ศพ – ตอนที่ 416 ฟันหิน

ตอนที่ 416 ฟันหิน

ทุกคนคิดว่าหินก่อนนี้ไม่มีทางโดนตัดได้ง่ายๆ ถึงมันจะก้อนเล็กแบบนี้ แต่มันก็หนักมาก จะสามารถเดาได้ว่ามันหนาขนาดไหน

แต่เหล่าเพิ่งกลับไม่พูดอะไรสักค่า เพียงเล็งดาบไปที่หินลีลัว

จากนั้นก็ง้างขึ้น แล้วฟังลงไปตรงๆ

ระหว่างประกายไฟเปล่งแสงขึ้น เสียง “ปัง” ของการปะทะก็ดังขึ้น

ส่วนหินลี่ลั่วอันนั้น ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม

แต่คมดาบจักรพรรดิของเหล่าเฟิง กลับโดนกระแทกจนเป็นรอยบิน……
พอเห็นภาพนี้ เจ้าสาวกผอมดําคนนั้นก็เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา “ท่านนักพรต มันไม่ได้ผลหรอก”

“เพิ่งเฉวหาน เจ้าหินนี้แข็งเกินไป พวกเรารีบไปกันเถอะ ! เดียวเราจะไม่มีเวลาแล้วนะ” นุ่ยเฉิงจึงเองก็ช่วยพูด

แต่ผมกลับไม่เข้าใจเหล่าเฟิง เหล่าเฟิงเองก็ไม่ใช่คนบ้าบิน กลับกันยังเป็นผู้ชายที่รอบคอบ และระมัดระวังอยู่เสมอด้วย

เรื่องที่เขาตัดสินใจทํา ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

หลังจากล้มเหลวครั้งนี้ ผมไม่ได้กล่อมเหล่าเฟิงตั้งแต่วินาทีแรก

เพียงมองไปที่หินลี่ลั่วก่อนนั้นอย่างละเอียด และตําแหน่งที่เหล่าเพิ่งเพิ่งฟันลงไปเมื่อกี้

ผลลัพธ์ในเสี้ยววินาทีต่อมา ผมกลับตกใจในทันที

ตรงที่เหล่าเฟิงฟัน เป็นส่วนที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของหินลี่ลั่ว และตรงมุมเล็กๆที่เชื่อมกับตัวหิน เหมือนจะมีรอยร้าวเกิดขึ้นแล้ว

ดูเหมือนมันจะเป็นรอยแตกจากด้านใน และยังเหมือนมีของสกปรกบางอย่างอยู่

หรือจะพูดอีกอย่างว่า เจ้าส่วนที่ยื่นออกมาจากหินลีล้ว น่าจะมีหินบริสุทธ์เหมือนตัวหินหลัก

เนื่องจากมันไม่บริสุทธิ์ ความแข็งและความหนาของมัน เลยไม่เหมือนกัน

ดังนั้นเหล่าเพิ่งเลยอยากลองดูสักพัก เขาเองก็น่าจะรู้เรื่องความเชื่อมโยงนี้

เพิ่งคิดถึงตรงนี้ เหล่าเฟิงก็เริ่มฟันครั้งที่สอง ครั้งที่สาม

เจ้าผอมดํายังคงทําหน้าลําบากใจ หวังให้เหล่าเพิ่งเลิกฟันลงไปสักที

นี่ไม่ได้เป็นเพราะกลัวว่าของสิ่งนี้จะหายไป แต่เป็นเพราะเขากลัวตายต่างหาก

หากพวกเราโดนสาวกคนอื่นจับได้ เขาต้องกลายเป็นโล่ของพวกเราอย่างแน่นอน และคนที่ต้องตายเป็นคนแรกไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นตัวเขาเอง

ดังนั้นเจ้าสาวกผอมดําคนนี้ เลยอยากให้พวกเราออกไปจากที่นี่เร็วๆ แบบนั้น เขาถึงมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าเดิม

แม้ว่าหินลี่ลั่วจะหายไปจากมือของเขา เขาก็สามารถหาวิธีรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ โลกกว้างใหญ่

ย่อมต้องมีสถานที่ที่เขาจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างแน่นอน

นุ่ยเฉิงจึงค่านวณเวลาตลอด เธอมองเวลาที่ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ

แต่เหล่าเฟิงยังคงฟันหินก้อนนั้นต่อไป ทําอะไรที่มันทําให้ต้องเสียแรงไปเปล่าๆ เธอเลยรู้สึกว่ามันไม่จําเป็นเลยสักนิด

เนื่องจากเป้าหมายที่เรามาในวันนี้คือน้ําลี่ลั่ว ตอนนี้เป้าหมายก็สําเร็จแล้ว

จะเอาหินลี่ลั่วไปได้ไหม มันไม่สําคัญอีกต่อไปแล้ว

“ปังปัง” เสียงยังคงดังขึ้นอีกหลายครั้ง จี่ยเฉิงจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป “ เพิ่งเฉวหาน ถ้านายคือแบบนี้ต่อไป

จะทําให้ทุกคนตายได้นะ พวกเราควรออกไปได้แล้ว ”

แต่เหล่าเฟิงยังเป็นเหมือนเดิม เขาไม่เพียงไม่พูด แต่ยังไม่หันไปมองฉียเจ๋งจึงเลยสักนิด

แต่ดวงตาของผมกลับเปล่งประกาย เอื้อมมือออกไปห้ามนุ่ยเฉิงจึง “อย่าเพิ่งรีบ ใกล้จะสําเร็จแล้ว”

“สําเร็จ ? อะไรสําเร็จ ? เจ้าหินนั้นจะแตกออกมาจริงๆเหรอ ?” นุ่ยเฉิงจึงเลิกลัก จากนั้นก็เข้ามาดูเหมือนกัน

เจ้าสาวกผอมดําที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับทําหน้าอึดอัดใจ “ท่านนักพรต ข้าไม่ได้ดูถูกท่านนะ แต่ถ้าท่านฟันหินลี่ลั่วก้อนนี้แตกได้จริงๆ งั้นข้าน้อยก็คงกลืนหินลี่ลั่วก่อนนี้ลงไปได้ทั้งก่อนแล้ว…..”

ในสายตาของเจ้าสาวกคนนี้ เจ้าของสิ่งนี้แข็งยิ่งกว่าเหล็กซะอีก

อย่าว่าแต่ทําให้แตกเลย ถึงจะทําให้เกิดรอยข่วน มันก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาถึงได้กล้าพูดแบบนั้น
ผลลัพธ์เสียงของเจ้าหมอนี่เพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็ตวัดดาบลงไปที่รอยแตกนั้นอย่างเต็มแรง

“ปัก” หินที่นูนออกมาจากหินลี่ลั่วก้อนนั้น โดนฟันขาดในทันที มันล่วงลงสู่พื้น “ปึกๆ”

เมื่อกี้เจ้าสาวกผอมดํายังทําหน้าไม่แยแส แต่พอเห็นมุมของหินลี่ถั่วแตกออกมาจริงๆ “พรึบ” สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในแววตาเขียนคําว่าไม่อยากเชื้อเอาไว้เต็มๆ อ้าปากค้างเผยสีหน้าตกตะลึง

เหล่าเฟิงสูดหายใจ เอื้อมมือไปหยิบมุมหินลี่ลั่วที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือขึ้นมา

หลังจากมองมันสองสามรอบ เขาก็หันไปมองทางเจ้าสาวกผอมด่า “เจ้านี่แข็งจริงๆ กินเข้าไปคงย่อยไม่ได้ง่ายๆ”

น้ําเสียงของเหล่าเฟิงเย็นชามาก แต่เขากลับทําให้เจ้าผอมดําคนนั้นพูดไม่ออกในทันที หน้าเหวอยิ่งกว่าอะไรดี

“เฟิงเฉิวหาน นายนี่มันหัวดื้อจริงๆ” นุ่ยเฉิงจิงเองก็อดชมเขาไม่ได้

ส่วนเจ้าผอมนั่นกลับกลืนน้ําลาย แล้วฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง “แฮะๆๆ ล้อเล่น ล้อเล่น ถึงจะเป็นมุมเล็กๆของหินลี่ลั่ว แต่มันก็ถือว่ามีประโยชน์มากนะครับ ถ้างั้นเรารีบออกไปกันเถอะ ! ไม่อย่างงั้นจะออกไปไม่ได้แล้ว”

เจ้าผอมไม่สนใจเลยสักนกว่าพวกเราเอาของอะไรไปได้ เขาเพียงแค่อยากส่งพวกเราออกไปเร็วๆ รักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้เท่านั้น

ตอนนี้ พวกเราเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ต่อ เลยหมุนตัวแล้วกําลังจะเดินออกไป

แต่ในเวลานี้ เหล่าเพิ่งกลับยื่นหินลี่ลั่วมาทางผม “เจ้านี่ ฉันให้นาย”
“ให้ฉัน ?” ผมตกใจเล็กน้อย

มันมาจากความพยายามของเหล่าเฟิง กว่าจะทุบมันออกมาได้ แม้แต่ดาบจักรพรรดิหลายหมื่นหยวนของเขาก็ยังพังไปด้วย

เหล่าเพิ่งกลับพยักหน้ารับ แล้วพูดอย่างไม่แยแส “ถึงฉันจะไม่รู้ว่านายเอาไปทําไม ! แต่ฉันรู้ว่านายต้องการใช้เจ้าสิ่งนี้แน่”

เหล่าเฟิงไม่ได้ใช้น้ําเสียงใดๆ เขายังคงเย็นชาเหมือนเคย

แต่ดวงตาคู่นั้นของเขากลับบอกผมว่า เขาจริงใจจริงๆ

ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และซึ้งใจด้วย

นี่คือมุมเล็กๆของหินลี่ลั่ว แม้มันจะไม่ใหญ่เว่อร์อะไร

แต่ก็เป็นหินลี่ลั่วของแท้ สําหรับมู่หลงเหยียน มันต้องมีประโยชน์มากแน่ๆ

ผมเองก็ไม่ได้บอกปัดเหล่าเฟิง เพียงเอื้อมมือไปรับไว้ “ขอบใจนะเหล่าเฟิง”

เหล่าเพิ่งกลับยกยิ้มที่มุมปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

เหล่าเฟิงก็เป็นแบบนี้ คนโหดมักพูดอะไรไม่เยอะ แต่เหล่าเฟิงต้องเป็นสหายที่ดี และเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน

ตั้งแต่ที่เราสองคนรู้จักกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันหลายครั้ง พวกเราก็กลายเป็นพี่น้องต่างแซ่กันนานแล้ว

เราไม่ได้ไร้สาระพูดชมดีอย่างโน้นอย่างนี้ หรือทําอะไรที่น่าขนลุก ทุกอย่างล้วนอยู่ในใจพวกเราทั้งนั้น

ผมเก็บหินลี่ลั่วให้เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มออกไปจากที่นี่ทันที

ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม เจ้าผอมนั่นเป็นคนนํา พวกเราออกมาจากชั้นสามได้อย่างราบรื่นจนผ่านมาถึงชั้นสอง

แต่พอมาถึงชั้นแรก เวลากลืนจันทรากลับหมดลง

ตอนนี้ ด้านหน้าได้มีพวกผีร้ายและผีดิบที่ออกไปดูดกลืนพลังจันทรา เริ่มกลับเข้ามาในถ้ําแล้ว

เสียงเริ่มดังขึ้น กลุ่มผู้เองก็เริ่มทยอยกลับมา

พวกเราค่อนข้างร้อนรน แต่ก็ได้แต่เร่งความเร็วขึ้นเท่านั้น

แต่เมื่อมาถึงปากทาง กําลังเตรียมตัวจะออกไป เราก็เจอกับพวกสาวกสองสามคนที่กลับมาก่อน

เห็นได้ชัดว่าสาวกไม่กี่คนนี้รู้จักเจ้าผอมที่เป็นคนนําทางของพวกเรา เพิ่งเจอหน้าเขา เจ้าพวกนั้นก็ทํามือคํานับเจ้าหมอนทันที “ท่านหัวหน้าคง จะไปไหนเหรอครับ ?”

เจ้าผอมด่าที่โดนเรียกว่าหัวหน้าคงฝืนยิ้มออกมา เขาอยากจะตอบกลับ

แต่ทันใดนั้นผมก็เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ใช้มือจับหลังเขาเอาไว้ ไม่อย่างงั้นเขาอาจพูดจาอะไรไม่ดีออกไป

เจ้าผอมดําโดนสกัดพลังเอาไว้ ตอนนี้รับรู้ได้ถึงการคุกคามที่อยู่ข้างหลัง สีหน้าเลยเปลี่ยนไปเล็กน้อยต่อจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ ไม่ได้ไปไหน ก็แค่จะออกไปเดินเล่นแค่นั้น

“คือใช่ หัวหน้าคง เมื่อกี้ตอนพวกเราออกมา ยามตีสองตัวที่เฝ้าประตูอยู่ได้หายตัวไป นายน้อยเลยถามขึ้นมา” สาวกคนนึงพูด

พอได้ยินคําพูดนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “บิ๊ก” ยามผัสองตัวนั้นโดนพวกเราฆ่าไปแล้ว วิญญาณก็แตกสลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

พอเจ้าผอมดําได้ยินค่าพูดนี้ ก็กวาดตามองผมตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันที

จากนั้นเลยพูดออกมาว่า “อ่อ ! โดน โดนฉันย้ายออกไป อีกเดี๋ยวจะส่งผีตนใหม่มาแทน”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ อ่อใช่แล้วหัวหน้าคง เจ้าพวกนี้คือใครเหรอ ? ทําไมเราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

สาวกคนนึ่งถามขึ้น

“พวกเขา พวกเขาเพิ่งมาใหม่ ใช่เพิ่งมาใหม่ เพราะนายน้อยเชื่อใจข้า ดังนั้นก็เลยให้ข้าเป็นดูแลพวกเขาก่อน” เจ้าผอมพูดต่อ

“ใช่ใช่ หัวหน้าคงมีนายน้อยหนุนหลัง ต่อไปเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว อย่าลืมพวกเรานะ”

“เฮอะๆๆ วางใจเถอะ……”

เจ้าผอมเพิ่งพูดถึงตรงนี้ พวกเราออกแรงที่มือสองสามครั้ง ส่งสัญญาณเจ้าหมอนี่เลิกพูดมาก ถ้ายังไม่พาพวกเราออกไปอีก คนกลุ่มใหญ่ก็จะกลับมาแล้วนะ

เจ้าผอมย่อมเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร เลยไม่รอให้คนพวกนั้นตอบกลับ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เอาละ พวกนายกลับไปก่อนเถอะ! ฉันจะออกไปเดินรอบๆหน่อย”

สาวกพวกนั้นเห็นเจ้าผอมพูดแบบนั้น ก็เลยไม่กล้าพูดไร้สาระต่อ แต่ละคนต่างทํามือคํานับเขา

ในเวลาเดียวกัน พวกเราก็เดินต่อไปข้างหน้า ออกจากถ้ําหิน เข้ามายังป่าเล็กๆที่อยู่ข้างๆ

ตอนนี้ คนกลุ่มใหญ่กลับเข้าไปในถ้ําแล้ว

ส่วนพวกเรากลับแอบอยู่ที่ทางเล็กๆมืดๆทางด้านข้าง เพื่ออ้อมไปยังทางออกให้ได้เร็วที่สุด

และการมาของพวกเราในครั้งนี้ ไม่เรียกว่าโชคร้ายไปซะทีเดียว ไม่เพียงได้ของล้ําค่ามา ระหว่างทางยังได้เจอกับเจ้าผอมคนนี้อีกด้วย

ส่วนเจ้าหมอน ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา ในที่นี่ เขามีสถานะและสิทธิพิเศษไม่น้อย

ไม่อย่างงั้นแค่ชั้นสามเพียงชั้นเดียวนั้น พวกเราคงเข้าไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงได้น้ําลั่ว หรือหินลี่ลั่วมาเลย

ตอนนี้มีเจ้าผอมเป็นคนนําทาง พวกเราเลยไม่คิดจะกลับไปทางเดิม

เพราะมันอันตรายเกินไป และช้าเกินไป อาจโดนจับได้ง่ายๆ

ขอแค่มีเจ้าหมอนี้อยู่ พวกเราต้องสามารถเดินออกไปทางประตู และออกจากใจกลางหุบเขาแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน

พอถึงตอนนั้น พวกเราก็จะหนีออกไปจากเขาเขี้ยวหมาป่า พร้อมกับหินลี่ลั่ว โดยที่ไม่มีใครรู้

ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เป็นไปตามที่พวกเราคิดเอาไว้ตลอด

แต่ตอนที่พวกเรามาถึงจุดตรวจ กําลังจะได้เดินออกไปทางประตู และได้เดินออกไปจากหุบเขาแห่งนี้

สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset