ศพ – ตอนที่ 427 มู่หลงเหยียนมาเอง

ตอนที่ 427 มู่หลงเหยียนมาเอง

ตอนผมหันกลับไปเห็นด้านหลังมีร่างคนอยู่จํานวนมาก และหนึ่งในนั้นก็มีมู่หลงเหยียนอยู่ด้วย ผมก็ตัวสั้นอยู่พักหนึ่ง

คลื่นแห่งความสุขซัดซาดเข้ามาในหัวใจผม ผมไม่เคยคิดมาก่อน ว่ามู่หลงเหยียนจะมาที่นี่ในเวลาที่พวกเราตกอยู่ในอันตรายแบบนี้

พระจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือหัวพวกเขา แต่ละตนลอยลงมาในวงล้อมทาสผี

นอกจากมู่หลงเหยียนแล้ว ผมยังพบว่ามีผีบางตนที่ผมรู้จักด้วย

หวางเป่าเฉิงผู้นําแห่งสุสานจินชาน เทิงหนิวผู้เฒ่าเขาผี และยังมีอีกตนก็คือยายโม่

พวกม่หลงเหยียนมีพลังระดับไหนละ ทาสผีพวกนี้จะรับมือได้เหรอ

เมื่ออยู่ต่อหน้าผีระดับพวกเขา ทาสผีพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเต้าหู

เพิ่งเริ่มปะทะกันเท่านั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาสผีกลุ่มใหญ่ตายด้วยน้ํามือของพวกมู่หลงเหยียน

ตอนนี้วินาทีนี้ ผมจนแทบบ้า

ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราก็มีโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ได้แน่ๆ หรือแม้แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนฆ่าด้วยซ้ํา

อาจเป็นเพราะดีใจเว่อร์ พลังที่เคยเดือดแห้งเลยเริ่มเพิ่มขึ้นมานิดนึง

ปากตะโกนออกมาเสียงดังลั่น ในขณะเดียวกันก็จับดาบไม้ไปไล่ฆ่าพวกทาสผีอีกครั้ง

พอก่ยซานหยวนและยัยป้าคนสวยที่กําลังสู้กับท่านเลี่ยชั่วอย่างเอาเป็นเอาตายเห็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงดัง ฮึ

ในเวลาเดียวกันยัยป้าคนสวยที่อยู่ข้างๆก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ตีกลอง เรียกราชาศพ”

เสียงของยัยป้าคนสวยเพิ่งเงียบลง “ตึงๆๆๆ” รอบๆก็มีเสียงกลองดังขึ้น

ทันใดนั้น จู่ๆก็มีเสียงคารามแปลกๆดังไปทั้งหุบเขาเขี้ยวหมาป่า

ต่อจากนั้น เราก็เห็นไอพลังศพที่เข้มข้นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูเหมือนจะมีศพที่ทรงพลังออกมา

ไม่ใช่แค่นั้น ภายในหุบเขา ยังมีทาสผีจํานวนมหาศาลจนน่าตกใจพุ่งออกมาอีกด้วย

ทางฝั่งผมเพิ่งสู้กับทาสผีตนหนึ่ง และหลังจากจัดการเสร็จแล้ว มู่หลงเหยียนก็เข้ามาอยู่ตรงหน้าผม

“เจ้ากาก นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

มู่หลงเหยียนยังสวยเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้เธอกําลังทําหน้าเป็นห่วงผม

พอเห็นท่าทางของมู่หลงเหยียน มุมปากของผมก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ไม่ ไม่เป็นอะไร”

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบกระบอกไม้ไผ่พิเศษอันนั้นออกมาจากหน้าอก

แต่หัวจรดเท้า พอเห็นบนตัวผมมีคราบเลือดอยู่ เธอก็เผยท่าทีแปลกๆออกมา “ขอ ขอโทษนะ !”

จู่ๆก็ได้ยินสามคํานี้ ผมเลยงงทันที

ยัยผู้หญิงเจ้าอารมณ์อย่างมู่หลงเหยียน พูดขอโทษเป็นกับเขาด้วยเหรอ

และตอนพูดสามค่นี้ ดวงตาของเธอเหมือนจะแดงหน่อยๆด้วย

ผมเงียบไปพักหนึ่ง “พูดอะไรน่ะ ! รีบรับไปซิ อย่าให้เจ้าพวกนั้นมาแย่งไปได้เชียว !”

ขณะพูด ผมก็เอื้อมมือไปจับมือที่เย็นเฉียบของมู่หลงเหยียน จากนั้นก็นํากระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ําลี่ลั่วยัดใส่มือของเธอ

หวางเป่าเฉิง เทิงหนิว และยายโม่ ล้อมตัวพวกเราเอาไว้ พวกเขากําลังคุ้มกันพวกเรา และฆ่าพวกทาสผีอย่างต่อเนื่อง

มู่หลงเหยียนรับกระบอกไม่ไผ่ไว้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงพยักหน้าให้รัวๆ ราวกับเหมือนเธอกําลังซึ้งใจ

“ตกลง ตอนนี้พวกเราจะหาโอกาสฆ่าศัตรูแล้วออกไปจากที่นี่กัน ! คือใช่ เหล่าเพิ่งโดนพวกทาสผีจับไป ทางนั้น….” ผมรีบพูด แล้วชี้ไปทางด้านหนึ่ง

มันทําให้เห็นกลุ่มทาสผีที่จับเหล่าเฟิงและพี่เฟิงไปพอดี พวกนั้นยังลากพวกเขาออกไปเรื่อยๆ

มู่หลงเหยียนรีบเก็บน้ําลี่ลั่ว และพยักหน้าให้ผมเล็กน้อย

จากนั้นเธอก็พูดกับยายโม่ว่า “ยายโม่ ยายคอยคุ้มครองติงฝาน ส่วนคนอื่นๆตามฉันมา !”

“อ๋อ !”

พวกหวางเป่าเฉิงและผู้นําตนอื่นๆรีบขานรับ

หลังจากนั้นผมก็เห็นมู่หลงเหยียนพุ่งออกไปเร็วสุดๆ

พวกหวางเป่าเฉิงเองก็รีบตามไป ถึงด้านหน้าจะมีทาสผู้ขวางอยู่จํานวนมาก

แต่คราวนี้ พวกเขามาในร่างจริงทั้งหมด พลังที่มีเลยดูทรงพลังผิดปกติ

พวกทาสผีที่นี่ ไม่มีทางต้านพวกเขาได้เลยสักนิด

เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็ไล่ฆ่าไปทางที่เหล่าเพิ่งและพี่เฟิงถูกพาตัวไปแล้ว

และในตอนนี้เอง เธอก็หยิบยาเม็ดสีดําๆออกมา แล้วโน้มตัวลงมายื่นให้ผม “คุณผู้ชาย รีบกินสิ่งนี้เข้าไปซิเจ้าคะ”

ผมเองก็ไม่รู้ว่ายาเม็ดสีดําๆนี้คืออะไร แต่ยายโม่ต้องไม่คิดจะทําร้ายผมอย่างแน่นอน

ผมเลยรับไว้ มันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ บางทีคงเป็นยาชั้นเลิศบางอย่าง

ผมไม่คิดอะไรเลย จากนั้นก็กลืนลงไปทันที

ยาเม็ดเพิ่งลงไปอยู่ในท้อง ผมก็รู้สึกได้ถึงไอร้อน เหมือนพลังในตัวผมกําลังฟื้นกลับมาทีละนิด

ท่าทางมันน่าจะเป็นยารักษา หรืออาจช่วยฟื้นพลังได้อีกด้วย

แต่ผมเพิ่งกลืนยาเม็ดนี้เข้าไป ก็มีทาสผีกลุ่มนึ่งปรากฏขึ้น และล้อมรอบพวกเราเอาไว้ทันที

ยายโม่แข็งแกร่งเว่อร์ ลงมือเหี้ยมผิดปกติ

ทาสผีพวกนี้ไม่สามารถเข้ามาใกล้พวกเราได้เลยสักนิด แต่ละตัวโดนยายโม่จัดการในทันที

ผมมองรอบๆ พบว่าจิ้งจอกน้อยยังนอนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมาทันที

จิ้งจอกน้อยบาดเจ็บหนัก ท่าทางเหมือนกําลังจะหมดสติ

“เสี่ยวเหมย เธออดทนเอาไว้ก่อนนะ” ผมรีบพูด

แต่เสี่ยวเหมยกลับลืมตาขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับผมอย่างช้าๆ “ใช้ ใช้เลือดของฉัน อัญ อัญเชิญ อัญเชิญนางพญา”

หลังจากพูดจบ จิ้งจอกน้อยก็หลับตา สลบไปในทันที

“เสี่ยวเหมย เสี่ยวเหมย” ผมเขย่าร่างเธอสองสามครั้ง พบว่าเสี่ยวเหมยบาดเจ็บหนัก และสลบไปแล้ว

ทันใดนั้นเองผมก็คิดถึงคําพูดเมื่อกี้ของเธอ ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ลังเลอะไรมากนัก

ใช้มือปาดเลือดที่มุมปากของจิ้งจอกน้อย จากนั้นก็ประสานมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว

เพราะยายโม่คอยปกป้องพวกเราอยู่ ดังนั้นผมเลยไม่กังวลว่าทาสผีพวกนั้นจะลอบโจมตีเลยสักนิด

ผมใช้การเคลื่อนไหวที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ และการท่องคาถาอัญเชิญเซียนอย่างต่อเนื่อง

เพราะผมเป็นตัวแทนเผ่าจิ้งจอกที่นางพญามาทําพิธีด้วยตัวเอง ดังนั้นผมเลยสามารถเชิญนางพญาจิ้งจอกมาสถิตร่างได้

เพียงแต่ในเวลานี้ เธอคงอยู่ไม่ได้นานนัก

ทั้งหมดน่าจะใช้เวลาประมาณสามนาที นี่เป็นเพราะเลือดจิ้งจอกมีส่วนด้วย

ถ้าเป็นเวลาเชิญเซียนปกติ หากคิดจะเชิญนางพญาจิ้งจอกออกมา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสิบนาที

หลังจากนั้นสามนาที ผมก็รู้สึกว่ามันใกล้จะเสร็จแล้ว

จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ศิษย์ติงฝาน ขออัญเชิญนางพญาสถิตร่าง……”
หลังจากพูดจบ ผมก็ประสานมืออย่างรวดเร็ว พร้อมพูดออกมาเบาๆ “เพียง”
ทันใดนั้น พลังปีศาจประหลาดก็เข้ามาห่อหุ้มตัวผมเอาไว้

พลังปีศาจนี้รุนแรงมาก และเข้มข้นมาก

ในขณะที่พลังปีศาจปรากฏขึ้นรอบๆตัวผม ตรงที่ผมอยู่ก็กลายเป็นจุดปลดปล่อยพลังปีศาจที่อันตรายออกมา

สายลมปีศาจพัดเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า ทาสผีพวกนั้นอย่าว่าแต่เข้ามาทําร้ายผมเลย ตอนนี้แค่อยากจะเข้ามาใกล้ผม พวกมันก็ยังทําไม่ได้เลย

สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ ในขณะที่พลังปีศาจปรากฏขึ้น จู่ๆเหนือหัวของผมก็มีพลังปีศาจรวมตัวกลายเป็นหัวจิ้งจอกในรูปของหมอกสีขาว

พอหัวจิ้งจอกปรากฏขึ้น มันก็คํารามออกมาทันที

“วิว” เสียงดังมาก น่าเกรงขามจนทาสผีรอบๆไม่อยากเข้ามาใกล้

หลังจากหัวจิ้งจอกอันนั้นก้มลงมา พลังปีศาจที่เข้มข้นพวกนั้นก็เข้ามาในหัวของผม แล้วสุดท้ายก็มาอยู่ในตัวของผม

ระหว่างนั้น ดวงตาของผมก็เปลี่ยนสี ตอนนี้มันส่องแสงสีทองออกมา

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ม่านตาของผม ก็ยังเปลี่ยนไปด้วย มันเปลี่ยนเป็นม่านตาจิ้งจอกแทน

ในขณะที่ม่านตาของผมเปลี่ยนไป ผมก็พบว่าแขนขาของผม ไม่อาจขยับได้ตามใจเหมือนเดิม

ผมเองก็รู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้ในร่างของผมมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

ไม่ ถ้าพูดให้ชัดเจน น่าจะมีจิ้งจอกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวมากกกว่า

เพิ่งรับรู้ถึงเรื่องพวกนี้ เสียงนางพญาจิ้งจอกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหัวของผม “เสี่ยวจินถง ดูเหมือนคืนนี้เจ้าจะเจอเรื่องล่าบากไม่น้อยเลยนะ….”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset