ศพ – ตอนที่ 401 โลกผีบนโลกมนุษย์

ตอนที่ 401 โลกผีบนโลกมนุษย์

คําพูดของมู่หลงเหยียนทําให้ผมได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับโลกผีในปัจจุบัน

เมื่อก่อนผมเข้าใจแค่ว่า โลกผีบนโลกมนุษย์ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าวิญญาณเร่ร่อนหรือไม่ก็พวกผีร้ายวิญญาณอาฆาต

แต่ต่อมาผมก็ได้พบว่า มันไม่ได้เป็นอย่างงั้น

ในบรรดาผี ยังมีวิญญาณที่ฝึกตนผีพวกนี้เป็นพวกที่ไม่สามารถลงไปในยมโลกหรือไม่ก็ยังไม่อยากลงไป

พวกเขามีความสามารถในการฝึกฝนกลายเป็นผีที่ฝึกบําเพ็ญตนบนโลก

ผีที่แข็งแกร่งอาจกลายเป็นแบบมู่หลงเหยียนหรือพวกบอสของสุสานต่างๆ ไม่ก็ผู้นําของหุบเขาบางแห่ง

แต่คืนนี้ผมได้เปิดโลกใหม่อีกครั้ง

ในโลกของผี ผีที่บําเพ็ญตนเป็นเหมือนกับพวกมนุษย์อย่างเราๆ พวกเขาเองก็มีระบบเป็นของตัวเอง

และยังมีการเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างพวกเขา

และฉายา “ขุนศึกทั้งห้า” นี้ก็เป็นหนึ่งในระบบเหล่านั้นและเป็นสิ่งที่บ่งบอกบารมีอีกด้วย

ม่หลงเหยียนบอกว่า เหตุผลที่ต้องมีฉายาแบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อทําให้ผีที่บําเพ็ญทุกฝ่ายมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

อยากแรกคือ บนโลกของผีต้องการผู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่สองก็คือ เอาไว้ปกป้องตัวเอง

เช่นผีร้ายบางตัว มักกินผีที่คล้ายกันหรือฝึกวิชาแบบเดียวกัน

ถ้ามีคนปราบสิ่งชั่วร้ายกําจัดให้ก็ว่าไปอย่าง แต่ลัทธิเต๋ในสมัยนี้เข้าสู่ยุคที่ตกต่า พวกเขาจึง ต้องคิดวิธีปกป้องตนเองขึ้นมา

ดังนั้นผีฝึกตนที่แข็งแกร่งจึงกลายเป็นที่พึ่ง ผีที่แข็งแกร่งพวกนี้ สามารถปกป้องพวกที่อ่อนแอ กว่าได้

บวกกับการกลับมาเคลื่อนไหวในช่วงหลายร้อยปีนี้ขององค์กรตาผี พวกมันพยายามค้นหาผู้ที่ ฝึกตนหรือวิญญาณที่แข็งแกร่ง ไปใช้เป็นหุ่นเชิด
เมื่อเป็นแบบนี้ ในโลกของผี ก็กราบไหว้ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

แต่น่าเสียดายปริมาณผีที่ฝึกตนได้มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนตกต่ําจนกลายมาเป็นผีเร่ร่อน

หลังจากเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้ว ตรงหน้าผมก็เหมือนได้เห็นโลกผีใบใหม่

แน่นอน หากย้อนกลับมา

คนเป็นสัตว์สังคม แม้จะตายแล้วก็ยังเป็นแบบนั้น แต่ขอแค่อยู่เป็นกลุ่ม ก็จะมีการแบ่งชนชั้น หรือสังคมเกิดขึ้น…..

แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสําคัญ สิ่งสําคัญคือตอนนี้มู่หลงเหยียน และพวกหุ่นเชิดที่หนีออกมา จากองค์กรตาผีได้ กําลังเริ่มติดต่อกับผีที่ฝึกตนทุกฝ่าย

ขอแค่สามารถรวมพลังกับผีพวกนี้ สู้กับองค์กรตาผีได้ พวกเธอก็จะมีชิปต่อรองมากกว่าเดิม

พอพูดมาถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็พูดลงรายละเอียดอีกหน่อย “การโจมตีสาขาองค์กรตาผี คราวนี้ นอกจากพวกเราที่หนีออกมาจากองค์กรตาผีได้แล้ว เรายังติดต่อกับพวกผีที่ฝึกตน หวังว่า จะได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา ! ดังนั้นก็เลยเชิญเย่เฟิงและหลี่ซ่มา”

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็เข้าใจเรื่องราวพอสมควร จึงพยักหน้า และพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “น้องศพ คราวนี้ที่ฉันมาก็เพราะมีเรื่องอยากจะมาพูดกับเธอพอดี !”

“โห มีเรื่องอะไรเหรอ ?” มู่หลงเหยียนพูดด้วยความสงสัย

“ยังจ่านักพรตสองคนในคืนนั้นได้ไหม ?”

“อ่อ จําได้ นักพรตทั้งสองท่านนั้นมีพลังสูงส่ง ยากจะเอื้อมถึง !” มู่หลงเหยียนยกย่องพวกเขา

“ใช่ พลังของผู้อาวุโสทั้งสองคนสูงมาก และต่อมาฉันยังไม่รู้ฐานะของพวกเขา หนึ่งในนั้นคือ ท่านหลงฉวนตัวจริงบุคคลลึกลับในโลกแห่งเต๋ เขาก็คือผู้ชายที่ค่อนข้างล่าบิกคนนั้น ส่วนอีกคน ชื่อว่าฉันเย่ ตอนนี้เราเดาว่าเขาเกี่ยวข้องกับสํานักไปชั่วกง และก็ไม่ได้ร้ายกาจน้อยไปกว่าท่าน หลงฉวนอีกด้วย……” ผมเล่าอย่างช้าๆ

พอมู่หลงเหยียนได้ยินคําว่าสํานักไปฮัวกง เธอก็อดทําหน้าตกใจออกมาเล็กน้อยไม่ได้ ใน ขณะเดียวกันก็พึมพําออกมาว่า สํานักไปฮัวกง ! นั้นมันบิ๊กบอสของจริงเลยนะ

ตอนนั้นผมได้ยินไม่ชัด เลยถามว่ามู่หลงเหยียนพูดอะไร

มู่หลงเหยียนกลับยิ้มอ่อน “ไม่มีอะไร ! นักพรตฉันที่นายพูดถึง แข็งแกร่งมากจริงๆนั่นแหละ ถึงจะไม่ได้ลงมืออะไรมากมาย แต่ตอนเขาใช้พลังรักษาอาการบาดเจ็บของนาย ฉันก็รู้ทันทีว่า เขาไม่ธรรมดา ! แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับสํานักไปฮัวกง”

ดูเหมือนมู่หลงเหยียนจะรู้จักเจ้าสํานักไปชั่วกงนพอสมควร แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่ พูดต่อ

“อ๋อ ใช่นักพรตฉันร้ายกาจมาก และก่อนเขาจะจากไป ยังบอกว่าจะไม่เก็บตัวแล้ว จะไปทําให้ องค์กรตาผีเห็นดีสักหน่อย”

พอมู่หลงเหยียนได้ยินแบบนั้น ก็ทําหน้าดีใจขึ้นมาทันที “จริงเหรอ ?”

“จริงซี นักพรตฉันพูดเองเลยนะ !”

จู่ๆมู่หลงเหยียนก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา “เยี่ยมไปเลย พลังของท่านนักพรตทั้งสองไม่อาจประเมินได้ ถ้าพวกเรายอมไปสู้กับองค์กรตาผีจริงๆ งั้นแผนแก้แค้นของพวกเรา ก็จะคืบหน้าไปก้าวใหญ่ๆ แล้ว”

พอเห็นมู่หลงเหยียนทําท่าทางดีใจ ตัวผมเองก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย

หลังม่หลงเหยียนดีใจเสร็จ เธอก็เริ่มพูดกับผมอีกครั้ง “ใช่แล้วเจ้ากาก ร่างกายนายเป็นยังไง บ้าง ?”

“อ่อ พอกลับถึงบ้านฉันก็กินยาหลงเฉียนเข้าไปหนึ่งเม็ด ตอนนี้เกือบหายเป็นปกติแล้ว” หลัง จากพูดจบ

ผมก็ทําท่าทางว่าตัวเองสบายดีสองสามท่า

มู่หลงเหยียนเห็นลมหายใจของผมคงที่ เปี่ยมไปด้วยพลัง เธอก็ค่อยๆพยักหน้า “ฟื้นตัวแล้วก็ ดี คราวนี้ที่ให้นายมาหา เพราะอยากคุยกับนายเรื่องน้ำลี่ลั่ว !”

พอได้ยินคําพูดนี้ ผมก็เข้าโหมดจริงจังในทันที “พอดีเลย ฉันเองก็อยากคุยเรื่องนี้กับเธอ ฉัน กะว่าจะไปที่เขาเขี้ยวหมาป่าในอีกสองสามวันข้างหน้า คืนนี้ที่มาหา ก็เพราะอยากมาหาเธอ….”

พอมู่หลงเหยียนได้ยินสิ่งที่ผมพูด ดวงตาของเธอก็สั่นไหว เหมือนจะตกใจเล็กน้อย หรือแม้ แต่ดูเขินเลยก็ว่าได้

พอเห็นมู่หลงเหยียนเป็นแบบนั้น ผมก็รีบพูดต่อทันที “ดูว่าเธอหายดีหรือยัง หลังจากนั้นยัง อยากรู้เรื่องสาขาย่อยขององค์กรตาผีนั่นเพิ่มอีกหน่อย”

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นมาหน่อย “อ่อ ! อ่อ ! ฉันไม่เป็นอะไร

พักไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว ส่วนสถานการณ์ของสาขาย่อยนั่น ฉันเองก็อยากเล่าให้นายฟังอย่างละ เอียด

“หลังจากวันนั้น การป้องกันของสาขาย่อยก็เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม อยากได้น้ำลี่ลั่ว คงยากขึ้นไม่ น้อย และพักนี้ฉันยังได้ยินมาว่า องค์กรตาผีอาจจะย้ายหินลี่ลั่วภายในช่วงนี้ ถ้าเราเอาน้ำลี่ลั่วมา ไม่ได้ในเร็วๆนี้ วันข้างหน้าก็คงหาโอกาสได้ยากยิ่งกว่ายากแล้ว…..”

มู่หลงเหยียนพูดออกมาช้าๆ แต่ผมกลับโบกมือ “ไม่เป็นไร เธอเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฉัน ฟัง แล้วฉันจะคิดหาวิธีเอาเจ้านั้นออกมา และจะลงมือเร็วๆนี้ ไม่ว่าจะยากขนาดไหน ฉันก็ต้อง ช่วยเธอเอาเจ้าสิ่งนั้นออกมาให้ได้……”

ผมพูดด้วยความเด็ดเดียวมาก และจริงจังมาก

แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น ท่าทีของมู่หลงเหยียนก็ยิ่งดูเคร่งเครียดหรือแม้แต่คิ้วคู่งานก็ขมวดกันแน่น

ผมเห็นเธอเป็นแบบนั้น เลยคิดว่าเธอคงกลัวว่าผมจะบาดเจ็บเป็นห่วงว่าผมจะตกอยู่ในอัน ตราย

แต่ผมกลับฉีกยิ้มแล้วพูดต่อ“น้องศพฉันดวงแข็งอีกอย่างครั้งนี้ก็ไปขโมยน้ำเองนิแค่ฉันไปขอยันต์ปิดลมหายใจมาจาหหยางเจ่วหรือนุ่ยเฉิงจังก็ได้แล้วน ถึงเวลานั้นก็แค่แอบเข้าไปในสาขาย่อยแล้วขโมยน้ำลี่ลั่วออกมาก็สิ้นเรื่อง”

“แต่ แต่มันอันตรายมากอันตรายมาก……”จู่ๆมู่หลงเหยียนก็หยุดพูดแล้วทําสีหน้าจริงจัง

ผมกลับหัวเราะเบาๆ “อันตราย ? ตั้งแต่ฉันเกิดมามีครั้งไหนไม่อันตรายบ้างละ ? ตอนนี้ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ?ในเมื่อน้ำนั้นสําคัญกับพวกเธอมากและก็มีแค่ฉันคนเดียวที่ทําได้ไม่ใช่เหรอ ?”

ผมเถียงกลับตรงๆ เหมือนม่หลงเหยียนยังอยากพูดอะไรออกมาอีกแต่พออ้าปากเธอกลับพูดไม่ออก

เพราะผมพูดถูกถ้าผีแอบเข้าไปขโมยเกรงว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้หินลีลัวก็คงโดนคนในสาขาย่อยเจอตัวแล้ว

ดังนั้นคนที่ไปในครั้งนี้ต้องเป็นมนุษย์สิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ
และในหมู่มนุษย์มู่หลงเหยียนยังเชื่อใจใครได้อีกละเธอก็มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นผมเลยกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดของมู่หลงเหยียนนอกจากผม เธอก็หาคนที่จะช่วยเธอไม่ได้แล้วและถ้าพลาดโอกาสนี้ไปมันก็คงยากมากที่พวกเธอจะได้น้ำลี่ลั่วมาครอง

ด้วยเหตุนี้ ตามระยะเวลาแล้วพวกเราไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว

และเจ้าน้ำนี่ก็สําคัญมากถ้าทําสําเร็จหากนําน้ำลี่ลั่วไปเพาะต้นหญ้าหยินจ่าวได้จริงๆ

แบบนั้นมู่หลงเหยียนและพวกหุ่นเชิดตัวอื่นที่หลบหนีออกมาจากองค์กรตาผีก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีหญ้าหยินจ่าวทําให้วิญญาณเสถียรแล้ววิญญาณแตกสลายอีกแล้ว

แบบนี้ พวกเขาก็จะมีเวลาหาที่มาวิญญาณของตัวเองกลับมายิ่งกว่าเดิมมีเวลาสู้กับองค์กรตาผีเพิ่มขึ้น

หรือแม้แต่กําจัดองค์กรตาผีให้สิ้นซาก

ไม่ว่าจะเพื่อพวกเขาหรือเพื่อกําจัดองค์กรตาผี

ในฐานะที่ผมเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายมันก็เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผมควรทํา

แม้ว่าจะต้องทิ้งทุกๆอย่างแค่เพียงใหมู่หลงเหยียนได้มีชีวิตต่อไปผมก็ยินดีเสี่ยงอันตราย

ไปขโมยน้ำลี่ลั่วให้เธอถ้าเป็นไปได้ผมอยากย้ายเจ้าหินลี่ลั่วอะไรนั้นกลับมาสักก้อน……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset