ศพ – ตอนที่ 405 ถามทาง

ตอนที่ 405 ถามทาง

ท่าทีที่เสี่ยวเหมยมีต่อผมและเหล่าเฟิงดูแย่สุดๆ แต่สําหรับจุ่ยเฉิงจิง เธอกลับดูสนิทมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดทางที่ผ่านมา ด้วยความพูดมากของนุ่ยเฉิงจัง ทั้งสองคนไม่เพียงสนิทกันมากขึ้นแต่ยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ฉียเจ๋งจึงยังชวนให้เสี่ยวเหมยไปเที่ยวเล่นที่มหาลัยเธออีกด้วย

ส่วนเสี่ยวเหมยของเรา ก็เริ่มรู้สึกสนใจสิ่งแปลกใหม่ที่ฉยเฉิงจึงพูดถึงแล้ว

เนื่องจากเสี่ยวเหมยเป็นจิ้งจอกน้อยในภูเขามาโดยตลอด เธอเองก็เพิ่งได้พลังแปลงกายเป็นมนุษย์มาเมื่อไม่กี่ปีนี้

สําหรับมนุษย์อย่างพวกเรา เธอมีความรู้น้อยมาก ส่วนใหญ่ก็มาจากการฟังผู้อาวุโสทั้งนั้น

ตอนนี้ได้มาเจอจุ่ยเฉิงจัง ดูเหมือนเธอจะโหยหาเรื่องราวของมนุษย์อย่างเราๆมาโดยตลอดดังนั้นเธอเลยตั้งตารอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ

แน่นอน เรื่องนี้มีเพียงแค่เธอกับฉัยเฉิงจิงเท่านั้น ผมและเหล่าเฟิงไม่ได้เข้าไปยุ่งเลยสักนิด

หากเราสองคนคุยกับเสี่ยวเหมย เสียวเหมยก็จะดึงหน้าใส่พวกเราสองคนทันทีราวกับพวกเราไปติดหนี้เธอเอาไว้สักห้าล้านงั้นแหละ

เพราะต้องรีบเดินทาง พวกเราเลยกินอะไรนิดๆหน่อยที่ต่าบล

หลังจากนั้นก็เริ่มถามทางไปเขาเขี้ยวหมาป่ากับเถ้าแก่ร้านอาหาร

เถ้าแก่ร้านอาหารเห็นพวกเราสะพายกระเป๋า แถมตอนนี้ยังถามทางไปเขาเขี้ยวหมาป่าเขาเลยอดถามขึ้นมาไม่ได้“พวกเธอ จะไปเขาเขี้ยวหมาป่ากันเหรอ ?”

“ครับ ! ใช่แล้ว พวกเราจะไปตั้งแคมป์ในนั้น !” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค

พอเถ้าแก่ร้านอาหารได้ยินแบบนั้น ก็ทําสีหน้าไม่ดีในทันที หรือแม้แต่เผยท่าทีแปลกใจออกมา

“น้องชาย ฟังฉันนะอย่าเข้าไปเลย พวกนายเปลี่ยนที่ตั้งแคมป์เถอะ ! ไป ไปที่นั้นไม่ได้เด็ดขาด……”

น้ําเสียงของเถ้าแก่ร้านอาหาร ดูจะหวาดกลัวเล็กน้อย

พอเห็นเถ้าแก่เป็นแบบนั้น เราก็คิดว่าเหมือนเขาจะรู้ไปอะไรมา

หลังจากผม เหล่าเฟิงและคนอื่นหันมามองหน้ากันแล้ว ก็จะได้ยินเสียงผมถามต่อ “เถ้าแก่ทําไมไปไม่ได้เด็ดขาดละ ?”

เถ้าแก่กวาดสายตามองรอบๆ หลังจากนั้นก็พูดกับผมต่อ “น้องชาย ฉันจะพูดกับนายตามตรงพวกเราที่นี่เห็นเขาเขี้ยวหมาป่าเป็นสถานที่ต้องห้าม หมอกพิษรุนแรงทําให้คนตายได้พอคนธรรมดาเดินเข้าไปจะไม่มีใครได้กลับออกมาอีก และฉันยังได้ยินคนเก็บสมุนไพรบนเขาพูดว่าในเขาเขี้ยวหมาป่ายังมีฝูงปีศาจกินคนอยู่ด้วย”

พอได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้

ในเขาเขี้ยวหมาป่า เป็นสาขาย่อยขององค์กรตาผี

มู่หลงเหยียนบอกว่า ที่นั้นเป็นฐานเลี้ยงศพขนาดใหญ่ ไม่เพียงมีศพ ทาสต่างๆยังมีพวกผีดิบอีกด้วย

คนธรรมดาเข้าไปก็ต้องไม่ได้ออกมาอยู่แล้วนี่คงเป็นปีศาจที่เถ้าแก่พูดถึงละมั้ง

ผมเห็นว่าไม่มีข้อมูลใหม่อะไรมาก เลยไม่คิดจะอยู่ต่อ

ผมโบกมือให้เถ้าแก่ “ขอบคุณมากครับเถ้าแก่ แต่ยังไงเราก็ต้องไปที่เขาเขี้ยวหมาป่า !”

ขณะพูด พวกเราก็กําลังหมุนตัวเดินออกจากร้าน
แต่เถ้าแก่คนนั้นกลับเรียกพวกเราอีกรอบ “ น้องชาย อย่าเพิ่งรู่วาม ที่ฉันพูดเป็นความจริงนะ

คนเก็บสมุนไพรของที่นี่หลายคนเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่าแล้วก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลยนะแถมที่นั้นยังมีหมอกเยอะมาก พอเข้าไปแล้วจะหลงทางง่ายมากเลยนะ”

“มีแค่คนเก็บสมุนไพรคนนั้นคนเดียว ที่เข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่า แล้วสุดท้ายก็ใช้ทางเขาเส้นเล็กๆเส้นนึงหนีออกมาได้ เขาบอกว่าเห็นปีศาจกินคนจํานวนมากในเขาเขี้ยวหมาป่าเลยนะมันเป็นเรื่องจริงนะ….”

เถ้าแก่พูดอย่างมีเหตุผล เขาแนะนําไม่ให้พวกเราเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่าอีกครั้ง

ผมไม่คิดจะคุยกับเถ้าแก่ร้านอาหารคนนี้ต่อแล้ว แต่พอได้ยินเขาพูดถึงทางบนเขาผมก็อดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้

มู่หลงเหยียนพูดเอาไว้อย่างชัดเจน สถานที่แห่งนั้นมีข้อจํากัดมากมาย และมีเวรยามเฝ้าอย่างแน่นหนา

ไม่อาจเข้าไปใกลได้ง่ายๆ

แต่เถ้าแก่ร้านอาหารคนนี้กลับพูดว่า มีคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่ง ใช้เส้นทางเดินเขาเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่าหรือแม้แต่เข้าไปใกล้ที่ราบในหุบเขาได้ และสุดท้ายยังออกมาได้ครบสามสิบสอง

นี่หมายความว่าอะไร มันหมายความว่าในเขาเขี้ยวหมาป่า มีเส้นทางเส้นหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักแม้แต่คนธรรมดาก็ยังสามารถใช้เส้นทางเส้นนี้เข้าไปใกลได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวแถมยังช่วยให้ออกมาได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย

ถ้าพวกเราหาเส้นทางนี้เจอ เราก็จะไม่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิมเหรอ

ผมเลิกคิ้ว พูดกับเถ้าแก่ตรงๆ “เถ้าแก่ บอกผมได้ไหม ว่าคนเก็บสมุนไพรคนนั้นอยู่ที่ไหนผมอยากไปหาเขาสักหน่อย”

“ไปหาเขา น้อยชาย นี่นายยังคิดจะเข้าไปอีกเหรอ ?” เถ้าแก่เตือนด้วยความหวังดีเขารู้สึกว่าตัวเองพูดเยอะขนาดนี้กลับเป็นแค่การเปลืองน้ําลายไปเปล่าๆ

ผมกลับฉีกยิ้ม “เถ้าแก่ นอกจากพวกเราจะมาแบ็คแพ็คเที่ยวแล้ว เราก็เป็นนักวิชาการด้านธรณีวิทยาและพฤกษศาสตร์ด้วย เขาเขี้ยวหมาป่า เป็นสถานที่ที่สําคัญกับพวกเรามาก”

ผมยังสร้างฐานะใหม่ขึ้นมาให้ตัวเอง เถ้าแก่เห็นพวกเราเองก็จริงจัง สุดท้ายเลยถอนหายใจออกมา

“คนเก็บสมุนไพรคนนั้นชื่อว่าลั่ว อยู่บ้านหลังเก่าท้ายถนน เขาชอบดื่มเหล้า พวกนายเอาเหล้าไปให้เขาสักสองขวดซิเขาน่าจะยอมบอกพวกนายอยู่ว่าต้องไปทางไหน !”

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดดีใจไม่ได้ หลังจากขอบคุณเถ้าแก่คนนั้นแล้ว พวกเราก็เดินออก จากร้านทันที

เพิ่งเดินออกมาจากร้าน เสี่ยวเหมยก็พูดกับผมว่า “มีฉันอยู่ ยังต้องหาทางเส้นนั้นอีกเหรอฮะ

ผมกลับเผยรอยยิ้มขมขื่น สถานที่ที่พวกเรากําลังจะไปเป็นถึงสาขาย่อยขององค์กรตาผี ดังนั้นระมัดระวังและรอบคอบเอาไว้ก่อนเป็นดี

ผมเลยพูดกับเธอว่า “เสี่ยวเหมย เวลาอยู่บนเขาเธอร้ายกาจมาก หรืออาจเห็นศัตรูจากที่ห่างไกลแต่องค์กรตาผีไม่เหมือนที่อื่นพวกเราระวังเอาไว้ก่อนดีที่สุดถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเราอาจได้จบเห่กันทั้งกลุ่ม

พอเสี่ยวเหมยได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็เค้นเสียงดัง “ซี” จากนั้นก็ไม่พูดกับผมอีก

ต่อจากนั้น พวกเราก็ซื้อเหล้าหมักสองขวดที่ร้านค้าข้างทาง หลังจากนั้นก็เดินตรงไปที่ปลายสุดของถนน

ตําบลเล็กๆแห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากตําบลชิงฉือของพวกเรา หรืออาจเล็กกว่าหน่อยด้วยซ้ํา

ผ่านไปไม่นานพวกเราก็เดินทางถึงท้ายถนน ในที่แห่งนี้พวกเราเห็นบ้านเก่าๆหลังหนึ่งจริงๆ

มันโทรมๆเก่าๆ มีเชือกแดงผูกเอาไว้

นี่เป็นสัญลักษณ์ของคนเก็บสมุนไพรแบบดั้งเดิม แต่ในปัจจุบัน แทบจะไม่มีใครมาผูกเชือกแดงที่หน้าประตูบ้านแล้ว

หลังจากมั่นใจว่าใช่ที่นี่ ผมและเหล่าเฟิงก็เดินเข้าไป ส่วนจี๋ยเฉิงจังกับเสี่ยวเหมยยืนรออยู่ข้างนอก

ผ่านไปไม่นานผมสองคนก็มาถึงหน้าประตูโทรมๆ ด้านในมีแสงไฟ และเสียงประกาศข่าว

ผมเคาะประตู “ก๊อกๆๆๆ”

“ใคร !” จู่ๆเสียงชายแก่คนหนึ่งก็ดังขึ้น

ผมยืนอยู่หน้าประตู ตอบกลับด้วยน้ําเสียงสุภาพ “สวัสดีครับลุงลั่ว พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค

จะมาถามอะไรลงหน่อยนะครับ”

“นักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค อะไรวะ ?” เสียงดังขึ้นอีกครั้ง

แต่เสียงเพิ่งเงียบลงไม่นาน ประตูก็เปิดออก

คนที่เปิดประตูเป็นคนแก่จมูกแดง ตัวผอมมาก ตาแดงทั้งสองข้าง ปากมีแต่กลิ่นเหล้า เห็นได้ ชัดว่าดื่มมาไม่น้อยแล้ว

“คุณคือคนเก็บสมุนไพรถั่วย หรือลงถั่วใช่ไหมครับ ? ” ผมถามอย่างสุภาพ

“อ๋อ ! ฉันเอง พวกนายจะมาซื้อสมุนไพรเหรอ หน้าหนาวแบบนี้ ไม่มีสมุนไพรให้ขาย….” ลุงล้วพูดแบบคนเมา

ผมกลับทําหน้าอึดอัดใจ เดิมที่คิดจะให้เข้าเป็นคนนําทางให้พวกเรา

แต่ตอนนี้ดูเหมือน จะได้แค่ถามทางเท่านั้นแล้ว

ดังนั้นผมเลยพูดต่อ “ลุงลั่ว พวกเราอยากถามทางจากลุง”

“ถามทาง ? ทางอะไร ? ฉันเก็บเงินนะ !” ขณะพูด ลุงถั่วยังกรอกเหล่าเข้าปาก

“ลุงดูนี่ซิพอจะได้ไหม ?” หลังจากพูดจบ ผมก็ยกขวดเหล้าขึ้น

พอตาแก่นี่เห็นเหล้า ก็ตาเป็นประกาย แล้วเอื้อมมือมาดึงออกไปทันที “ได้ได้ได้ นี่มันของดีได้แน่นอนอยู่แล้ว !”

พอเห็นตาแก่นี่รับปาก ผมก็ไม่พูดอ้อมค้อม “ลุงลั่ว พวกเราอยากรู้ว่า ทางเส้นไหนที่เข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่าได้…”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset