ศพ – ตอนที่ 429 หนี

ตอนที่ 429 หนี

กว่าจะทิ้งระยะห่างจากพวกผี และปืนลงหน้าผาได้ พวกเราก็ใช้เวลาไปถึงสิบนาทีเต็มๆ

ท่านเกี่ยวกับนางพญาจากไปแล้ว ทางที่เหลือมีเพียงต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น

เราได้รับบาดเจ็บทุกคน และไม่ได้เจ็บเบาๆแต่เป็นเจ็บหนัก

แต่หลังจากผมกินยาของยายโม่แล้ว ผมก็สามารถกลับมาควบคุมร่างกายได้ในระยะสั้นๆ

ไม่พูดไม่ได้ ยาเม็ดนี้ร้ายกาจมากทีเดียว

คล้ายกับพวกยากระตุ้น ร่างกายไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่มี พละกําาลังและพลังก็ฟื้นกลับมาไม่น้อย แถมยังทําให้รู้สึกใจเต้นแรงกว่าปกติ

ถึงจะให้นางพญามาสถิตร่างเมื่อก่อนหน้านี้ แถมตอนนี้ยังเพิ่มภาระให้ตัวเองมากกว่าเดิม แต่พลังของผมกลับไม่ลดลงเลยสักนิด ทําให้ผมอยู่นิ่งๆไม่ได้เลย

แน่นอน ยาแรงขนาดนี้ ก็ต้องมีผลข้างเคียงอย่างแน่นอน

และยายโม่ก็บอกแล้ว นี่เป็นแค่ผลที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น

สามารถอยู่ได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับร่างกายและอาการบาดเจ็บของใครคนนั้น

แต่เรื่องนี้ไม่สาคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สําคัญก็คือ ตอนนี้พวกเราสามารถหนีออกไปได้แล้ว

ขอแค่พวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงนี้หนีออกไปได้ งั้นพวกเราก็จะไม่เป็นไรแล้ว พอถึงเวลาลดฤทธิ์ มันก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตพวกเราแล้ว
ส่วนเหล่าเฟิง นุ่ยเฉิงจังและจิ้งจอกน้อย ก็กินเข้าไปคนละหนึ่งเม็ดเช่นกัน

เพราะความพิเศษของยาเม็ด ทําให้ฉยเฉิงจังและจิ้งจอกน้อยที่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

แต่มันออกฤทธิ์ค่อนข้างสั้น ทําให้ตอนนี้พวกเธอยังต้องคอยให้คนอื่นช่วยประคอง ไม่อาจเดินด้วยตัวเองได้

สําหรับเหล่าเฟิง อาการบาดเจ็บของเขา เบาที่สุด

ดังนั้นเขาไม่เพียงไม่ต้องให้คนอื่นคอยประคอง กลับกันยังช่วยผมประคองจิ้งจอกน้อยและนุ่ยเฉิงจึงวิ่งไปข้างหน้าอีกด้วย

แต่ครั้งนี้ ในสายตาของเหล่าเฟิง มู่หลงเหยียนไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป เขาเริ่มเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอรางๆ

เหล่าเฟิงรู้นานแล้วว่า “น้องสาว” ที่ผมเคยพูดถึงอยู่ด้วยนานแล้ว ตอนนี้พอเห็นภาพที่ลางเลือน

เขาเลยไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก

ส่วนจี๋ยเฉิงจึงกลับมองด้วยความสงสัยสองสามครั้ง เพราะเธอเพิ่งเคยเจอ “วิญญาณคุ้มครองบ้าน” ที่คอยปกป้องผมครั้งแรก

อีกมุมหนึ่งทางมู่หลงเหยียน ยายโม่และยังมีหวางเป่าเฉิง เทิงหนิวกับผู้นําผีที่ผมไม่รู้จักตนอื่นๆ

กลับไม่ได้สนใจมากนัก พวกเขาเพียงคอยคุ้มกันเรา หรือไม่ก็คอยเปิดทาง หยุดพวกที่ไล่ตาม ทําให้พวกเราไม่ได้รับอันตราย

หลังจากก่ยซานหยวนและยัยป้ามั่นหน้าถอยหนีไป พวกเขาก็เหมือนจะได้รับบาดเจ็บซ้ําสอง

และครั้งนี้ ก็เป็นแผลซ้อนแผล

ดังนั้น หลังจากหนีไป พวกเราก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก

ส่วนพวกที่ไล่ตามพวกเรามาข้างหลัง ก็เป็นพวกลูกสมนทั้งนั้น

พวกซากศพถือว่าดีหน่อย เพราะพวกมันเคลื่อนไหวช้า ไล่ตามพวกเราไม่ทัน

แต่พวกทาสผีกลับไม่เหมือนกัน สายลมอันหนาวเหน็บ พัดเข้ามาทางพวกเราเป็นพักๆ

พวกเราวิ่งหน้าตั้งไปทางหลังเขา ข้างหลังมีพวกผีตามมาไม่หยุด ระลอกคลื่นเกิดขึ้นลูกแล้ว ลูกเล่า ไม่จบไม่สิ้น

โชคดีที่ที่นี่คือทางหลังเขา และเป็นที่ต้องห้ามขององค์กรชั่ว บวกกับมีมู่หลงเหยียนและพวกผู้นําผีที่ทรงพลังคอยรุกรับ ทําให้เราแทบไม่ต้องรับมือเอง

ตอนนี้ พวกเราเข้าสู่พื้นที่ที่มีหมอกหนาแล้ว การมองเห็นเลยได้รับผลกระทบอย่างแรง

พวกเราเลยต้องใช้ความทรงจําของตัวเอง พาทุกคนวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาทางแยกอีกครั้ง

ตอนเห็นทางแยก ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที จึงรีบพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “น้องศพ ที่นี้แหละ ขอแค่พวกเราออกไปตามทางซ้าย อย่างมากก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็จะออกจากเขาเขี้ยวหมาป่า ออกจากหมอกหนาพวกนี้ได้สักที”

พอม่หลงเหยียนได้ยินคําพูดนี้ ใบหน้าของเธอก็เปื้อนยิ้มเล็กน้อย “ เยี่ยมไปเลย ถึงทาสผี พวกนี้จะมีเยอะ

แต่พวกมันส่วนใหญ่ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่สามารถออกไปจากเขาเขี้ยวหมาป่าได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ

งั้นอีกไม่นานพวกเราก็จะปลอดภัยแล้ว ”

เมื่อก่อนมู่หลงเหยียนเคยเป็นหุ่นเชิดรุ่นแรกขององค์กรตาผี ดังนั้นสําหรับเรื่องทาสผี ศพ หรือสัตว์ประหลาดขององค์กรตาผี เธอรู้จักดีเลยละ

และสาขาย่อยขององค์กรตาผีแห่งนี้ ก็โดนจับตามองมาโดยตลอด สําหรับข้อมูลพวกนี้ มู่หลงเหยียนย่อมรู้ดีอยู่แล้ว

พอทุกคนได้ยินแบบนั้น ก็อดเผยท่าทางดีใจออกมาไม่ได้

เหล่าเฟิงพูดออกมาตรงๆ “ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นพวกเราก็อย่ารอช้าอยู่เลย รีบไปกันเถอะ! เหมือนผีพวกนั้นจะไล่ตามมาทันแล้ว”

เหล่าเฟิงหน้าซีด พูดขณะประคองเสี่ยวเหมยอยู่

ผลลัพธ์เสียงเพิ่งเงียบลง ข้างหลังก็มีเสียงคํารามดังขึ้น “โฮก”

เสียงดังมาก มันก้องไปทั่วป่า ต่อจากนั้นคลื่นพลังหยินอันเข้มข้นก็พัดตามมาติดๆ

ทันใดนั้น รอบๆก็มีเงาคนปรากฏขึ้น ทาสผีตนแล้วตนเล่าเริ่มออกมาโจมตี

พอเห็นถึงตรงนี้ ผมก็กลั้นหายใจทันที

มาได้จังหวะพอดี เมื่อกี้เพิ่งโดนซัดออกไปหนึ่งกลุ่ม ตอนนี้ดันมาอีกแล้ว

มู่หลงเหยียนดึงหน้าลง หันไปมองรอบๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ ยายโม่ คุ้มครองพวกเขาออกไปก่อน

เดี๋ยวพวกเราจะคอยสกัดเอาไว้ก่อน”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็กําลังจะออกไป

พอเห็นภาพนี้ ผมก็ทําหน้าเครียด พร้อมพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “น้องศพ”

มู่หลงเหยียนได้ยินผมเรียกเธอ เธอเลยหันมามองด้วยหน้าสงสัย

พอเห็นถึงตรงนี้ ผมละอยากพูดมาก ถ้าจะไป เราก็ต้องไปด้วยกัน

แต่พออ้าปาก ผมกลับกลืนคําพูดพวกนั้นกลับเข้าไปอีกครั้ง

ผมรู้ตัวดี พลังอันน้อยนิดแบบนี้ ถ้าผมไปกับมู่หลงเหยียน มันก็ไม่ต่างอะไรจากไปหาเรื่องตาย หรือไปเป็นตัวถ่วงพวกเขาเปล่าๆ

ดังนั้นผมเลยเปลี่ยนคําพูด และพูดออกมาว่า “ระวังตัวด้วย รีบกลับมาเร็วๆนะ”

มู่หลงเหยียนเห็นผมทําหน้าจริงจัง และยังพูดคําพูดพวกนี้ออกมา เธอเลยส่งยิ้มให้ผม “วางใจได้ พวกนั้นทําอะไรฉันไม่ได้หรอก !”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็ไม่ลังเลที่จะอยู่ต่อ เธอหมุนตัว พุ่งตรงออกไปหาผีพวกนั้นทันที

ผู้นําผีอย่างหวางเป่าเฉิงกับเทิงหนิวที่อยู่ข้างๆ และยังมีผู้นําผีที่ผมไม่รู้จักอีกหลายตน ก็ออกไปหาผีพวกนั้นเช่นกัน

และครั้งนี้ ผมก็เห็นเต็มสองตาว่ามีร่างชุดเหลืองหลายร่าง และมีร่างชุดแดงสองร่าง

ไม่ต้องพูดผมก็รู้ดี พวกนั้นก็คือทาสผีชุดเหลืองกับชุดแดง

ระดับชุดเหลืองพวกม่หลงเหยียนจัดการได้สบายๆอยู่แล้ว แต่ระดับชุดแดง นั่นเป็นอะไรที่พูดยาก

ความแตกต่างของชุดแดงมันมีค่อนข้างเยอะ เมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังอยู่ในขั้นเต้าจจิ้น หากสูงไปกว่านั้นก็อาจขึ้นไปถึงเต้าจงขั้นสุด เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ผมขมวดคิ้ว ในใจยังรู้สึกกังวลอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

ส่วนยายโม่ที่อยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นมาดื้อๆ “คุณผู้ชาย พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ !”

ผมกัดฟัน มองร่างมู่หลงเหยียนที่ออกไปไกลเรื่อยๆอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็ขานรับว่า “ซื้อ”

“พวกเราไป……”

หลังจากพูดจบ พวกเราก็เริ่มวิ่งออกจากเขาอีกครั้ง

ทางเขาขรุขระ เดินล่าบากสุดๆ

ถึงพวกมู่หลงเหยียนจะคอยสกัดให้อยู่ข้างหลัง แต่ก็ยังมีทาสผีนิดหน่อยหลุดออกมาได้

ถึงทาสผีพวกนั้นจะมีไม่เยอะ แต่พวกมันก็สร้างปัญหาให้พวกเราไม่น้อยเลย

เราได้ยินเสียงคํารามดัง “โฮก” ซึ่งมันมาพร้อมกับทาสผีหลายตัวที่กําลังเข้ามาในรัศมีสังหาร

พอยายโม่เห็นแบบนั้น เธอก็ทําตาขวาง แล้วกวาดไม่เท้าในมือเป็นทางขวางทันที

“ปังปัง” ทาสผีสองตัวโดนซัดกระเด็นออกไป

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยายโม่เพิ่งลงมือ อีกทางด้านหนึ่ง ก็มีผีอีกตัวพุ่งเข้ามา

“แม่งเอ้ย !” ผมตะโกน จากนั้นก็ถือดาบไม่เข้าไปจัดการมันทันที

มียาเม็ดพิเศษของยายโม่ช่วยฟื้นกําลัง ทําให้ตอนนี้ผมยังมีพลังสู้อยู่

และผีไม่กี่ตนนี้ ก็เป็นแค่ทาสผีชุดขาว ท่าทางจะอยู่ในขั้นเต้าฉือระดับกลางเท่านั้น พวกมันเลยอยู่ห่างไกลจากค่าว่าคู่ต่อสู้

พวกมันแต่ละตัว ลอยเข้ามาหาผมด้วยท่าทางแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ

แต่ผมไม่ได้ปรานี ฟันเข้าไปตรงที่ประตูชีวิตของพวกมันทันที….

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset