ศพ – ตอนที่ 36 สู้กับผีสาว

เฟิงเฉ่วหานตอบสนองเร็วมาก ผมพึ่งลงมือเท่านั้น เจ้าเด็กนี้ก็หยิบยันต์ออกมาทันที

แม้ผีสาวจะโดนต่อยไปหนึ่งหมัด แต่เธอไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เมื่อเห็นยันต์ เธอก็ตกใจ

ถอยหลังตามสัญชาตญาณ เนื่องจากมือและเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น จึงสามารถถอยไปด้านหลังได้อย่างราบรื่น

เธอเคลื่อนไหวเร็วมาก ยันต์แผ่นนี้จึงแปะเข้ากับอากาศ แต่อย่างน้อยพวกเราก็สร้างระยะห่างจากผีสาวได้

“เฟิงเฉ่วหาน นายดูเธอไว้นะ! ฉันจะโทรเรียกอาจารย์และนักพรตตู๋!”

ขณะที่พูด ผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ขณะที่กำลังจะเรียกให้อาจารย์และนักพรตตู๋มาช่วย

เฟิงเฉ่วหานก็หยิบดาบไม้มาเตรียมพร้อมเรียบร้อย และจับตาดูผีสาวเอาไว้ “มีเกิดก็ต้องมีตาย พอแค่นี้เถอะ!”

 

แต่ผีสาวตนนั้นกลับทำหน้ามืดมน จากนั้นก็เผยสีหน้าที่สยดสยองออกมา “อย่าฝัน ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันให้ฉันดูแลบริษัท ฉันจะตายแบบนี้ได้ยังไง และยังมีพวกแก กล้ามาแตะต้องร่างกายที่แสนล้ำค่าของฉัน ยังไงก็ต้องชดใช้!”

หลังจากพูดจบ ผีสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “อร๊าย!”

จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้าและพุ่งเข้ามาหาพวกเรา ด้วยความรวดเร็ว

เมื่อผมเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกสองถึงสามครั้ง

นี่มันเหตุผลบ้าบออะไรกัน ดูแลบริษัทมันผิดได้ด้วยเหรอ ผมยังต้องการให้ใครสักคนเรียกผมไปดูแลบริษัทบ้างเลย

 

แต่พวกเราจัดการเรื่องงานศพ เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แล้วแบบนี้พวกเราจะไปดูหมิ่นร่างกายเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ดูเหมือนวิญญาณคุณหนูเหวินจะถูกควบคุม พลังชั่วร้ายเยอะมาก จนทำให้เธอสูญเสียความคิดของตัวเอง เลยพูดอะไรไร้สาระออกมา

เพียงชั่วพริบตา ผีสาวก็พุ่งเข้ามา ต่อสู้กับเฟิงเฉ่วหานจนเป็นวงกลมแล้ว

หลังจากโทรศัพท์ดัง “ตู๊ดตู๊ด” ก็มีคนรับสาย “อาจารย์ รีบมาเร็ว เธอมาที่ห้องโถงครับ!”

เมื่ออาจารย์ได้ยินเสียงในโทรศัพท์ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เสี่ยวฝานแกกับเสี่ยวเฟิงระวังตัวด้วยนะ ฉันกับนักพรตตู๋จะรีบไปทันที……”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็วางโทรศัพท์ทันที

อีกเดี๋ยวอาจารย์และนักพรตตู๋ก็จะมาถึง ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานจะต้องรับมือกับเธอไปก่อน

เมื่อคืนดาบไม้และดาบเหรียญถูกทำลายจนหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมจึงเหลือเพียงยันต์แปดทิศและไม้บรรทัดเหล็กดำเท่านั้นที่จะมาทำเป็นอาวุธได้

แต่ผมก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น พุ่งเข้าใส่ผีสาวทันที

ผีสาวตนนั้นดุร้ายมาก ถ้าเทียบกับผีดิบตัวเมื่อวานนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเร็วนั้นเพิ่มมามากขนาดไหน

กรงเล็บจากมือทั้งสองข้างเข้ามาข่วนตัวผมสองคนอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ต่อสู้ลักษณะแบบนี้

 

เนื่องจากผมยังไม่ค่อยคุ้นเคย หน้าอกผมที่เคยเป็นปกติ

กลับปรากฎรอยฉีกขาดที่เสื้อถึงสามรอย และที่หน้าอกเองก็มีคราบเลือดไหลซึมออกมา

โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกมาก แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ จากนั้นผมก็หยิบไม้บรรทัดเหล็กดำออกมาสู้ต่อทันที

 

แต่เห็นได้ชัดว่าผีสาวตนนั้นกำลังโมโหมาก “สมควรตาย ตอนนี้ฉันจะฆ่าพวกแก!”

เสียงของผีสาวพึ่งจางหาย พลังหยินที่ชั่วร้ายก็ระเบิดออกจากร่างของเธอทันที

บรรยากาศแบบนั้นกดดันอย่างมาก จนทำให้ผมแทบจะหายใจไม่ออก

 

“ไอ้ปีศาจ!” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็ฟันดาบเข้าไปทันที

แต่ผีสาวกลับไม่หลบเลยสักนิด เธอจับดาบไม้ของเฟิงเฉ่วหานเอาไว้

จากนั้น พวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรเผาไหม้ “ซ่า….” ควันดำค่อยๆไหลออกมาจากมือผีสาว

คุณต้องรู้ว่าดาบไม้นี้เป็นดาบที่มีพลังหยาง ปกติแล้วสิ่งชั่วร้ายจะไม่กล้าแตะต้อง

ผลลัพธ์ก็ดีจริงๆ ผีสาวตนนี้ไม่เพียงแค่แตะดาบ เธอยังจับมันไว้แน่น

ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจมือที่กำลังถูกพลังหยางเผาเลยสักนิด ดวงตาจ้องเขม็ง “ตาย!”

ขณะที่พูด เธอก็ออกแรงที่มือ ดึงดาบไม้ในมือเฟิงเฉ่วหานโยนทิ้งไปทันที

 

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะแรงเฉื่อย จึงทำให้ร่างกายของเฟิงเฉ่วหานเสียสมดุล พุ่งเข้าหาผีสาวทันที

เมื่อผีสาวเห็นสิ่งนี้ เธอก็อ้าปาก เตรียมกัดเข้าไปที่คอของเฟิงเฉ่วหาน

ตอนนี้เฟิงเฉ่วหานยังยืนไม่ได้เลย แล้วเขาจะสามารถหลบการโจมตีนี้ได้ยังไง

“ระวัง!” ผมตะโกนด้วยความตกใจ ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรแล้ว รีบเอื้อมมือออกไปป้องกันไว้ทันที

การกัดมือของผมและการกัดคอนั้น มันแตกต่างกันลิบลับ เรื่องนี้ใครๆต่างก็รู้ดี

วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ทันทีว่ามือซ้ายของผมมีความเจ็บปวดกำลังแผ่ซ่านไปทั่ว

เขี้ยวทั้งสองซี่ของผีสาว เจาะทะลุผิวหนังของผม มันฝังลึกเข้าไปอยู่ในเนื้อของผมทันที

 

“อ้า…!”

ผมอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา เลือดสดๆไหลออกมาตามมุมปากของผีสาว

“ติงฝาน!” เฟิงเฉ่วหานดูตกใจมาก เขาไม่คิดว่าผมจะเป็นคนดีขนาดนี้ ยอมบาดเจ็บแทนเขา

ระหว่างนั้น ตัวของเฟิงเฉ่วหานสามารถยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว จากนั้นเขาก็เตะไปที่ท้องของผีสาวทันที

ลูกเตะนี้แรงมาก มันทำให้ผีสาวถอยห่างออกไปทันที

มือของผมที่ถูกอีกฝ่ายกัดก็หลุดออกมา จากนั้นผมก็พบว่าที่หลังมือมีรอยกัดของเขี้ยวสองซี่ เลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และบริเวณรอบๆบาดแผล ยังมีรอยสีคราม และมันยังให้ความรู้สึกเสียวซ่านเล็กน้อย

เมื่อผมเห็นแผล ก็ด่าออกมาหนึ่งคำว่า  “สมควรตาย!”

 

เฟิงเฉ่วหานก็จับมือผมไปดู เขาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก และเผยสีหน้าที่รู้สึกผิดออกมา

เมื่อผมเห็นเฟิงเฉ่วหานแสดงสีหน้าแบบนั้น ผมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “แค่แผลเล็กๆน่าไม่เป็นอะไรหรอก ตอนนี้พวกเรามาหาวิธีจัดการเจ้านี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”

หลังจากพูดจบ พวกเราก็หันไปมองผีสาวอีกครั้ง

พบว่าผีสาวกำลังเลียเลือดที่ติดริมฝีปากอยู่ “เลือดนี่รสชาติเยี่ยมจริงๆ ตอนนั้นฉันน่าจะกัดแกให้ตายจริงๆ!”

หลังจากพูดจบ ผีสาวตนนั้นก็เผยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจในแบบแปลกๆออกมา

แต่ในวินาทีนั้น ด้านหลังกลับมีเสียงของอาจารย์ดังขึ้น “ยัยชั่ว อย่ามาโอหัง!”

 

เสียงพึ่งจางหาย ผมก็เห็นอาจารย์และนักพรตตู๋วิ่งเข้ามาในห้องโถงทันที

เขาไม่พูดอะไรมาก เตรียมตัวพุ่งเข้าใส่ผีสาวทันที

เมื่อผีสาวเห็นอาจารย์และนักพรตตู๋กำลังจะพุ่งเข้ามาหาเธอ เธอจึงคำราม “โฮก” ออกมา และพุ่งออกไปทันที

เพียงชั่ววินาที ทั้งสามคนก็เริ่มต่อสู้

แต่นักพรตตู๋และอาจารย์ไม่สามารถนำมาเทียบกับผมและเฟิงเฉ่วหานได้  แม้ผมสองคนร่วมมือกัน ก็ยังต่อสู้กับผีสาวได้อย่างยากลำบาก

 

แต่เมื่อนักพรตตู๋และอาจารย์ร่วมมือต่อสู้กับผีสาว ผีสาวตนนั้นกลับต้องเป็นฝ่ายลำบากแทน

นี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว อาจารย์ต่อยที่หน้าผีสาวหนึ่งหมัด

เสียงดัง “ปัก” วินาทีนั้นผีสาวถูกต่อยกลิ้งไปกับพื้นทันที

ไม่เพียงเท่านี้ ใบหน้าของผีสาวยังมียันต์แปะอยู่หนึ่งแผ่น มันทำให้ผีสาวผวาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเจ็บปวดสุดๆ

ผมไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่เฟิงเฉ่วหานกลับแสดงท่าทางที่ตกใจออกมา “ยันต์ฝ่ามือ คิดไม่ถึงว่าท่านผู้อาวุโสติงจะใช้ยันต์ฝ่ามือได้!”

ดูจากท่าทางของเฟิงเฉ่วหาน การต่อสู้ของอาจารย์คงเจ๋งน่าดู

 

แต่ผมไม่มีเวลาถาม หลังจากนั้นเฟิงเฉ่วหานก็ใช้ผ้าก๊อดมาช่วยพันแผลให้ผม ขณะที่กำลังคิดจะออกไปช่วย

ผมก็พบว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมสองคนจะช่วยได้อีกแล้ว

จากนั้นผมก็เห็นนักพรตตู๋ทำมือและพูดว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง บัญชา!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “ปัง” ร่างผีสาวกระเด็นออกไป ระหว่างนั้นเธอยังกรีดร้องโหยหวนออกมา และกระแทกลงไปกับพื้นทันที

แต่นักพรตตู่และอาจารย์ไม่ได้ตามไปฆ่า ยังเว้นระยะห่างจากผีเอาไว้

ผีสาวลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็มองอาจารย์และนักพรตตู๋ด้วยสายตาที่เกลียดชัง “ฉันจะกลับมาแน่……”

 

หลังจากพูดจบ ผีสาวก็หมุนตัวและหนีออกไปจากห้องโถงทันที จากนั้นร่างของเธอก็กลืนหายไปกับความมืด

แต่อาจารย์และนักพรตตู๋ไม่ได้รีบร้อน เขารีบเข้ามาดูบาดแผนของผมก่อน

“ผมไม่เป็นอะไรครับอาจารย์!” ผมพูด ผมคิดว่ารูเล็กๆสองรูนี้ ไม่เป็นไรแล้วเพราะมีเลือดไหลออกมาแค่นิดเดียวเท่านั้น

แต่อาจารย์กลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “แกจะรู้อะไร ถ้าถูกผีกัดพลังหยินจะเข้าไปทำร้ายร่างกาย ถ้าไม่รีบรักษา แกจะตายได้รู้ไหม!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบขี้เถ้าจากกระถางธูปมาหนึ่งกำมือ

ไม่อธิบายอะไร นำขี้เถ้านั้นเทลงบนแผลผมทันที

 

หลังจากขี้เถ้าสัมผัสกับแผล ความเจ็บปวดก็ไหลทะลักออกมาจนเกือบทำให้ผมต้องร้องไห้

แต่ก็แปลกนะ หลังจากทาขี้เถ้าลงบนแผล มันกลับทำให้ผมรู้สึกเย็นๆชาๆ

ผมจึงเผยสีหน้าที่มีความสุข แต่ผมก็กังวลเพราะทุกคนใช้เวลารักษาอาการบาดเจ็บของผมนานแล้ว

ตอนนี้ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผีสาวแล้วด้วย แล้วพวกเราจะไล่ตามเธอได้ยังไงละ

“อาจารย์ ผมผิดเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้ยัยผีนั้นหลุดมือไปได้” ผมโทษตัวเอง

แต่อาจารย์กลับพูดอย่างเยือกเย็น “หนีงั้นเหรอ คืนนี้เธอหนีได้ที่ไหนละ”

เสียงพึ่งจางหาย อาจารย์ก็สบัดมือใหญ่ๆของเขา แล้วหยิบเข็มทิศสีดำออกมา……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset