ศพ – ตอนที่ 413 จับตัว

ตอนที่ 413 จับตัว

พวกเราซ่อนอยู่ที่นี่มานานมาก ในที่สุดก็ได้ยินข้อมูลที่มีประโยชน์

แต่ฟังจากค่าพูดของพวกเขาที่ซ่อนหินลี่ลั่ว ดูท่าจะอยู่ที่ในชั้นสามของถ้ํานี้

และตําแหน่งของพวกเราในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นชั้นสอง

หรือพูดได้ว่า ของสิ่งนั้น อยู่ข้างใต้พวกเรา

แม้จะอยู่ที่อยู่เฉพาะแล้ว แต่เจ้าผอมดําก็พูดเอาไว้อย่างชัดเจน

หินลี่ลั่วนั้นได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา และเข้มงวด หากพวกเราคิดจะไปเอาหินลีลัวมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

หันกลับไปมองทางจางจีเทาอีกครั้ง หลังจากจางจีเทาพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปทันที

แต่เจ้าสมุนผอมดํานั่น กลับพูดกับจางจีเทาอีกรอบ “นายน้อย ถ้าท่านไม่วางใจ ข้าน้อยจะลงไปตรวจอีกรอบ ในเวลาเดียวกันก็จะเสริมการป้องกันให้มากกว่าเดิม”

พอจางจีเทาฟังจบ เขาก็พยักหน้าเบาๆ “แบบนั้นก็ดี ระวังเอาไว้ก่อนดีกว่า”

ขณะพูด จางจีเทาก็ไม่ได้สนใจเจ้าสมุนผอมดําคนนั้น เขาพาพวกที่เหลือ และวิญญาณพวกนั้นเดินออกไปจากที่นี่

เจ้าสมุนผอมดําทําตัวเป็นเต่าหดหัว “น้อมส่งนายน้อย……”

ขณะพูด เขายังฉีกยิ้มเอาใจอีกด้วย

แต่หลังจากจางจีเทาออกไปจากถ้ําจริงๆแล้ว เจ้าสมุนผอมดําคนนั้นกลับเปลี่ยนท่าทีทันที “ แม่งเอ้ย !

มันก็แค่ได้เป็นลูกบุญธรรมของเขา ! วันๆเอาแต่วางอ่านาจ นายน้อยแม่งถึงซิ ไปเป็นนายน้อยที่ร้าน

คาราโอเกะยังพอว่า รอให้กูได้เลื่อนตําแหน่งก่อนเถอะ จะทําให้ถึงได้เห็นดีแน่ ! รอให้กูสูบบุหรี่เสร็จมวลนี้ กูก็จะกลับไปนอนแล้ว ไม่ได้ตรวจกะผีนั่นหรอก”

หลังจากพูดจบ เจ้าสมุนผอมดําก็ทําหน้าไม่สบอารมณ์ หรือแม้แต่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟตามอําเภอใจ

ขณะมองเจ้าสมุนผอมด่าคนนั้น มุมปากของพวกเราก็อดยกยิ้มอย่างเย็นชาไม่ได้

เจ้าหมอนี่เปลี่ยนหน้าได้เร็วกว่าพลิกหน้าหนังสือซะอีก ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังก็อีกอย่าง

แต่คําพูดของเขากลับบอกข้อมูลให้พวกเราไม่น้อย จางจีเทาเป็นลูกบุญธรรมของใครสักคน ดังนั้นเลยโดยเรียกว่า “นายน้อย” แต่พ่อบุญธรรมของจางจีเทาคือใคร ถึงได้ทําให้พออยู่ต่อหน้าสาวกพวกนี้แล้ว

เขาถึงมีคําเรียกว่า “นายน้อย”

และก่อนหน้านี้ผมก็สงสัยว่า จางจีเทาเพิ่งเข้ามาในองค์กรตาผีได้ไม่นาน เป็นแค่สมาชิกใหม่คนหนึ่ง

แต่ทําไมถึงกลายเป็นหัวหน้าคนอื่นไปได้แล้ว

ตอนนี้ดูเหมือน เบื้องหลังของจางจีเทา จะมีอํานาจเยอะพอสมควร

ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ผมก็มีแผนในใจอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยากจะจับตัวศัตรูมาหาข้อมูลเหรอ เจ้าหมอนที่อยู่ตรงหน้า ก็เหมาะสมดีไม่ใช่เหรอ

ขอแค่จับเจ้าหมอนี้ได้ ไม่เพียงจะได้ล้วงข้อมูลของเจ้าจางเทา แต่เราจะได้รู้ที่ตั้งหินลี่ลั่วอย่างชัดเจน

หรือแม้แต่สามารถขู่เจ้าหมอน ให้มันพาพวกเราไปหาหินลี้ลัวได้อีกด้วย

พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ผมก็พูดกับพวกเพื่อนๆว่า “ตอนนี้เป็นโอกาสดี ขอแค่เราจับเจ้าหมอนี่ได้ เราก็จะได้รู้ตําแหน่งที่ชัดเจนของหินลี่ลั่ว ดังนั้น ชั้นต่อไปต้องรบกวนเสี่ยวเหมยแล้ว”

หลังจากพูดจบ ผมก็หันไปทางเสี่ยวเหมย

ภายใต้ความช่วยเหลือของยันต์ปิดลมหายใจ แม้แต่ผีก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายและไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของเสี่ยวเหมย

ให้เสี่ยวเหมยออกไปลอบโจมตีเจ้าหมอนั้น ผมว่ามันเหมาะสมที่สุดแล้ว

หลังฟังผมพูดจบ เสี่ยวเหมยก็ไม่ลังเลเลยสักนิด

เธอดึงหน้าลง เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นร่างดั้งเดิมของเธอ จิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง

เสี่ยวเหมยที่เปลี่ยนเป็นจิ้งจอกน้อยแล้ว มีการเคลื่อนไหวที่เร็วจนผิดปกติ หรือแม้แต่ไม่มีเสียงเลยสักนิด

ราวกับผีไม่มีผิด

เธอพุ่งออกไปจากตําแหน่งที่พวกเราซ่อนตัวอยู่ หลังจากนั้นก็ใช้เงามือที่อยู่ข้างๆ แอบเข้าไปใกล้เจ้าสมุนผอมดํา

เจ้าสมุนผอมดํากําลังสูบบุหรี่อยู่ ปากของมันบ่นพึมพําด้วยความโมโห ไม่รู้เลยสักนิดว่าเสี่ยวเหมยกําลังเข้าไปใกล้ตัวมันแล้ว

พวกเราทุกคนกลั้นหายใจ ลุ้นขอให้เสี่ยวเหมยจะทําสําเร็จ

ผ่านไปไม่นาน เสี่ยวเหมยก็มาปรากฏตัวที่เงามืดข้างหลังเจ้าสาวกชั่วแล้ว

เจ้าสาวกชั่วกําลังพ่นควันบุหรี่ออกมา จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ แม่งเอ้ย ! ถ้าไม่ได้เป็นเพราะชีวิตอมตะ

กก็ไม่เข้าร่วมองค์กรตาผีบ้าบออะไรนี่หรอก แต่ละวันต้องเอาแต่หมกตัวอยู่ในหุบเขาไกลบ้านไกลเมืองนี่

กูละอยากออกไปจริงๆ……”

เจ้าสาวกชั่วบ่นไป สูบบุหรี่ไป

ส่วนเสี่ยวเหมยที่อยู่ข้างหลังเขา ได้กลายร่างกลับเป็นคนอีกครั้งแล้ว เธอเผยกรงเล็บที่คมกริบออกมา

ค่อยๆเดินออกมาจากเงามืด

ในขณะที่เจ้าชั่วนั่นกําลังบ่น และจะสูบบุหรี่อีกครั้ง เสี่ยวเหมยก็ตวัดกรงเล็บไปข้างหน้า ตรงเข้าที่คอของเจ้าชั่วนั่น

ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวเหมยก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “อย่าขยับ ไม่อย่างงั้นฉันจะฆ่าแก !”

ระหว่างพด มืออีกข้างหนึ่งของเสียวเหมย ก็ตรงเข้าไปที่ร่างของเขา เธอสกัดจดพลังของเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจเล่นตุกติกได้

จู่ๆก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น ทําให้สาวกคนนั้นกลัวขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

พอเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็ดีใจกันทันที

เราไม่ต้องซ่อนอีกต่อไป รีบออกมาจากหลังหินก้อนนั้นทันที

ตอนสาวกคนนั้นเห็นพวกเราเดินออกมาจากข้างหลังหินที่อยู่ไม่ไกล เขาก็อดทําหน้าเครียดไม่ได้

เขาจะคิดได้ยังไง ว่าในตัวถ้ําแห่งนี้จะมีคนนอกอยู่ด้วย

“พวก พวกแกเป็นใคร ?” สาวกคนนั้นทําหน้าเครียด พูดอย่างคนติดอ่าง

ผมฉีกยิ้ม “ก่อนหน้านี้แกยังคิดจะมาลอบสังหารฉันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ?”

พอสาวกคนนั้นได้ยินคําพูดนี้ เขาก็ตกใจขึ้นมาทันที “หรือว่า หรือว่าแกก็คือ ก็คือติงฝาน ?”

“ใช่ตัวเป็นๆเลย” ผมยิ้มอ่อน พูดออกมาแบบสบายๆ แต่รอยยิ้มของผม กลับทําให้เจ้าสาวกนั้นรับรู้ได้ถึงอันตรายที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“พวกแกคิดจะทําอะไร ? ที่ ที่นี่เป็นของพวกเราทั้งหมด ถ้าพวกแกก่อความวุ่นวายขึ้นมา ก็อย่าคิดจะรอดออกไปได้สักคน !” ถึงเจ้าหมอนี่จะกลัวมาก แต่มันก็ข่มความกลัวเอาไว้แล้ว พยายามพูดถ้อยคําเหล่านั้นเพื่อขู่พวกเรา

ผมกลับทําหน้าไม่สบอารมณ์ “ถ้าพวกเรากลัว ก็คงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก ต่อไป เราถาม หรือบอกให้ทําอะไร แกก็ต้องทําแบบนั้น ไม่อย่างงั้นความตายได้มาอยู่ตรงหน้าแกแน่……”

พอพูดถึงประโยคสุดท้าย น้ําเสียงของผมก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาสุดๆ

สาวกคนนั้นเบิกตากว้าง เผยสีหน้าหวาดกลัว ภายใต้คําขู่เรื่องความเป็นความตาย เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมจํานน

“ได้ ได้ ขอแค่ ขอแค่ไม่ฆ่าฉัน จะให้ จะให้ฉันทําอะไรฉันก็จะทํา !” สาวกคนนั้นตอบกลับแบบติดอ่าง สุดท้ายยังฝืนยิ้มให้พวกเราอีกด้วย

“แบบนั้นก็เยี่ยม งั้นบอกมาก่อน พ่อบุญธรรมของจางจีเทาคือใคร ? แล้วเจ้าดอกไม้ปีศาจนี้คืออะไร ?”

“ นาย นายน้อย ไม่ พ่อบุญธรรมของจางจีเทาคือ คือผู้นําคนหนึ่งในองค์กรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา

หยางข่ายหลิน ส่วน ส่วนเรื่องดอกไม้ ข้าน้อยรู้ไม่เยอะ เคยได้ยินเขาพูดกันเท่านั้น เจ้าดอกไม้นี่เติบโตขึ้นมาจากราก

“ มันมีความสามารถพิเศษ หลังจากมันออกดอกแล้วจะสามารถช่วยให้วิญญาณกับกายเนื้อหลอมรวมกันได้สมบูรณ์ หรือ หรือแม้แต่มีข่าวลือว่าเจ้าดอกไม้นี้ยังสามารถรับรู้สภาพกายเนื้อเดิมของวิญญาณตนนั้น

แล้วสร้างขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด……” สาวกคนนี้หวาดกลัวและตื่นตกใจ เขารีบตอบคําถามผมทันที

หลังพวกเราฟังจบ ผมก็มั่นใจว่าตัวเองเดาถูกเบื้องหลังของเจ้าจางจีเทา เป็นคนใหญ่คนโตในองค์กรชั่วจริงๆ

สถานที่แห่งนี้เป็นแค่สาขาย่อย แต่พ่อบุญธรรมของจางจีเทากลับเป็นถึงผู้นําคนหนึ่งในองค์กร ถึงว่าทําไมถึงโดนเรียกว่านายน้อย

นอกจากนี้ เจ้าดอกไม้ปีศาจก็น่าพึ่งเช่นกัน มันสามารถสร้างกายเนื้อให้วิญญาณได้

แต่เจ้านี่ต่ําทรามเกินไป ต้องใช้มนุษย์เป็นอาหาร เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายของจริง

“แกเปิดวงเวทย์ได้ไหม ?” นุ่ยเฉิงจึงพูด

เจ้าหมอนั้นทําหน้าลําบากใจ “เรื่อง เรื่องนี้ฉันทําไม่ได้ รูปปั้นสัตว์ทั้งสี่ ต้องใช้คนสี่คนที่รู้คาถาถึงจะเปิดออกได้”

พอได้ยินค่าพูดของเจ้านี่ เราก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากกําจัดเจ้าดอกไม้ปีศาจนี้ทิ้งซะ ทําลายความคิดสร้างร่างใหม่ของเจ้าจางเทา

แต่เป้าหมายที่พวกเรามาที่นี่คือหินลั่ว ดังนั้นหลังจากถามอีกสองสามคําถาม ผมก็ถามอีกฝ่ายขึ้นมาอีกรอบ “โอเค ต่อไปพาพวกเราไปหาหินลี่ลั่ว !”

“หิน หินลี่ลั่ว…” เจ้าหมอนี่ดูใจสั่น ท่าทางเหมือนไม่อยากพาไป

ในขณะที่เขากําลังลังเล เหล่าเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยกแขนขึ้น ดึงดาบแทงเข้าไปที่ท้องของเจ้าหมอนั้น

ดาบเข้าไปไม่ลึก แต่มันก็เจ็บมาก

เจ้าหมอนั้นคิดจะร้องออกมา แต่ผมดันเอาดาบไม้อุดปากมันเอาไว้ มันเลยได้แต่ทําเสียง “ซื้อหอ” ออกมา

ในเวลาเดียวกัน ผมก็พูดกับเขาว่า “ทางที่ดีอย่าได้ลังเล ไม่อย่างนั้นแกจะมีแค่จุดจบเดียว”

เสียงเพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็ตวัดดาบในมืออีกพักหนึ่ง ทําให้เจ้าหมอนั้นรู้สึกเย็นวาบทันที

เขาพยักหน้ารัวๆ ไม่…อีกเลย

พอเหล่าเพิ่งเห็นแบบนั้น ก็เก็บดาบเข้าฝัก

เจ้าหมอนั้นรีบเอามือกดเอาไว้ที่ท้อง ทําหน้าทรมานออกมา “ได้ ได้ ขอแค่พวก พวกแกไม่ฆ่า ฉัน ฉันจะพาพวกแก ไปหาหินลี่ลั่ว !”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset