ศพ – ตอนที่ 410 แอบเข้าไปในถ้ํา

ตอนที่ 410 แอบเข้าไปในถ้ํา

ตอนผมแตะยันต์ออกนิดนึง กลิ่นอายลมหายใจของคนเป็นก็ไหลออกมาจากตัวผมทันที

ในสถานะวิญญาณ ยามตีสองตัวนั้น มีสัมผัสไวต่อลมหายใจคนสุดๆ

พวกมันทําหน้าตกใจ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง

ผมมองผ่านระหว่างช่องว่างของพุ่มไม้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าพวกมันสัมผัสได้แล้ว

ผมไม่ลังเล รีบแปะยันต์กลับไป ปิดกลิ่นอายลมหายใจทันที

ผีสองตัวนั้นเป็นยาม เพิ่งรู้แค่ทิศทาง ไม่รอให้รู้ตําแหน่งที่แน่ชัด กลิ่นอายพวกนั้นก็หายไปแล้ 2 จึงทําให้พวกมันสงสัยขึ้นมาทันที

ยามตีสองตัวนั้นหันมามองหน้ากัน จากนั้นผมก็เห็นยามตัวหนึ่งตรงมาทางที่พวกเราซ่อนตัวอยู่

เมื่อเห็นภาพนี้ พวกเราก็ลอบยิ้มอย่างเยือกเย็น

ทุกอย่างเป็นตามที่เราวางแผนเอาไว้ เข้ามาก็ดี อีกเดี๋ยวเราจะทําให้แกวิญญาณแตกสลาย

ยามตัวนั้นเท้าลอยจากพื้น มันลอยมาทางที่พวกเราอยู่อย่างรวดเร็ว

ในมือของพวกเราทุกคนกําดาบไม้เอาไว้ ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เราก็จะลงมือฆ่ามันทันที

ส่วนทางด้านจิ้งจอกน้อยเสี่ยวเหมย เธอเตรียมตัวโจมตีอยู่ตรงทางเข้านานแล้ว

ขอแค่ทางเราลงมือ เจ้าจิ้งจอกน้อยก็จะลงมือทันที

ถึงเวลานั้นเราลงมือพร้อมกัน วินาทีเดียวกันนั้น ยามตีสองตัวนี้ก็ต้องตายอย่างแน่นอน

พอถึงตอนนั้น ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเรา

หลังจากนั้นพวกเราก็จะสามารถแอบเข้าไปในถ้ําโดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น และตามหาน้ําลี่ลั่ว เป้าหมายหลักของพวกเรา

ผมกลั้นหายใจ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดเอาไว้

ผ่านไปไม่นาน ยามผีชุดขาวตัวนั้นก็เข้ามาใกล้พุ่มไม้ที่พวกเราซ่อนตัวอยู่ และเริ่มเข้ามาให้วงล้อมของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ
สามเมตร สองเมตร หนึ่งเมตร

ในที่สุด ผีตัวนั้นก็มาอยู่ใจกลางวงล้อม

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็ไม่ลังเล รีบพูดออกมาเบาๆ “ลงมือ !”
เสียงเพิ่งเงียบลง “พรึบ” ผมก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้

เหล่าเฟิงและนุ่ยเฉิงจิงเองก็ไม่ลังเล พุ่งออกมาพร้อมดาบไม้ที่ชี้ไปที่ทาสผีชุดขาวตัวนั้น

ผีที่โดนพวกเราซุ่มโจมตี หน้าเปลี่ยนสีทันที

แต่ไม่รอให้มันได้ส่งเสียงออกมา ไม่รอให้มันได้ปล่อยพลังหยินออกมา ดาบไม่ในมือพวกเราก็พุ่งมาจากทั้งสามทิศ และแทงเข้าไปในตัวของมันแล้ว

พวกเราลงมือเร็วมาก บวกกับทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเราวางแผนเอาไว้ ทาสผีชุดขาวยังมีพลังในขั้นต่ํา

ผลเลยออกมาอย่างชัดเจนมาก หลังจากโดนแทงแล้ว ตัวมันก็ระเบิดกลายเป็นแสง วิญญาณแตกสลายในวินาทีนั้น

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง ในจังหวะที่พวกเราลงมือ จิ้งจอกน้อยที่กําลังเฝ้ายามอีกตัวหนึ่งอยู่ ก็ได้ยินเสียงผมพูดเบาๆ

ยามผีอีกตัวเพิ่งหวาดระแวง แต่มันก็สายไปแล้ว

ทันใดนั้นเสี่ยวเหมยที่เตรียมพร้อมนานแล้วก็กระโดดออกไป เธอกัดเข้าที่คอของทาสผีตัวนั้น

ดวงตาของเสียวเหมยเปล่งประกาย ทําปากดูดพลังวิญญาณทาสผีตัวนั้นหายไปทันที และเสียการควบคุมตัว

ต่อจากนั้นกรงเล็บอันแหลมคมของเสี่ยวเหมย ก็แทงเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายตรงๆ

ทาสผีชุดขาวตัวนี้ทนไม่ได้เลยสักนิด ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ระเบิดกลายเป็นแสง วิญญาณ แตกสลายทันที

เวลาที่พวกเราลงมือ จัดการยามผีทั้งสองตัว และวิญญาณแตกสลาย เป็นอะไรที่เร็วเว่อร์ ทั้งหมดผ่านไปแค่สองสามวินาทีเท่านั้น

หลังจากทั้งสองตัววิญญาณแตกสลายแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ลังเลหรือหยุดอยู่กับที่ เราเดินเข้าไปในถ้ําทันที

ภายในถ้ําหนาวเย็นผิดปกติ มันเต็มไปด้วยพลังหยินที่เข้มข้น

ในเวลาเดียวกัน ในตัวถ้ําก็มีตะเกียงน้ํามันตั้งเอาไว้ด้วย บางครั้งพวกมันก็ส่งเสียง “พรึบๆ” ออกมา

แต่เปลวไฟที่อยู่ด้านในตะเกียงน้ํามันกลับเป็นไฟสีเขียว มันส่องสว่างไปรอบๆ ทําให้บรรยากาศดูผิดแปลกมาก

พวกเรากลั้นหายใจ เดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็เข้ามาในห้องๆหนึ่ง ถือเป็นห้องหินที่ค่อนข้างใหญ่

แต่ในนี้กลับมีแต่โลง โลงพวกนี้ต่างเปิดอยู่ทั้งหมด หนึ่งในนั้นยังมีพลังชั่วร้ายเปื้อนอยู่ด้วย

ไม่ต้องบอกก็รู้ ส่วนใหญ่ต้องเป็นโลงของพวกผีดิบที่กําลังสูบพลังจากจันทราอยู่ข้างนอกแน่ๆ

พวกเรากวาดสายตามองรอบหนึ่ง หลังมั่นใจว่าที่นี่ไม่มีน้ําลี่ลั่วที่มู่หลงเหยียนบอก เราก็ เดินต่อไปข้างหน้า

แต่เดินต่อไปได้ไม่นาน เราก็เจอกับสาวกสองคนขององค์กรตาผี เราไม่กล้าประมาท รีบเข้าไปซ่อนตัวในห้องข้างๆทันที

“ พี่รอง ผมได้ยินท่านผู้นําให้ความสําคัญกับสาขาของพวกเรา แถมยังบอกว่าจะส่งผู้อาวุโสมาดูแลด้วย

ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงไหม” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น

ผู้ชายอีกคนก็พยักหน้าให้ทันที “จริง หลังจากท่านปรมาจารย์ปุยและท่านป้าสุดสวยบาดเจ็บ ท่านผู้นํากลัวว่ากบฏพวกนั้นจะมาสร้างความวุ่นวาย ก็เลยจะส่งท่านผู้เฒ่าสิบมาคอยดูแลระยะหนึ่ง”

“น้องชาย เจ้าวางใจเถอะ หลังจากองค์กรศักดิ์สิทธิ์ของเราครองโลก ทําลายพวกสํานักที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะหมดแล้ว นายกับฉันอาจได้เป็นผู้นําสาขากับเขาก็ได้ ถึงเวลานั้นเราก็จะไปไหนมาไหนอย่างอิสระ หรือแม้แต่มีชีวิตอมตะ……”

หมอผีทั้งสองคนคุยไปเดินไป

ผมกลับขมวดคิ้ว แล้วแอบบ่นในใจว่า ผู้เฒ่าสิบขององค์กรตาผีจะมางั้นเหรอ

นี่เป็นข้อมูลสําคัญ พอกลับไปแล้วผมต้องเอาไปบอกมู่หลงเหยียน

ผ่านไปไม่นาน ลูกศิษย์องค์กรตาผีสองคนนั้นก็ออกไป พวกเขาไปอยู่ตรงทางเดินอีกทางด้านหนึ่ง

เจ้าสองคนนี้เพิ่งออกไป พวกเราก็รีบวิ่งออกมา แล้วเริ่มเดินต่อไปยังส่วนลึกของถ้ําทันที

มู่หลงเหยียนคิดว่า น้ําลี่ลั่วน่าจะถูกซ่อนเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด เพราะมันเป็นสมบัติล้ําค่า

ดังนั้นพวกเราเลยเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินไปข้างหน้า อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ

และทางแยกก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ แถมเราเริ่มรู้สึกว่าการที่การที่จะเจอน้ําลี่ลั่วให้เจอในเวลาสั้นๆ

มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้นเราต้องเสี่ยงชีวิตจับสาวกคนหนึ่งมาถาม ไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางหาน้ําลี่ลั่วเจอในเวลาสั้นๆแน่ๆ

หลังจากวางแผนเสร็จแล้ว พวกเราก็เริ่มตามหาสาวกองค์กรตาผีในถ้ํา

แต่สาวกส่วนใหญ่ล้วนอยู่ข้างนอกซะส่วนใหญ่ ในเวลานี้อยากหาสาวก คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้

พวกเราเดินไปขวาที่ซ้ายที สุดท้ายก็ไปถึงถ้ําใต้ดินแห่งหนึ่งแบบมั่วๆ

โพรงถ้ําแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก แต่มันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

พอสัมผัสได้กับกลิ่นคาวเลือด พวกเราก็เดินเข้าไประยะหนึ่ง

แต่เพิ่งเข้ามาข้างใน ฉากแปลกประหลาดอย่างหนึ่งก็ทําให้พวกเราตะลึงในทันที

ใจกลางถ้ําแห่งนี้ มีสระเลือดสระหนึ่ง

และในสระเลือดสระนั้น กลับมีพืชที่ใหญ่ผิดปกติเติบโตอยู่ มันมีรากหนาตา หยั่งรากลงไปในบ่อเลือด เหมือนกับกําลังดูดเลือด รากพวกนั้นยังขยับได้

ไม่ใช่แค่นั้น ด้านบนของพืชชนิดนี้ ยังมีดอกตูม สีแดงอมม่วงที่ใหญ่มากอยู่ด้วยหนึ่งดอก

ดอกไม้นั่นใหญ่มาก สูงประมาณเมตรนึ่งเต็มๆ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือดอกอะไร

สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ รอบๆบ่อเลือดแห่งนั้น ยังมีรูปปั้นหินรูปสัตว์แปลกๆทําท่าเคารพอยู่สี่

“นี่ นี่คือดอกอะไร ทําไมมันใหญ่ขนาดนี้เนี่ย ?” ผมพูดด้วยความสงสัย

“ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่มันสวยดีนะ” นุ่ยเฉิงจึงพูดด้วยความตกใจ

“เหมือนมันจะมีชีวิตนะ” จิ้งจอกน้อยขมวดคิ้วแน่น พูดขึ้นเบาๆ “มีชีวิต” ที่เธอพูดถึง คือมีวิญญาณ หรือมีสติปัญญา

แต่ไม่รอให้พวกเราได้พูดต่อ เหล่าเพิ่งที่อยู่ข้างๆก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ น่าจะเป็นดอกไม้ปีศาจนะ

ไม่ว่ามันจะมีจิตวิญญาณไหม แต่เจ้าดอกไม้นี้เติบโตอยู่ในสระเลือด มันต้องไม่ใช่ของดีอะไรแน่ พวกนายดที่สระเลือดนั้นซิ กลิ่นคาวเลือดฉุนยิ่งกว่าอะไร แรงอาฆาตล้นหลาม รุนแรงยิ่งกว่าสระเลือดข้างนอกตั้งหลายเท่า ฉันว่านี่ต้องเป็นของที่พวกองค์กรตาผีสร้างขึ้นมาจากการทําร้ายคนแน่ๆ !

พอได้ยินเหล่าเฟิงพูดถึงขนาดนั้น ผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น

ในเมื่อนเป็นดอกไม้ปีศาจ และในเวลานี้พวกเรายังเข้ามาเห็นแล้ว ก็เข้าไปทําลายมันทิ้งซะไม่ดีเหรอ

คิดได้แบบนั้น ผมก็อยากจะเข้าไปทําลายมัน

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากข้างนอก และยังเข้ามาทางพวกเราเรื่อยๆอีกด้วย

พอได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที

“รีบหาที่ซ่อนเร็ว !” เสี่ยวเหมยรีบพูด

ตัวผมเองก็ไม่สนใจจะเข้าไปทําลายดอกไม้นั้นอีก รีบกวาดสายตามองรอบๆ แล้วสุดท้ายผมก็เห็นก้อนหินสองสามก้อนที่นูนออกมาอยู่ห่างออกไป จึงพูดกับทุกคนทันที “เราซ่อนตรงนั้นได้”

หลังจากพูดจบ พวกเราก็รีบวิ่งไปทางนั้น สุดท้ายพวกเราก็เบียดตัวอยู่หลังก้อนหินก้อนนั้น

พอทางเราซ่อนตัวเสร็จแล้ว เราก็เห็นคนประมาณเจ็ดแปดคนเดินเข้ามาในถ้ํา

ผมเหลือบมองออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวัง แต่ทันใดนั้นเองผมกลับพบว่า

หนึ่งในเจ็ดแปดคนนั้น คนที่เป็นผู้นํา ก็คือจางจีเทาที่เสียกายเนื้อไป

เขาเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ข้างๆขอบสระเลือด ในเวลานี้กําลังมองดอกตูมยักษ์ที่แปลกประหลาดดอกนั้นอย่างเงียบๆ….

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset