ศพ – ตอนที่ 414 ถ้ําชั้นที่สาม

ตอนที่ 414 ถ้ําชั้นที่สาม

เจ้าสาวกตัวผอมดํานั่นโดยเราขู่จนกลัวหัวหด ไม่มีใครสามารถทําตัวเย่อหยิ่งหรือเยือกเย็น เมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้าได้ทุกคน

สําหรับเจ้าหมอผีตรงหน้าคนนี้ เขาไม่อาจทําได้ยิ่งกว่าใคร ชีวิตเป็นสิ่งสําคัญสําหรับเขามาก

ตอนนี้เขาโดนเหล่าเพิ่งแทงไปแล้วหนึ่งครั้ง จึงรู้สึกได้ถึงลมหายใจแห่งความตาย ความรู้สึกหวาดกลัวแบบนั้นทําให้เขารับไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องยอมจํานน

พอได้ยินคําพูดของหมอผีชั่วคนนั้น ผมก็พยักหน้าให้เขาอย่างเย็นชา “ร่วมมือด้วยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน แต่แกอย่าได้ตุกติกเชียว ไม่อย่างงั้น…..”

พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็หยุดไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทําหน้าตาดุร้าย แล้วขู่เขาต่อ “ไม่อย่างงั้น แกได้ตายตรงหน้าพวกเราแน่ เข้าใจไหมฮะ ?”

พอเจ้าผอมดําคนนั้นได้ยินคําพูดของผม มันก็มองพวกเราที่กําลังทําหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ แล้วกลืนน้ําลายอย่างยากลําบาก จากนั้นก็รีบพยักหน้ารับทันที “ออออออ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

หลังจากพูดจบ เจ้าสาวกผอมดําคนนี้ยังฝืนยิ้มออกมา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนและอึดอัดน่า

พวกเราไม่ได้สนใจ ต่อจากนั้นก็ได้ยินจี่ยเฉิงจิงที่อยู่ด้านข้างพูดสั้นๆ “งั้นก็อย่ามัวพูดมากน่า ทางไปได้แล้ว !”

“ได้ ได้ ท่านนักพรตทุกท่าน เชิญ เชิญตามผม มาทางนี้” หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนี่ก็เริ่มนําทาง

ขณะเดียวกัน พวกเราเองก็เดินตามเจ้าหมอนี่ไปติดๆ
ไม่พูดไม่ได้ ถ้ําหินแห่งนี้สลับซับซ้อนมาก นอกจากโพรงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้ว ยังมีร่องรอยจากการเปิดทางของมนุษย์อีกด้วย

และชั้นที่สามของถ้ํานี้ หากคนธรรมดาเข้ามา ต้องมองไม่ออกแน่ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน

ภายใต้การนําของเจ้าผอมดํา เราเลี้ยวซ้ายแล้วก็เลี้ยวขวา ผ่านไปไม่นานเราก็มาถึงชั้นที่สาม

ระหว่างนั้นก็ไม่ได้เจอกับพวกสาวกคนอื่น และเห็นผียามเพียงไม่กี่ตัว

แต่ผีพวกนี้เป็นแค่ยามธรรมดาเท่านั้น ภายใต้การนําของเจ้าผอมดํา เราเดินผ่านสถานที่มียามผีพวกนี้เฝ้าได้อย่างง่ายดาย

ตอนพวกเรามาถึงชั้นสาม พวกเราสัมผัสได้ว่าชั้นนี้ไม่ธรรมดาเหมือนที่ผ่านๆมา

พลังหยินในนี้แรงมาก และในอากาศก็มีกลิ่นศพลอยคลัง

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ พวกเราพบว่า ภายในถ้ํามียามผีคอยเฝ้าหลายสิบตัว
เจ้าผีพวกนี้ลอยเข้าออกโพรงไปมา ดูเหมือนศพเดินได้ไม่มีผิด

แต่พวกเราสามารถตัดสินได้จากลมหายใจที่พวกมันแพร่ออกมา ยามผีพวกนี้ไม่ธรรมดา หรือจะพูดได้ว่าร้ายกาจมาก

ไม่ปะทะยังดีหน่อย ถ้าเกิดต้องสู้กันขึ้นมา พวกเราต้องโดนรุม จนหนีเอาตัวรอดยากแน่ๆ

หรือแม้แต่โดนทาสผีรุมตายอยู่ที่นี่ ไม่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้
นอกจากทาสผีแล้ว ในช่วงในสุดของถ้ํามีผีดิบที่ยืนนิ่งและหลับตาอยู่สองตน แต่ตัวของผีดิบสองตนนี้

กลับเต็มไปด้วยขนสีดํา

ผมอดไม่ได้ที่จะตกใจ ขนสีดํา นั่นก็หมายถึงผีดิบดํา ความชั่วร้ายที่ดํามืด

ผีดิบดําทั้งสองตน ไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด

เพียงแค่ตัวเดียว ก็สามารถฆ่าพวกเราทุกคนได้แล้ว

คิดไม่ถึงว่าสาขาย่อยแห่งนี้ จะสร้างผีดิบดําออกมาได้ด้วย

พวกมันยืนอยู่ภายใต้บรรยากาศไฟสีเขียวเข้ม สภาพน่าขนลุกขนพองสุดๆเลยละ

พลังหยินและยังมีกลิ่นศพเหม็นฉุนพวกนั้นถูกปล่อยออกมาจากตัวทาสผีและผีดิบทั้งนั้น

“ที่ ที่นี่ก็คือชั้นสามแล้ว หิน หินลี่ลั่วอยู่ห้องด้านในสุด” เจ้าผอมด่าพูดอย่างหวาดกลัว

“ดีมาก ! พาพวกเราเข้าไป ขอแค่พวกเราได้หินลี่ลั่ว และออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ฉันรับประกันได้เลยว่าจะไม่ฆ่าแก” ผมพูดเบาๆ

เป็นธรรมดาที่เจ้าสาวกนั้นจะรู้ว่าชีวิตของเขาอยู่ในกํามือของพวกเรา พลังของตัวเองโดนผนึก

เอาไว้

และตัวเขาก็มีพลังไม่สูงมาก

แต่พวกเรามีตั้งหลายคน แล้วเขาจะมีทางหนีได้งั้นเหรอ

ตอนนี้เลยได้แต่ทําตามที่พวกเราบอก ถ้าไม่ทําแบบนั้น ผลที่ตามมาก็ต้องเป็นความตายอย่างแน่นอน

เจ้าผอมด่ากลัวตาย และอ่านสถานการณ์ออกอย่างชัดเจน

ตอนนี้เลยไม่ลังเล รีบฝืนยิ้มให้พวกเรา แล้วพยักหน้ารัวๆ “ครับครับครับ ข้าน้อยเข้าใจ”

หลังจากพูดจบ เจ้าผอมดําก็หมุนตัว เดินตรงไปข้างหน้าทันที

เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด พวกเราจ้องเจ้าผอมดําด้วยความระแวงสุดๆ

ถ้าเขาขยับตัวผิดแปลกไปจากที่ควรแม้แต่น้อย พวกเราก็จะฆ่าเขาทันที

พวกเราเพิ่งเดินต่อได้ไม่กี่ก้าว เจ้าผอมดําคนนั้นก็ตะโกนไปในถ้ําว่า “หลีกทางให้หมด ข้าจะเข้าไปตรวจดูหินลี่ลั่ว !”

เสียงของเจ้าผอมดําฟังดูน่าเกรงขาม เสียงของเขาเพิ่งดังขึ้น ทาสผีที่ลอยเข้าออกไปมาพวกนั้น

ก็หยุดเคลื่อนไหวดื้อๆ

พวกมันไม่พูดจา และดูเหมือนจะรู้ว่าต้องทํายังไง แต่ละตัวรีบถอยออกไปสองข้างทางทันที

ในเวลาเดียวกันยังก้มหัว และไม่กระดุกกระดิกตัวเลยสักนิด

พอเจ้าผอมดําเห็นแบบนั้น ก็หันมาฝืนยิ้มให้พวกเราแบบน่าเกลียดสุดๆ จากนั้นก็พาพวกเราเดินต่อ

ที่จริงผมใจสั่นมาก เจ้าสาวกคนนี้ได้เป็นแค่ลูกกระจ๊อก เห็นได้ชัดว่ามีตําแหน่งอยู่ในสาขาย่อยแห่งนี้เหมือนกัน

ตัวถ้ําค่อนข้างยาว ประมาณ 40-50 เมตรได้ กว้างประมาณ 3-4 เมตร

การเดินในถ้ํามืดๆแบบนี้ รอบๆยังมีผีร้ายอีกหลายสิบตัว

ได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองตลอดเวลา ผ่านผีร้ายที่ก้มหัวให้ตัวแล้วตัวเล่า ความรู้สึกแบบนั้นมันน่าขนลุกสุดๆ

ผมตั้งสติตลอดเวลา กําดาบไม่ในมือแน่น บนหลังมีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาไม่หยุด ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย

สําหรับเหล่าเพิ่งและนุ่ยเฉิงจังแล้วยังมีจิ้งจอกน้อยเสี่ยวเหมย ก็ไม่ต่างอะไรจากผมมากนัก

ตอนนี้พวกเราเข้ามาในส่วนที่ลึกที่สุดของสาขาย่อยองค์กรตาผีแห่งเขาเขี้ยวหมาป่าแล้ว ถ้าในนี้เกิดเรื่องวุ่นขึ้นมา พวกเราออกไปไม่ได้จริงๆแน่

ทุกคนเครียดมาก แต่ก็ต้องกัดฟันเดินต่อไป
ถยาวห้าสิบเมตร กลับทําให้เรารู้สึกเหมือนต้องเดินถึงห้าร้อยเมตร หรือห้าพันเมตร

หลังจากผ่านทางที่พวกทาสผีหลายสิบตัวคอยเฝ้า มาจนถึงห้องที่อยู่ในสุดของถ้ําแล้ว

ผมก็ลดเสียงลมหายใจของตัวเองลง แม้ผีดิบดําจะไม่ได้ลืมตา แต่เจ้าสองตัวนี้ก็หายใจไม่หยุด

“ฮือ…ฮือ….”

เสียงดังมาก ในแต่ละครั้งเปรียบได้กับลมหายใจสุดท้าย

นี่ก็คือเสียงลมหายใจเฉพาะตัวของผีดิบ คนที่ได้ยินมักจะขนลุกเสมอ

และตอนที่เจ้าหมอนพาพวกเรามาถึงตรงนี้ มันก็หยุดอยู่กับที่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับผีดิบด่าที่ยังไม่ลืมตาว่า “หลีกไป ข้าจะเข้าไป”

เสียงเพิ่งเงียบลง ผีดิบดําทั้งสองตัวนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ดวงตาสีเลือดคู่นั้น เหมือนกับของที่ม่อถงเขียนเอาไว้ไม่มีผิด มันทําให้คนรู้สึกถึงแรงกดดัน

( ม่อถง คือนักเขียนนิยายที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง )

ไม่ใช่แค่นั้น ร่างกายที่ดําทะมึนของพวกมัน ยังปล่อยกลิ่นศพที่รุนแรง และฉุนผิดปกติออกมา

ในระหว่างนั้น ผมรู้สึกเย็นหลังวาบๆ จู่ๆก็เกิดใจสั่นขึ้นมา “ตึงๆๆ” หัวใจเต้นแรง

จนดูเหมือนมันจะทะลุออกมาได้แล้ว ผมละกลัวจริงๆว่าเจ้าสองตัวนี้จะไม่สนใจอะไร ตรงเข้ามากัดพวกเราทันที มือกดาบไม่แน่นตามสัญชาตญาณ หรือแม้แต่มีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด

โชคดีที่วินาทีต่อมา เจ้าผีดิบดําสองตัวนั้นไม่ได้ยกแขนขึ้น หรือแยกเขียวออกมา มันเพียงแค่สูดดมกลิ่นของเจ้าผอมดําสองสามครั้ง หลังจากยืนยันตัวตนแน่ชัดแล้ว

หวกมันก็หมุนตัว กระโดดไปด้านข้างหลีกทางให้กับพวกเรา หลังจากนั้นก็ยืนนิ่งๆ เผยให้เห็นประตูทางเข้าห้องสุดลึกลับ

หลังจากพวกมันยืนได้ที่แล้ว เจ้าผีดิบดําสองตัวนี้ก็หลับตาลงอีกครั้ง เก็บกลิ่นศพที่เหม็นคลุ้งและไม่ขยับตัวอีก..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset