ศพ – ตอนที่ 407 สระเลือดและศพประหลาด

ตอนที่ 407 สระเลือดและศพประหลาด

นอกจากพลังหยินที่เข้มข้นแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

แต่หลังจากที่แหวกพุ่มไม้ออก พวกเราก็เห็นที่ราบใจกลางหุบเขา เราทุกคนอดไม่ได้ที่จะทําตาเบิกกว้าง

แสงของพระจันทร์ ทําให้เรามองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ที่ราบในเขาเขี้ยวหมาป่ามีสิ่งก่อสร้างแปลกๆอยู่จํานวนหนึ่ง

สิ่งก่อสร้างพวกนี้ถูกสร้างขึ้นให้เหมือนวิหาร มีไฟจุดอยู่ด้านใน

รอบๆยังมีสิ่งก่อสร้างที่หน้าตาคล้ายสระน้ํา ตรงมุมทั้งสี่ ยังมีคบเพลิงประดับเอาไว้อีกด้วยและตอนนี้ดูเหมือนจะมีคนกําลังใช้บางอย่างกวนสระน้ําอยู่

พลังหยินพวกนั้นก็แพร่ออกมาจากสระน้ํานั้น

ผมไม่เข้าใจ เลยทําหน้าสงสัย

แต่เหล่าเพิ่งที่อยู่ข้างๆกลับอดสูดหายใจเข้าไม่ได้ จากนั้นก็พูดด้วยความตกใจ “ คิดไม่ถึงว่าในเขา

เขี้ยวหมาป่า จะมีสระเลือดเยอะขนาดนี้ นี่มันใช้เลี้ยงผีร้ายได้เยอะเท่าไหร่กันเนี่ย !”

พอได้ยินเหล่าเพิ่งพูดออกมาถึงขนาดนั้น ในใจผมก็มีเสียงดัง “บิ๊ก”

“เหล่าเฟิง นายบอกว่านั่นคือสระเลือด ?” ผมพูดด้วยความตกใจและสงสัย

เหล่าเฟิงกลับพนักหน้าแรงๆ “ใช่ พวกนั้นคือสระเลือด มันเอาไว้ใช้ลี้ยงผีเลี้ยงศพเมื่อก่อนฉันกับอาจารย์ไปมาทั่วเราเคยเจอปีศาจบนเขาหรูอี้มันก็ทําสระแบบนี้แต่เล็กกว่าของที่นี่เยอะ !”

พอได้ยินเหล่าเฟิงพูดแบบนั้น ผมก็อดอึ้งไม่ได้ ในเวลาเดียวก็เปิดตาสวรรค์

ผลลัพธ์ผมก็เห็นสระพวกนั้น เป็นสระเลือดสีแดงฉานจริงๆ

แต่ก็รู้สึกสงสัยมาก สระเลือดเยอะขนาดนี้ พวกมันต้องใช้เลือดสดๆเยอะขนาดไหน

ในป่าที่รกร้างแบบนี้ และยังไม่มีโรงฆ่าสัตว์ พวกมันไปเอาเลือดสดๆเยอะขนาดนี้มาจากที่ไหน

ในขณะสงสัย ผมก็ถามออกมา “สระเลือดเยอะขนาดนี้ พวกมันไปเอาเลือดสดๆมาจากไหนกัน

แต่เสียงเพิ่งเงียบ นุ่ยเฉิงจึงกลับพูดต่อทันที “เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินผู้อาวุโสที่สํานักบอกว่า สระเลือดแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกน่าจะเป็นอย่างที่นายคิดในสระเป็นเลือด สดๆล้วนๆ”

“แต่ก็ยังมีอีกประเภท มันถูกเรียกว่าบ่อย้อมเลือด และตรงหน้าของพวกเราน่าจะเป็นประเภทนี้

“บ่อย้อมเลือด มันคืออะไรเหรอ ?” ผมรู้ความลับบางอย่างในวงการ ไม่เยอะเท่าเหล่าเฟิงและเฉิงจิง ตอนนี้เลยอยากรู้ขึ้นมา

ในฐานะศิษย์ของสํานักเหมาชาน อุ่ยเฉิงจึงได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจ่า

สําหรับความรู้ด้านนี้ ผมเทียบเธอไม่ได้เลยสักนิด

ในเวลานี้พอได้ยินผมถามแบบนั้น เธอก็ลดเสียงลงต่า “ บ่อย้อมเลือดที่ว่า ที่จริงก็คือบ่อที่ใช้สําหรับบูชา

เดิมทีพวกนั้นเป็นน้ําใสๆ แต่พอทําพิธีบูชาด้วยคาถาพิเศษ เอาคนเป็นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจํานวนหนึ่งลงไปจมน้ําตายในนั้น ๆ

“ความอาฆาตของคนตายก็จะไม่กระจายออกไปไหน อยู่ได้แค่ในบ่อน้ําแห่งนั้น น้ําใสๆพวกนั้นก็จะถูกย้อมไปด้วยเลือดที่ปนไปด้วยความแค้นของคนพวกนั้น แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นสีเลือดสดๆ หรือแม้แต่มีกลิ่นคาวเลือดออกมาเหมือนสระเลือดจริงๆไม่มีผิดสระเลือดประเภทแรกจะใช้เลี้ยงศพ ส่วนสระเลือดประเภทสองหรือบ่อย่อมเลือดปกติจะใช้เลี้ยงผี”

หลังฟังนุ่ยเฉิงจึงพูดจบ ความสงสัยในใจของผมก็จางหายไป

สระเลือดเยอะขนาดนี้ น่าจะเป็นบ่อย้อมเลือดอย่างที่ฉัยเฉิงจึงพูด สระน้ําพวกนั้นมีเลือดที่ปล่อยไออาฆาต……

และเสียงของฉยเฉิงจึงเพิ่งเงียบลงไม่นาน เสี่ยวเหมยเจ้าจิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างๆกลับพูดขึ้นมา

“เราจะลงมือกันคืนนี้เลยไหม ?”

พอได้ยินเสียวเหมยพูด ผมก็ก้มมองดูเวลา พบว่าตอนนี้ตีหนึ่งกว่าแล้วเลยถอนหายใจออกมา

ตอนนี้เลยเวลาแล้ว พวกเราพลาดเวลาที่จะแอบเข้าไปได้ดีที่สุดไปแล้ว

ฐานองค์กรตาผีในหุบเขา ต้องมีการคุ้มกันแน่นหนาขึ้นกว่าเดิมแน่ เข้าไปตอนนี้อันตรายเกินไป

ด้วยเหตุนี้ เราเลยต้องนอนบนเขาหนึ่งคืน รอให้ถึงคืนพรุ่งนี้แล้วค่อยลงมืออีกที

ดังนั้นผมเลยพูดกับจิ้งจอกน้อยว่า “เลยเวลามาแล้ว พวกเราพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแอบเข้าไปมาแล้ว”

“ เพื่อความปลอดภัย พวกเราจะออกไปซุ่มอยู่ข้างนอกหนึ่งวัน รอให้ถึงคืนพรุ่งนี้ รอให้ถึงตอนที่พวกผี

ทาส หรือศพอะไรพวกนั้น ออกมารวมตัวสูบพลังสุริยันและจันทราแล้ว พวกเราค่อยแอบเข้าไป !

หลังฟังผมพูดจบ เสี่ยวเหมยก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แอบซ่อนตัวและมองสังเกตอยู่อีกทางด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ

ถึงวันนี้จะเข้าไปไม่ได้ แต่ก็ได้ข้อมูลใหม่ไม่น้อย เราถือโอกาสแอบสํารวจรอบๆจะได้วางแผนขาออกอย่างละเอียด เพื่อพรุ่งนี้ได้แอบเข้าไป

ต่อจากนั้น พวกเราก็เริ่มเดินออกไปนอกใจกลางหุบเขา ขณะเดียวกันก็สังเกตฐานองค์กรตาผีไม่หยุด

และพยายามจดจํารายละเอียดทุกอย่าง

แต่เพิ่งสังเกตได้ไม่นาน จู่ๆเสี่ยวเหมยก็ได้กลิ่นบางอย่าง เธอเลยรีบพูดขึ้นมาทันที “กลิ่นศพมีบางอย่างกําลังเข้ามาใกล้พวกเรา !”

พอได้ยินค่าพูดนี้ พวกเราทุกคนก็ตกใจ ไม่กล้าลีลาอีกต่อไป

รีบบอกให้ฉียเจ๋งจึงเอายันต์ปิดลมหายใจมาแปะพวกเรา และใช้พลังของพวกเรา กดพลังหยางให้ต่ําที่สุด หายใจช้าๆ และระวังเผื่อมีการแอบซุ่มโจมตีในพุ่มไม้

พวกเราเพิ่งซ่อนตัวได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

พวกเราใช้ช่องว่างระหว่างพุ่มไม้ เห็นเงาดําท็ นหนึ่งเงากําลังเข้ามาทางพวกเราเรื่อยๆ

ในเวลาเดียวกัน ในอากาศก็มีกลิ่นเน่าเหม็นของศพลอยฉุนขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายคน ก็เข้ามาใกล้ที่ที่พวกเราซ่อนตัวอยู่

เจ้าสิ่งนั้นมีรูปร่างเหมือนคน แต่ทั้งมือและเท้ากลับมีเล็บยาวคมกริบ ปากใหญ่มาก มีเขียวออกมาจากริมฝีปาก ดวงตาขาวโพน ขยับจมูกไม่หยุด มันเหมือนศพเดินได้ไม่มีผิด

ผมไม่เคยเห็นของประเภทนี้มาก่อน แต่มันเดาไม่ยาก น่าจะเป็นผีดิบที่พวกองค์กรตาผีสร้างขึ้นมา

เรื่องนี้ หมู่หลงเหยียนเคยบอกผมแล้วที่จวนมู่หลง

เพื่อให้ได้ความเป็นอมตะองค์กรตาผีก็ทําการทดลองลับไม่หยุด

แต่พวกมันเป็นวิชามารที่ประหลาดมากทั้งนั้นสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่เลี้ยงศพ นอกจากผีดิบ แล้ว ยังมีพวกที่ล้มเหลวในการทดลอง หรือผีดิบและทาสผีที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการสังเวยพิเศษ

แม้จะเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่พอได้มาเห็นผีดิบประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก ผมก็อดไม่ได้ที่จะตื่นกลัว

มือข้างหนึ่งจับที่ดาบไม้ หากเจ้าตัวนี้เข้ามาใกล้พุ่มไม้ที่พวกเราซ่อนตัวอยู่ ผมก็จะดึงดาบออกมาแทงมันทันที

นอกจากผม เหล่าเฟิง จี่ยเฉิงจิงและเจ้าจิ้งจอกน้อยก็เป็นแบบนี้

เจ้าจิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวออกมา มือทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าของจิ้งจอก

เจ้าผีดิบนั้น ยืนอยู่ห่างจากพวกเราประมาณสองเมตร หัวมันหนุมมองรอบๆไม่หยุด “ฮิฮิฮิจมูกขยับดมกลิ่นอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนกดดันมากจ้องเจ้านี่ตาไม่กระพริบ

โชคดีที่ยันต์ปิดลมหายใจร้ายกาจ เจ้าผีดิบตัวนั้นไม่รู้ว่ามีพวกเราอยู่ตรงนี้

มันอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งนาที จากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า ออกไปจากบริเวณนี้

หลังจากผีดิบออกไปไกลแล้ว ทุกคนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ฉยเฉิงจึงพูดด้วยความดีใจ “ แม่เจ้า ! นั่นคือผีดิบที่องค์กรตาผีสร้างขึ้นมาเหรอ ? น่าตื่นตาตื่นใจมาก

มันเหมือนซอมบี้ในเกมเรซิเดนต์อีวิลไม่มีผิด !”

ขณะมองใบหน้าที่ตื่นเต้นของเธอ หน้าผมก็อดกระตุกขึ้นมาสองสามครั้งไม่ได้

ยัยนี่ เมื่อกี้อันตรายขนาดนั้น แต่เธอกลับรู้สึกตื่นเต้นเนี่ยนะ

ไม่รอให้ผมได้พูดอีกรอบ เหล่าเฟิงที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้านี่เป็นศพไม่ใช่ผีดิบ นาจะเป็นหนึ่งในศพเดินได้ของศพ 18 ชนิด ถึงจะไม่หนังทองแดงและกระดูกเหล็กเหมือนผีดิบและมีพละกําลังมหาศาลหลายเท่า แต่มันก็มีพิษศพถ้าบาดเจ็บเพราะมันก็อันตรายมากเช่นกัน !”

พอได้ยินเหล่าเฟิงพูดแบบนั้น ทุกคนก็พยักหน้าเล็กน้อย ไม่กล้าประมาท

ต่อจากนั้น พวกเราไม่คิดจะซ่อนอยู่ที่นี่อีก เราเริ่มเดินออกไปสํารวจทางอื่นอย่างระมัดระวัง

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงกองหินแห่งหนึ่ง

ผ่านช่องว่างของก้อนหิน เราเริ่มจับตามองการเคลื่อนไหวในหุบเขาอย่างใกล้ชิด

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ นอกจากสาวกองค์กรตาผีกําลังสร้างผีร้าย และสร้างผีดิบแล้วผมยังเห็นผีเร่ร่อนอีกจํานวนมาก

ผีเร่ร่อนพวกนี้เหมือนรูปปั้น และเสียสติไปแล้ว ในเวลานี้กําลังโดนสาวกองค์กรตาผีพวกนั้นผลักลงไปในสระเลือดตนแล้วตนเล่า

ผีเร่ร่อนพวกนั้นเพิ่งลงไปในสระเลือด มือจํานวนนับไม่ถ้วนในสระเลือดก็ดึงร่างพวกมันลงไปค่อยๆจมลงไปเรื่อยๆ น่าสยองสุดๆ

ส่วนสาวกองค์กรตาผีที่อยู่นอกสระเลือด กลับเอาไม้มากวนไม่หยุด ท่าทางเหมือนกําลังต้มซุป……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset