ศพ – ตอนที่ 421 โดนล้อม

ตอนที่ 421 โดนล้อม

พอเห็นผีร้ายพุ่งเข้ามาจะเอาชีวิตพวกเรา พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าไปกําจัดแล้วไปต่อ

ผมจองพวกมัน จากนั้นก็ตะโกนออกมาทันที “ฆ่า !”

เสียงเพิ่งเงียบลง จิ้งจอกน้อยก็ทําตาขวาง ค่ารามออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ทันที

ในตัวเหล่าเฟิง มีวิญญาณดวงหนึ่งลอยออกมา

นั่นก็คือพี่เฟิง พี่เฟิงลอยขึ้นไปกลางอากาศ แล้วลงมือแบบจัดหนักจัดเต็มตั้งแต่เริ่มต้นเลย

ผม เหล่าเฟิง และนุ่ยเฉิงจิง ก็ไม่ลังเลเลยสักนิด แยกย้ายพุ่งเข้าไปสังหารทันที

ทาสผีทั้งเจ็ดแปดตนนั้น ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราอยู่แล้ว

เพิ่มปะทะกัน อีกฝ่ายก็โดนฆ่าไปสามตัวแล้ว

ผมไม่ลังเลหยิบกระดึงออกมา แล้วเขย่าทันที

“กร็งกริ้งกริ้ง” เสียงกระดิ่งอันคมชัดดังก้อง

ทาสผีพวกนั้น จะต้านอยู่ได้ยังไง ตอนนี้พวกมันโดนสยบเอาไว้ทั้งหมด

ทุกคนแยกย้ายลงมือ เริ่มสังหารทันที ทาสผีเจ็ดแปดตน ตายภายในสิบวินาที

แม้จะฆ่าพวกมันได้เร็วมาก แต่ตอนนี้แม้แต่วินาทีเดียวก็เป็นที่สําคัญมากสําหรับพวกเรา

เพียงแค่สิบวินาทีนี้ ก็มีพลังหยินระเบิดตามมาจากทางด้านหลังแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ยังมีเสียงร้องคารามอย่างต่อเนื่อง

พอหันไปมอง วิวก็บัดซบใช้ได้เลย นั้นเป็นศพเดินได้ 5 ตน และพวกทาสศพ

แม่ในบรรดาทาสศพพวกนั้นจะไม่มีที่กําลังกลายสภาพ เป็นผีดิบ และไม่มีพวกผีดิบผิวทองแดง

หรือประเภทที่มีพละกําลังมหาศาล

แต่ความเร็วและพลังโจมตีของศพเดินได้พวกนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะประมาทได้

สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ บนร่างกายของพวกมันมีพิษศพอยู่

ถ้าติดพิษศพเข้าละก็ ในสถานที่แบบนี้ เราไม่มีทางหยุดพักเพื่อถอนพิษได้อย่างแน่นอน

พอเป็นแบบนั้น พิษศพก็อาจลามไปถึงหัวใจของเรา

ผลลัพธ์ที่ตามมา สามารถจินตนาการได้ เป็นอาการที่ร้ายแรงมากอย่างแน่นอน

“ยังมีศพเดินได้อีก ที่นี่น่าสนใจจริงๆ !” จู่ๆพี่เฟิงก็พูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงตื่นเต้น

แต่ผมกลับทําหน้าเครียดสุดๆ “อย่าไปสนพวกมัน พวกเราหนีต่อเร็วเข้า !”

หลังจากพูดจบ พวกเราก็วิ่งไปข้างหน้าต่อ

แต่เพิ่งวิ่งไปได้แค่สักพัก ด้านหน้าก็มีทาสผีอีกสิบกว่าตนปรากฏขึ้นอีก

และในทาสผีสิบตนนี้ ยังมีผีชุดเหลืองหนึ่งตนด้วย

ระดับชุดเหลือง เป็นสิ่งที่พวกเราประมาทไม่ได้จริงๆ

หากสู้กันตัวต่อตัว แบบไม่ใช้อาวุธใดๆ ผีในระดับนี้ อาจเป็นฝ่ายกดดันพวกเรา

ตอนนี้ข้างๆยังมีลูกน้องอยู่ด้วยเยอะขนาดนั้น เป็นอะไรที่ต่อกรด้วยได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ

พอผีชุดเหลืองตนนั้นเห็นพวกเรา มันก็กรีดร้องออกมาทันที

“อร้าย !

เสียงดังมาก ราวกับสามารถฉีกกระฉากท้องฟ้ายามค่ําคืนได้เลย

ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากมันกรีดร้องออกมา พลังหยินอันมหาศาลก็ปั่นป่วนบรรยากาศรอบๆ ดูน้องผีสิบกว่าตนที่อยู่ข้างๆ ต่างพุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

ผมทําอะไรไม่ได้ ผมได้แต่ใช้กระดิ่งเท่านั้น

มีเจ้านี้อยู่ ต่ํากว่าผีชุดแดงลงมา ผมยังไม่รู้สึกกลัวผีพวกนี้เท่าไหร่

แต่ตอนยกกระดิ่งขึ้นมา และเตรียมจะเขย่านั้น ผมกลับต้องตกตะลึง ตอนนี้รอยแตกที่อยู่บนตัวกระดิ่ง

กลับใหญ่และยาวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ผมตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมรักษาเจ้านอย่างดี คราวก่อนพอเห็นรอยแตกบนกระดิ่งแล้ว ผมก็ดูแลมันอย่างระมัดระวังมาตลอด

แต่ทําไมตอนนี้มันถึงมีรอยแตกใหญ่กว่าเดิมได้ละ

แม้จะสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้ผมได้คิดมากแล้ว

ได้แต่ยกกระดิ่งขึ้นสูง แล้ว “กร็งกริ้งกริ้ง” เขย่ากระดิ่งอีกครั้ง

เสียงกระดิ่งอันคมชัดดังกังวาลอีกครั้ง

ทาสผีที่เข้ามาใกล้พวกเราในระยะห้าเมตร โดนเสียงกระดิ่งสยบเอาไว้ทั้งหมด แต่ละตนเอามือปิดหู

เห็นได้ชัดว่ากําลังทรมานมาก

ถ้ไม่ถอยหลัง ก็ล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้น

แม้แต่ผีชุดเหลืองที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร ก็ยังทําท่าทางหวาดกลัว และถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว
ในเวลานี้เหล่าเฟิงพี่เฟิงนุ่ยเฉิงจังและจิ้งจอกน้อย ไม่สนใจอย่างอื่นมากนักแต่ละคนใช้โอกาสนี้

สังหารทาสผู้ที่เข้ามาขวางทางพวกเราทันที พวกเขาไม่ให้ทางรอดกับพวกมันเลยสักนิด

การเมตตากับศัตรู ก็คือการทําเรื่องเลวร้ายกับตัวเอง

โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งลังเลมากเท่าไหร่ ผลที่ตามมาก็ยิ่งร้ายแรงมากเท่านั้น

ผ่านไปแค่พริบตาเดียว ทาสผีสิบกว่าตนนั้น ก็ตายไปกว่าครึ่งแล้ว

แม้พวกเราจะได้เปรียบ แต่ผลที่โดนถ่วงเวลา ก็ทําให้ซากศพและสาวกเจ็ดแปดคนที่ตามมาข้างหลังได้เข้ามาอยู่ในระยะสังหารแล้ว

เหมือนเจ้าศพพวกนี้จะมีภูมิคุ้มกันต่อเสียงกระดิ่ง พอสัมผัสโดนเจ้าสิ่งนี้พวกมันกลับไม่เป็น อะไรเลยสักนิด

สําหรับสาวกพวกนั้น เหมือนไม่ได้ยินเสียงกระดิ่ง มีภูมิคุ้มกันอย่างสมบูรณ์

“โฮก !” ซากศพตะโกน พร้อมตวัดกรงเล็บมาทางพวกเรา

แม้จะกําาลังสั่นกระดิ่งอยู่ แต่ผมก็คอยระวังข้างหลังเช่นกัน

พอเห็นพวกศพพุ่งเข้ามา ผมก็แกว่งดาบในมือไปรับไว้

เจ้าศพตนนั้นไม่เกรงกลัวเลยสักนิด มันดุร้ายผิดปกติ

มันไม่กลัวดาบในมือผม ยกมือขึ้นปัดทันที

ผลลัพธ์พอผมตวัดดาบลงไป ก็ตัดกรงเล็บอันแหลมคมของมันออกทันที

เลือดสีดําๆหยดลงมาจากนิ้วของมัน แต่เจ้าศพนี่เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดมันไม่สนมือ ของตัวเองเลยสักนิด ยังคงขยับมือเข้ามาจับผมและคิดจะกัดผมอีก

ผมไม่กล้าประมาท รีบถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว

แต่พอผมถอยหลังไป ซากศพอีกสองสามตัวก็พุ่งเข้ามา กวาดแกว่งกรงเล็บอย่างบ้าคลั่งและคิดจะฉีกพวกเราเป็นชิ้นๆ

สาวกเจ็ดแปดคนนั้น ยกดาบขึ้น

ระหว่างนั้น พวกเราก็ถูกศัตรูล้อมเอาไว้ทั้งสี่ด้าน

ในเวลาเดียวกัน ผมก็สัมผัสได้ว่ามีพลังหยินที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมกําลังเข้ามาใกล้ และได้ยินเสียงคํารามของศพจํานวนมาก

พวกเราทุกคนรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเราจะทําอะไรได้

ยกมือยอมแพ้งั้นเหรอ นั่นไม่มีประโยชน์เลยสักนิด

หากตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกทาสผี ศพ หรือสาวกพวกนี้ อย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตเลยคงโดนล่ามวิญญาณ สุดท้ายก็โดนฝึกให้เป็นทาส หรือไม่ก็โดนทรมานจนวิญญาณแตกสลาย

ผลลัพธ์แบบนี้พวกเรารับไม่ไหว สิ่งที่เราทําได้ในตอนนี้คือ ลุยฝ่าไปข้างหน้าออกจากทางเลือดนี้ให้ได้

ผมสั่นกระดิ่งอีกครั้ง ยกดาบขึ้นกวาดแกว่ง และฆ่าทาสผีที่โดนเสียงกระดิ่งสยบไว้ได้หนึ่งตัว

ในเวลาเดียวกัน ผมก็พลิกดาบ ไปช่วยเหล่าเฟิงจัดการทาสศพอีกตัว

“รอบๆมีทาสผีและศพเยอะขึ้นเรื่อยๆ พวกเราต้องเร่งความเร็วกันแล้ว……”

เหล่าเพิ่งพิงหลังผม มองรอบๆอย่างเยือกเย็น “ได้ พอฉันนับ หนึ่ง สองสามแล้วพวกเราก็พุ่งไปข้างหน้าเลยนะ !”

“อือ” ผมตอบรับ จากนั้นก็รับการโจมตีของสาวกคนนึง

ตอนนี้ตัวอันตรายที่สุด ไม่ใช่พวกทาสผี ซากศพ หรือลูกสมุนตัวกระจ๊อกพวกนี้

สิ่งที่พวกเรากลัวที่สุด ยังเป็นยัยป้ามั่นหน้าและก่ยซานหยวน

ถ้าหมอผีทั้งสองตนนี้ปรากฎตัว พวกเราไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน

พลังของหมอผีสองตนนี้ เทียบได้กับของมู่หลงเหยียน

ลองคิดดูในบรรดาพวกเรา มีใครสู้กับมู่หลงเหยียนได้บ้างละ

แม้แต่พี่เฟิงและจิ้งจอกน้อยเองก็รับมือกับมู่หลงเหยียนในร่างจริงได้แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น

ดังนั้นสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการปรากฏตัวของเจ้าหมอผีสองตนนั้น หากยังเสียเวลาแบบนี้ต่อไป

ถึงพวกเราจะไม่ตาย แต่ถ้าก่ยซานหยวนและยัยป้ามั่นหน้าออกมาปรากฏตัวจริงๆไม่มีใครในพวกเราได้รอดออกไปจากเขาเขี้ยวหมาป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน

ผมรู้สึกกังวลมาก ส่วนเหล่าเฟิงก็เริ่มนับแล้ว หนึ่ง สอง สาม…..

ตอนที่ค่าว่า “สาม” ดังขึ้น ผมและเหล่าเฟิงก็ตะโกนออกมาหนึ่งครั้งยกดาบไม้ขึ้นเปิดพลังของตัวเองจนถึงขั้นสูงสุด

เราจับดาบไม้แน่นแล้วพุ่งเข้าไปหาทาสผีที่อยู่ตรงหน้าทันที…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset