพรตต์จะพูดถึงขนาดนี้ แต่ผมกลับยัง อึ้งไม่หาย
เรือทาสคืออะไร เป็นทาสบนเรือเหรอ แต่เห็น ได้ชัดว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ดูจากท่าทางของเหล่า เฟิงและท่านนักพรตต์แล้ว เจ้าเรือทาสนี้ น่าจะไม่ ได้ธรรมดาแบบนั้น
ดังนั้นผมเลยถามออกไปตรงๆ “เหล่า เหล่าเฟิง ท่านนักพรตคู่ ไอ้เรือทาสนี้ นี่มันคืออะไรงั้นเหรอ?”
พอท่านนักพรตคู่ได้ยินผมถาม เขาก็ถอน หายใจออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
มุมปากของเหล่าเพิ่งกลับยกยิ้มขึ้นอย่างข่มขืน และดูถูกตัวเอง “มันเอาไว้ใช้เลี้ยงสัตว์ เป็นเรือผี ที่ต้องกินซากคนตายทุกวัน……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset