ศพ – ตอนที่ 398 ที่มา

ตอนที่ 398 ที่มา

พวกเราไม่เคยเห็นท่านนักพรตต์ทําท่าทางแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเจอเรื่องใหญ่ขนาดไหนท่านนักพรตคู่ก็ไม่เคยทําหน้าตาตกใจแบบนี้มาก่อน

แต่ตอนนี้ หลังได้ยินท่านนักพรตต์พิมพ์ชื่อนักพรตที่ “ไม่มีใครรู้จัก” ออกมาแบบนั้นแถมยังมีท่าที่แบบนี้ มันก็ทําให้พวกเราทุกคนตีหน้ามันทันที

“อาจารย์ อาจารย์ !” เหล่าเพิ่งเห็นอาจารย์ตัวเองเป็นแบบนั้น เลยเรียกเขาสองรอบ

เหล่าฉันขมวดคิ้วแน่นกว่าใคร “อ่าว นายเป็นบ้าอะไรฮะ ? เจ้าฉันเนี่มีภูมิหลังน่าตกใจนักหรือไง ?

“เหล่า

นายรู้ภูมิหลังของคนคนนี้เหรอ ?” อาจารย์เองก็ถามเหมือนกัน

ผมและพี่เฟิงทําตาโต ต่างมองท่านนักพรตติด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเราเองก็อยากได้ ข้อมูลจากปากของเขา

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ท่านนักพรตต์ก็เงียบไปพักหนึ่ง

ต่อมาจู่ๆเขาก็หลับตาลง แล้วถอยหายใจออกมาหนึ่งครั้ง “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมี คนคนนี้อยู่จริงๆ !”

ฟังจากน้ําเสียงท่านนักพรตต์ ดูเหมือนฉินเย่คนนี้จะร้ายกาจมาก

อาจารย์และเหล่าฉันใจร้อน รีบถามต่อ บอกให้ท่านนักพรตต์รีบพูด เล็กลีลาได้แล้ว

ท่านนักพรตติพยักหน้าเบาๆ จากนั้นถึงพูดกับเหล่าฉนว่า “ศิษย์พี่ พี่ยังจําที่มาของอาจารย์ของเราได้ไหม ?”

“ที่มาของอาจารย์เรา ?” เหล่าฉันทําหน้าสงสัย

“ใช่ อาจารย์ของพวกเรา” ท่านนักพรตติพูดยืนยันอีกครั้ง

เหล่าฉันทําหน้าอารมณ์เสีย “ ฉันต้องรู้อยู่แล้ว ฉันไปจุดธูปให้อาจารย์ทุกปี ไม่เหมือนแกหรอกเจ้าโง่

สิบปีแปดปียังไม่ไปสักครั้ง !

ท่านนักพรตต์ยิ้มอ่อน ท่าทางไม่โมโห ส่งสัญญาณให้เหล่าฉันพูดต่อ

เหล่าฉันกลอกตา “อาจารย์ของพวกเราเป็นคนของไปฮัวชาน ศิษย์นอกสํานักไปฮัวกงกลุ่ม หวงฮัว”

เหล่าฉันพูดแบบใจลอย ผมเคยได้ยินเหล่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเขาเป็นศิษย์ในสํานักที่มีชื่อว่าไฮัวกง

แต่เจ้าสํานักนี้อยู่ที่ไหน มีคนเท่าไหร่ เหล่าเฟิงเองก็ไม่รู้เรื่อง

ในสายตาผม นี่น่าจะเป็นสํานักเล็กๆแห่งหนึ่ง

แต่ในเวลานี้พอได้ยินเหล่าฉันพูดแบบนั้น ผมก็อดมินไม่ได้ อาจารย์ปู่ของเหล่าเฟิงเป็นศิษย์นอกสํานัก

อะไรคือนอกสํานัก มันก็คือไม่สามารถฝึกวิชาในสํานัก ไม่สามารถเรียนวิชาที่สืบทอดกันมา

แบบเฉพาะ

ได้แต่ฝึกพวกวิชาทั่วไป นี่ก็คือศิษย์นอกสํานัก

แต่ไม่รอให้ผมได้คิดอีกหน่อย ท่านนักพรตต์ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ใช่ สํานักไปฮัวกงตอนมีชีวิตอาจารย์อยากเป็นศิษย์ในสํานักไปชั่วกงมาตลอด มีครั้งหนึ่งอาจารย์กับศิษย์ในสํานักไปฮัวกงดื่มเหล้าด้วยกัน

ผมได้ยินพวกเขาคุยกันตอนเมาแล้ว และสิ่งที่พวกเขาพูดถึงกัน ก็ดันเป็นฉันเชื่อนี้พอดี”

“หรือว่าฉันเย่จะเป็นคนสําานักไปฮัวกงงั้นเหรอ ?” เหล่าฉันตกใจและสงสัย

ท่านนักพรตต์ส่ายหน้าเบาๆ “ ไม่แน่ใจ แต่ผมได้ยินพวกเขาบอกว่า คนที่เจ้าสํานักของพวกเรารัก

มีชื่อว่าฉันเย่ ! ”

“อะไรนะ มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ ? คนที่ของเจ้าสํานักของเรารัก ?” เหล่าฉันช็อกในทันที

แต่พวกเราที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้สึกงงมาก นี่มันข่าวซุบซิบบ้าบออะไร

เพราะพวกเราไม่เข้าใจสํานักไปฮัวกง ยิ่งไม่รู้จักเจ้าสํานักอะไรนั่น ตอนเริ่มฟังเลยค่อนข้างมนๆหน่อย

แต่ต่อจากนั้น ผมก็เริ่มเข้าใจ

สําหรับสํานักไปฮัวกงนี้ ผมก็เข้าใจเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย

จากค่าพูดของท่านนักพรตต์และเหล่าฉัน ผมพบว่าสานักไปฮัวกงไม่ใช่สํานักเล็กๆอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสํานักขนาดยักษ์

จากปากของท่านนักพรตต์ เมื่อเจ้าสํานักไปฮัวกงออกมา จะสามารถทําให้โลกแห่งเต๋สั่นคลอนได้ทันที และสํานักอื่นๆต้องยอมก้มหัวให้

พอพูดถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าท่านนักพรตต์ค่อนข้างตื่นเต้น น้ําลายเขานี่กระเซ็นเป็นสายๆเลยที่เดียว

แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือแค่โม้

แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ สํานักที่ชื่อไปฮัวกงนี้ร้ายกาจมาก ผู้นําของพวกเขาเป็นผู้หญิง

แต่ละสํานักต่างให้ความสําคัญ กับการขึ้นครองตําแหน่งของผู้หญิงคนนี้มาก

และผู้อาวุโสที่ชื่อว่าฉันเย่คนนั้น ก็เป็นคนที่ผู้หญิงทรงอานาจและแข็งแกร่งมากคนนั้นรักนอกจากนี้เขายังเป็น“ผู้พิทักษ์”ของสํานักไปชั่วกงแห่งนี้อีกด้วย

มีครั้งหนึ่งที่พวกลัทธิชั่วมาบุก จนเกือบทําให้สํานักไปฮัวกงต้องล่มสลาย สุดท้ายก็ได้ฉินเย่คนนี้ออกโรงพลิกสถานการณ์กลับมาปกป้องสานักไปชั่วกงเอาไว้ได้

แต่นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ท่านนักพรตต์ยังเล่าเพิ่มอีกหน่อย บอกว่าตอนเขารินเหล้าให้อยู่ข้างๆ ได้ยินศิษย์ในสํานักคนนั้นพูดว่า ฉินเย่ไม่เพียงเป็นคนที่เจ้าสานักรักเป็นผู้พิทักษ์ของสํานักไปฮัวกงแต่ยังมีพลังระดับสูงอีกด้วย

แถมยังพูดอีกว่าว่าในมือของเขามีกระบี่เหล็กนิลอยู่ด้านหนึ่ง ตัวเนื้อเหล็กเหมือนสีโคลนแถมยังมีจิตวิญญาณดาบสถิตอยู่และเขายังเอาดาบเล่มนั้นกลับมาจากเหวในนรกอีกด้วย……

ท่านนักพรตต์พูดเรื่องพวกนี้แบบจริงจังสุดๆ ตอนนั้นเขาได้ยินเต็มสองหูคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน

แต่ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

ถ้าพูดว่านักพรตฉันคนนี้ร้ายกาจมาก เป็นที่ชื่นชมของเจ้าสํานักของพวกเขามีที่มาจากสํานักไปฮัวกง

เคยช่วยสํานักไปฮัวกงเอาไว้ ผมคิดว่ามันไม่แปลกเลยสักนิด

สามารถใช้กันบุหรี่เพียงครึ่งม้วนทําให้หมอผีที่แข็งแกร่งเกือบตายได้ พลังระดับนี้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

และเขาก็หล่อจริงๆ ถึงจะเข้าขั้นลงแล้ว แต่ก็ยังหล่ออยู่

ตอนเป็นหนุ่มต้องโดดเด่นกว่าใคร เจ้าสํานักหญิงมาหลงรักก็เป็นเรื่องปกติสุดๆ

แต่เจ้ากระบี่เหล็กนิลนั้น ผมคิดว่าเป็นแค่เรื่องที่ศิษย์สํานักไปฮัวกงนั้นคุยโวมากกว่า

เอากลับมาจากเหวในนรกอะไร ใครจะเชื่อ นี่มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือไง

คนเป็นจะไปที่นรกได้หรือไง ไปแล้วยังกลับมาอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่าไปที่เหวในนรกและยังเอาของกลับมาบนโลก แถมยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ได้

เรื่องนี้มันฟังดูไกลจากความจริงมาก แต่ท่านผู้อาวุโสฉินและความสัมพันธ์ระหว่างสํานักไปฮ้วกง

เรื่องนี้สามารถเชื่อได้ ส่วนเรื่องอื่นผมไม่เก็บมาใส่ใจ

ต่อจากนั้น พวกเราก็ไม่ได้ยืนคุยอยู่ตรงนั้นต่อ หลังเล่าเรื่องทุกอย่างที่เจอในคืนนี้

และทําให้ตาแก่ทั้งสามคนตกใจครั้งแล้วครั้งเล่าเสร็จแล้ว พวกเราก็เริ่มจัดการศพสองศพในรถ

ในที่นี้เหล่าฉันใหญ่สุด ดังนั้นเรื่องเผาศพเลยไม่มีใครเข้าไปยุ่ง

ด้วยเหตุนี้ พวกเราเลยดันศพเข้าเตาเผากันในคืนนั้น

สําหรับตัวท่านหลงฉวนตัวจริง ท่านนักพรตฉินและความสัมพันธ์ระหว่างสํานักไปฮัวกง พวกเราไม่ได้คิดถึงพวกมันอีก

เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว สิ่งที่พวกเราควรทําต่อไป มีแค่ไปพักผ่อนฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม ทําให้ตัวเองเลื่อนระดับไปอีกขั้นให้เร็วที่สุด

เพราะผมและเหล่าเฟิงต่างบาดเจ็บ ดังนั้นเรื่องเผาศพเลยยกให้เหล่าฉันเป็นคนจัดการผมและเหล่าเพิ่งต่างถูกอาจารย์ของแต่ละคนพากลับบ้าน

ในบ้านผมจุดธูปให้มู่หลงเหยียน เพิ่งจุดธูปเสร็จ เสียงมู่หลงเหยียนก็ดังขึ้นที่ข้างหูผม “กลับมาก็ดีแล้ว

หลังหายดีแล้วมาหาฉันที่จวนมู่หลงด้วยนะ !”

หลังจากพูดจบเสียงมู่หลงเหยียนก็หายไป ผมมองป้ายวิญญาณ พยักหน้าให้เบาๆแล้วพูด “ได้” แค่คําเดียว

อาจารย์ใส่ยา พันแผลให้ผม จากนั้นก็บอกให้ผมเอายาหลงเฉียนที่นางพญาจิ้งจอกให้มาตอนซูหม่าออกมากินหนึ่งเม็ด

เจ้าของสิ่งนี้นางพญาให้ผมมาสามเม็ด ฤทธิ์ยาน่าพึ่งสุดๆ มันทํามาจากน้ําลายมังกรและสมุนไพรล้ําค่าในหุบเขามีผลต่ออาการบาดเจ็บแบบน่าเหลือเชื่อ

หลังกลืนยาลงไปแล้ว ผมก็รู้สึกร้อนนิดหน่อยที่ท้อง แต่ก็รู้สึกสบายมาก

ต่อจากนั้น ผมก็กลับเข้าไปในห้อง นอนพักผ่อนให้เต็มที่ตลอดทั้งคืน

พอมาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แม้แผลจะยังอยู่ แต่ผมที่กินยาหลงเฉียนเข้าไปแล้ว และรู้สึกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยพลัง

และในร่างกายมีพลังอยู่มากมาย

นี่น่าจะเป็นผลมาจากยาหลงเฉียน ผมไม่ปล่อยให้ฤทธิ์ยาหลงเฉียนเสียไปเปล่าๆ

รีบนั่งขัดสมาด ฝึกเดินลมปราณประมาณหนึ่งชั่วโมง

ผมรู้สึกสดชื่นสุดๆ ความเจ็บปวดก็ลดลงมาเยอะมาก

ของที่นางพญาจิ้งจอกให้ เป็นของล้ําค่าจริงๆ ถึงว่าตอนนั้นพวกผู้อาวุโสจิ้งจอกต่างทําท่าทางน้ําลายไหลเป็นแถบๆ

หลังจากใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ผมก็ออกไปข้างนอก ตอนนั้นเห็นอาจารย์กําลังนั่งดูทีวีอยู่พอดีรายการทีวีมีชื่อว่า“เรื่องสยองในเมือง”

และรูปภาพในรายการนี้ ก็คือสถานที่ที่พวกเรากินของปิ้งย่างเมื่อคืนพอดี
พอเห็นแบบนั้นผมก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ยินพิธีกรหัวมันแพรบถือไมค์คนนั้น พูดด้วยน้ําเสียงมีเลศนัย “ครึ่งเดือนเจ็ดประตูนรกเปิดออก แค่เมื่อคืนนี้ ประตูนรกกลับเปิดออกมาอีกครั้งผู้อาศัยที่อยู่รอบๆต่างบอกว่า เมื่อคืนที่นี่มีกลุ่มทหารผีปรากฏขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มพวกเราเชิญเถ้าแก่ร้านปิ้งย่างที่อยู่ที่นี่เมื่อคืนหรือคุณโจวมาเล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังครับ !”

หลังจากพูดจบ เขาก็ยื่นไมค์ไปให้ผู้ชายตัวอ้วนที่อยู่ข้างๆ เขาก็คือเถ้าแก่ร้านปิ้งย่างที่ตกใจจนติดเกียร์หมาออกไปเมื่อคืน

เถ้าแก่คนนั้นตื่นเต้นมาก ดวงตาเบิกกว้างพูดใส่ไมค์เสียงดังลั่น “จริงๆ ผมเห็นจริงๆไม่ใช่ทหารผี

แต่เป็นปีศาจ มันมีขนยาวออกมาเหมือนสัตว์ประหลาด ท่าทางดุร้ายมากแถมยังพูดได้อกด้วยแต่ตอนนั้นยังมีนักพรตอีกสองคนด้วย แต่นักพรตทั้งสองคนนั้นกลับดูเด็กมาก……”

ขณะมองเถ้าแก่ร้านปิ้งย่างให้สัมภาษณ์ ผมกลับยิ้มอ่อน แล้วไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset