ศพ – ตอนที่ 41 คนกับผีต่างกัน

เมื่อคุณหนูเหวินได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ เธอก็ตกตะลึงในทันที

จากนั้นเธอก็มองอาจารย์ของผมด้วยท่าทางที่สงสัย “ท่าน ท่านนักพรต จะให้ฉันไปเองงั้นเหรอ”

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ คุณต้องไปเอง กลุ่มของพวกเรา มีความสามารถคือกำจัดสิ่งชั่วร้าย และจะกลับทั้งๆที่ยังทำงานไม่สำเร็จไม่ได้”

“แต่ดูเหมือนอารอง จะไม่มีหมอผีที่ใช้วิชาชั่วร้ายนะคะ ถ้าฉันลงมือ แล้วบาปกรรม จะไม่เข้าตัวฉันเหรอคะ แม้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่กรรมที่ก่อก็ยากจะตัดได้นะคะ……”

เนื่องจากเมื่อกี้อาจารย์พูดออกมาเพียงประโยคสั้นๆ จึงมีความหมายว่าความสามารถไม่เพียงพออยู่นิดหน่อย

 

แต่มันก็เป็นแบบนี้จริงๆ ในสายงานของพวกเรา ถ้าพูดถึงเรื่องบาปกรรม ทุกคนต่างก็เชื่อกันทั้งนั้น

เพราะพวกเรารู้ว่า “บาปกรรม” แม้มันจะดูเหมือนธาตุอากาศ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีอยู่จริงๆ

ถ้าทำ “บาป” แล้ว ยังไง “กรรม” ก็ต้องคืนสนอง

แต่ถ้ากำจัดสิ่งชั่วร้าย มันกลับไม่มีอะไรเลยสักนิด เพราะนี้คือการทำบุญ ไม่เพียงไม่เป็นอะไร กลับกันเรายังได้ทำความดีอีกด้วย

แต่สำหรับคนแล้ว โดยเฉพาะคนธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ในศีลในธรรม พวกเราเองก็ไม่กล้าแตะต้องจริงๆ

เพราะพวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย ไม่มีอำนาจไปจบชีวิตของคนๆหนึ่งได้

ถึงแม้ว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่เลวขนาดไหน หรือเป็นฆาตกรฆ่าคนอย่างไม่กระพริบตาก็ตาม

 

แน่นอนว่า ถ้าคนๆนี้และพวกเรา ต่างรู้วิชาเต๋า เป็นหมอผีคนหนึ่ง สถานการณ์ก็อาจต่างออกไป

เมื่อคุณหนูเหวินได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ เธอก็ยืนอึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มลงมองตัวเอง “ได้ค่ะ! แต่ฉันมีเรื่องจะขออย่างหนึ่ง อยากให้ท่านนักพรตรับปาก!”

“คุณหนูเหวินเชิญพูดได้เลยครับ!” นักพรตตู๋พูดออกมาเบาๆ

“ฉัน ฉันอยากไปเจอพ่อแม่อีกครั้ง ฉันตาย ฉันตายแบบกระทันหัน ยังไม่มีโอกาสได้บอกลาพวกท่านเลย ดังนั้น……”

คุณหนูเหวินพึ่งพูดมาถึงจุดนี้ นักพรตตู๋และอาจารย์ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ได้!”

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ท่าทางที่แสดงออกมายังจริงจังและเคร่งขรึมมาก ไม่เหลือที่ให้เจรจาต่อเลยสักนิด

คนและผีต่างมีทางเดินที่ต่างกัน ชีวิตของคน อยู่ก็คืออยู่ ตายก็คือตาย

 

ชีวิตและความตาย ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันได้อีก

นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเรากำหนด แต่นี่เป็นกฎที่บรรพบุรุษของพวกเราเป็นคนถ่ายทอดสืบต่อกันมา และเป็นกฎตั้งแต่โบราณของชีวิตและความตาย แม้จะเป็นพวกเราก็ไม่มีความสามารถไปเปลี่ยนมัน และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงมันด้วย

 

เมื่อคุณหนูเหวินเห็นอาจารย์และนักพรตตู๋ปฏิเสธ ทันใดนั้นเธอก็เผยสีหน้าเศร้าโศกออกมาทันที “ทำไม ลองคิดดูหน่อยได้ไหมคะ ฉัน ฉันคิดถึงพวกเขามากจริงๆ ขอพูดแค่สักสองสามประโยคก็ยังดี……”

คุณหนูเหวินรู้สึกเศร้ามาก เจ็บปวดมาก ขณะที่พูด เธอยังร้องไห้ไปด้วย

 

เมื่อผมเห็นเธอเป็นแบบนี้ จึงพูดกับคุณหนูเหวินว่า “คุณหนูเหวินครับ คนกับผีต่างกัน ตัวคุณได้ตายไปแล้ว ถ้าคุณอยากพูดอะไรกับพ่อแม่ คุณบอกพวกเรามาก็ได้ครับ พวกเราจะช่วยบอกให้พวกท่านทราบเอง แต่พวกคุณ ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันได้อีกครับ……”

 

การที่ผมทำแบบนี้ จริงๆแล้วมันเป็นการสร้างทางลัดขึ้นมา

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นคุณหนูเหวินเสียใจขนาดนั้น ผมจะไม่ยอมทำเรื่องนี้เด็ดขาด

ส่วนทางด้านอาจารย์และนักพรตตู๋ กลับไม่ได้พูดอะไร คงแปลว่าอนุญาตแหละมั้ง

แม้ว่าคุณหนูเหวินจะอยากคุยกับพ่อแม่แบบซึ่งๆหน้าอีกสักหน่อย แต่นี่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

สุดท้ายเธอจึงพยักหน้า ตกลง

 

เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

ผีชั่วได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นการอยู่ที่นี่ต่อไป จึงไม่มีความหมายใดๆอีก

ทุกคนจึงตัดสินใจกลับที่พัก แต่ก่อนอื่นต้องกลับไปที่งานศพ

ระหว่างทาง คุณหนูเหวินก็นำคำพูดที่อยากบอกกับพ่อแม่ มาพูดให้ผมฟัง

พวกมันล้วนเกี่ยวกับการดูแล และเป็นคำพูดตำหนิตัวเอง

ประมาณว่าเป็นลูกอกตัญญู ชอบทำให้พวกเขาโกรธ ไม่เชื่อฟังคำพูดของพวกเขา

ที่จริงมันเป็นคำพูดที่ธรรมดามากๆ แต่หลังจากตายแล้ว คุณหนูเหวินกลับพึ่งคิดได้

ที่จริงการอยู่ร่วมกับครอบครัว เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

 

เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบ คุณหนูเหวินกลับดูเศร้าหนักกว่าเดิม เธอไม่พูดอะไรเดินตามพวกเรามาอย่างล่องลอย

เมื่อถึงงานศพ ก็เป็นเวลาเกือบเช้าแล้ว

คุณหนูเหวินมองบ้านของตัวเองที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่จัดงานศพ มองรูปถ่ายที่น่ารักของตัวเองได้เปลี่ยนเป็นสีขาวดำ จากนั้นเธอก็กลับมาทำหน้าร้องไห้อีกครั้ง

 

ตัวเธอคุกเข่าลงร้องไห้บนโลงศพของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเศร้ามาก

ช่วงวัยที่กำลังงดงาม กลับต้องมาตายอย่างกระทันหัน เรื่องแบบนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรับได้

เมื่ออาจารย์และนักพรตตู๋เห็นงานศพไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น พวกเขาจึงกลับไปพักผ่อน

 

ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหานต้องผลัดเวรกันพักผ่อนและเฝ้าศพ จนกระทั่งถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พ่อแม่ของคุณหนู

เหวินก็รีบเข้ามาที่งานศพ

รอบๆดวงตาของทั้งสองคนดำมาก และบวมเล็กน้อย เหมือนเมื่อคืนพวกเขาจะร้องไห้กันอีกแล้ว

แต่พวกเขาพึ่งปรากฎตัว จู่ๆในบ้านก็มีลมเย็นพัดเข้ามา

“ฟู่” พัดเข้ามาตรงๆ นั้นก็คือคุณหนูเหวินนั้นเอง

อาจเป็นสิ่งลี้ลับ ดังนั้นคุณเหวินและภรรยาจึงรู้สึกสงสัย พวกเขาหยุดเดินและหันไปมองรอบๆทันที

แต่ในสายตาของพวกเขา นอกจากงานศพแล้วก็มีเพียงพวกเราเท่านั้น

ผมใช้น้ำตาวัวทาลงบนเปลือกตา เปิดตาสวรรค์ จากนั้นก็ค่อยๆเดินไปหาคุณเหวินและภรรยา

 

ตอนนี้ผมเห็นสีหน้าของคุณหนูเหวินทั้งตื่นเต้นและเศร้าสร้อย เธอตะโกนเรียก “พ่อ แม่” อย่างต่อเนื่อง มือทั้งสองข้างยังโอบกอดคุณเหวินและภรรยาเอาไว้

 

แต่คนกับผีนั้นต่างกัน ตอนนั้นพวกเขาจึงไม่รู้อะไรเลยสักนิด

ทุกครั้งที่คุณหนูเหวินใช้มือหรือร่างกาย พวกมันจะทะลุตัวของทั้งสองคนทันที

คุณเหวินและภรรยาเห็นผมเดินเข้ามา เขาจึงพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่สุภาพมาก “ท่านนักพรตติง!”

ผมยิ้มให้กับพวกเขาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับทั้งสองคนว่า “คุณเหวิน คุณนาย ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่เมื่อวานคุณหนูเหวินให้ผมนำคำพูดมาบอกกับพวกคุณ!”

 

ผมพูดแบบอ้อมๆ แต่เสียงพึ่งจางหาย “พรึบ” แต่สีหน้าของทั้งสองคนกลับเปลี่ยนไปทันที เขาเผยสีหน้าที่ตกใจออกมา

ทั้งสองคนยังยืนอึ้งไปประมาณ 2 วินาที จากนั้นผมก็เห็นคุณนายเหวินหายใจอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง “ท่าน ท่านอาจารย์ติง คุณเห็นลูกสาวของฉันเหรอคะ”

“เธอ เธออยู่ไหน เธอสบายดีไหม ยังมีความปรารถนาก่อนตายอยู่ไหมคะ คุณ คุณบอกฉันมาเถอะ ฉันจะทำให้เยี่ยนเยี่ยนสมหวังค่ะ!”

“ใช่แล้วครับท่านอาจารย์ติง เยี่ยนเยี่ยนของเราพูดอะไรครับ เยี่ยนเยี่ยนของเราสบายดีไหมครับ”

 

คุณเหวินและภรรยาตื่นเต้นเกินไป พวกเขาเข้ามาจับที่แขนเสื้อของผมทันที

เมื่อคุณหนูเหวินเห็น เธอก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ปากยังตะโกนไม่ยอมหยุด “พ่อแม่ หนูอยู่นี่ หนูอยู่ตรงนี้!”

ผมมองคุณเหวินและภรรยาแล้วพูดว่า “เอ่อ! ใช่ครับ ผมเห็นคุณหนูเหวิน เธอให้ผมมาบอกกับพวกคุณว่า เธอคิดถึงพวกคุณมาก บอกให้พวกคุณรักษาสุขภาพมากๆ เมื่อก่อนเธอชอบทำให้พวกคุณโมโห ตอนนี้เธอสำนึกได้แล้วครับ……”

จากนั้น ผมก็พูดสิ่งที่คุณหนูเหวินเคยบอก เล่าให้คุณเหวินและภรรยาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

สำหรับเรื่องที่อารองทำให้คุณเหวินตายนั้น เป็นเรื่องหลังความตาย ผมจะพูดออกไปมันก็ยังไงอยู่

 

และอีกอย่างพวกเราเองก็ต้องจัดการเรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ทำให้พ่อแม่ของคุณหนูเหวินต้องเสียใจอีก บอกแค่ว่าเป็นเพราะรถชน บางทีนี้อาจทำให้พวกเขา “ลืม” มันไปได้เร็วๆ

ผมพึ่งพูดได้แค่ครึ่งเดียว คุณนายเหวินก็ร้องไห้ออกมาอย่างกับนักแสดง ส่วนอารมณ์ของคุณเหวินก็ซึ้งใจมากเช่นกัน

หลังจากผมพูดจบ ทั้งสองคนก็มายืนที่ด้านหน้าโลงศพ เผากระดาษเงินกระดาษทองให้คุณหนูเหวินอย่างไม่หยุดหย่อน

“เธอนี่มันเด็กโง่ พ่อแม่ด่าว่าเธอ ไม่ใช่เพราะโกรธ ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ แม้ว่าตอนนี้เธอจะจากไปแล้ว แต่ตั้งแต่เกิดจนตายเธอก็เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เสมอ ลูกรักของแม่……” คุณนายเหวินพูดไปร้องไห้ไป

 

แต่คุณเหวินกลับเผากระดาษได้แค่ครึ่งเดียว จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผม “ท่านนักพรตติง ผมเคยได้ยินมาว่า ตราบใดที่ยังไม่ถูกฝัง วิญญาณของคนตายก็จะไม่สงบ งั้นลูกสาวของผม ก็ยังไม่จากโลกนี้ไปใช่ไหมครับ คุณบอกมาต้องการเงินเท่าไหร่ ผมให้ได้หมด ได้หมดจริงๆ ขอแค่ผมได้พบเธอ ขอให้ผมพบเธอเถอะครับ……”

 

คุณเหวินเปลี่ยนมากระตือรือร้นมาก พูดเสียงดังมาก หลังจากพูดจบก็หันไปมองรอบๆ ดูเหมือนกำลังมองหาวิญญาณของคุณหนูเหวิน

แต่เขาไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วคุณหนูเหวินอยู่ที่หน้าอกของเขา ใช้มือทั้งสองข้างลูบที่แก้มของเขา และไม่ขยับตัวไปไหนเลยสักนิด……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset