ศพ – ตอนที่ 430 หนีออกมาสําเร็จ

ตอนที่ 430 หนีออกมาสําเร็จ

ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ทางฝั่งผมก็เริ่มสู้กับทาสผีหลายคนแล้ว

แต่เพิ่งสู้ได้แค่ไม่กี่กระบวนท่า เหล่าเฟิงและนุ่ยเฉิงจึงก็เข้ามาช่วยอีกแรง

สามคนสามด้าน เราล้อมเจ้าทาสผีชุดขาวพวกนั้นไว้ตรงกลาง

เจ้าทาสผีพวกนั้นดุร้ายไม่กลัวตาย แต่ก็รับการโจมตีจากพวกเราทั้งสามด้านไม่ไหว

ผลลัพธ์เพิ่งสู้ได้ไม่กี่กระบวนท่า พวกมันก็ตายคาดาบพวกเราแล้ว

เพิ่งจัดการทาสผีพวกนี้เสร็จ ทางยายโม่ก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ยายโม่หันกลับมาทันที “ไปพวกเรา !”

หลังจากพูดจบ พวกเราก็เริ่มวิ่งไปข้างหน้า เร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ ส่วนด้านหลังของพวกเรา ก็มีทาสผีปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราว

แต่ปัญหาจากทาสผีพวกนี้ ไม่ได้สร้างปัญหาให้พวกเราระยะยาว แต่ก็ทําให้พวกเราต้องตั้งสติอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครกล้าชักช้าเลยสักคน

เส้นทางที่ควรใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง แต่พวกเรากลับใช้เวลาไปถึง 50 นาที

ตอนพวกเราออกมาสู่เขตเขารอบนอกของเขาเขียวหมาป่า สายหมอกก็เริ่มลางเลือนแล้ว

และพวกเราก็พบว่า พวกทาสผีที่ไล่ตามฆ่าพวกเรามา ก็เริ่มหยุดตามตรงที่สายหมอกเจือจาง

หรือจะพูดอีกอย่างคือ พวกเราหนีออกมาสําเร็จแล้ว

ตอนนี้ทาสผีพวกนั้น ยังไม่สามารถออกมาจากหมอกพวกนั้นได้

ผมหายใจหอบเหนื่อย เข้าไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้วมั้ง !”

ยายโม่กวาดสายตามองรอบๆ “ตอนนี้เราออกมาจากเขตเขาเขียวหมาป่าแล้วจริงๆ แต่จะประมาทไม่ได้ ยังไงเราก็ควรเดินทางต่อ ออกห่างจากที่นี่ให้ยิ่งไกลได้ยิ่งดี หากยาในร่างกายของพวกคุณหมดฤทธิ์ขึ้นมา จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานมาก”

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

ร่างกายของแต่ละคน ทุกคนต่างรู้ดี

พวกเราไม่มีแรงนานแล้ว พลังก็ใช้กันจนเกือบหมดแล้ว

เป็นเพราะกินยาเม็ดเข้าไป เราถึงกลับมามีพลัง และพละกําลังอีกครั้ง

นี่มันก็เหมือนการใช้ยากระตุ้น หากยาหมดฤทธิ์ ผลข้างเคียงที่ตามมาก็จะร้ายแรงมาก

แผนในตอนนี้คือ เราต้องออกไปก่อนที่ยาจะหมดฤทธิ์ อย่างมากที่สุดก็ต้องไปให้ถึงตัวตําบล จากนั้นก็ออกไปจากที่นี่ และไปหาโรงพยาบาลสักแห่งเพื่อพักฟื้น

มีเพียงทางนี้เท่านั้น ถึงจะปลอดภัยที่สุด

ดังนั้น หลังพักหายใจครู่หนึ่ง พวกเราก็เริ่มเดินทางต่อ

ที่นี่เป็นเขตรอบนอกของเขาเขี้ยวหมาป่าแล้ว พวกเราอยู่ห่างจากตัวตําบล ประมาณสองชั่วโมงได้

ตอนมาพวกเราระวังตัวมาก เลยเดินทางกันค่อนข้างช้า

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราพยายามวิ่งออกไปจากภูเขาให้ได้เร็วที่สุด

และขามาเราก็ชินกับเส้นทางแล้ว ตอนนี้เลยกลับไปได้เร็วยิ่งกว่าเดิมหน่อย

ภายใต้สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด จากระยะทางสองชั่วโมง พวกเราใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที

ก็ออกมาจากเขตป่าแล้ว

ตอนนี้ พวกเราเห็นตัวตําบลอยู่ไกลออกไป

ขอแค่พวกเราพยายามเพิ่มอีกหน่อย เราก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว

และยาในร่างกายของพวกเรา ก็เริ่มจะหมดฤทธิ์แล้ว ความเจ็บปวดบนร่างกาย เริ่มกลับมาอีกแล้ว

แต่ทุกคนต่างกัดฟัน วิ่งต่อไปเรื่อยๆ เรายังทนได้

ในที่สุด พวกเราก็ออกมาจากหลังเขา มาถึงเส้นทางในตัวตําบลแล้ว

เพิ่งออกมาถึงถนนตําบล พวกเราก็เห็นไกลออกไปมีใครคนหนึ่งกําลังยืนอยู่

ใครคนนั้นมองมาทางพวกเรา หลังมั่นใจว่าเป็นพวกเราแล้ว เขาก็รีบวิ่งมาหาทันที “ท่าน ท่านนักพรต……”

พอได้ยินเสียงนี้ ผมก็หันไปมองทันที

ทันใดนั้นผมก็ได้พบว่าคนที่พูดไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือลั่ว ลุงลั่วคนนําทางให้พวกเราเมื่อวานนั่นเอง

พอเห็นว่าเป็นลุงลั่ว ผมก็พูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนแรง “ลุง ลุงลั่ว……”

ลุงลั่วเห็นพวกเราแต่ละคนหายใจหอบเหนื่อย ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด เลยอดไม่ได้ที่จะตกใจ

“ท่าน ท่านนักพรตติง นี่ นี่พวกคุณ……”

ผมฝืนยิ้ม “พวกเราไม่เป็นอะไร แค่บาดเจ็บนิดหน่อย ลุงลั่ว ลุงขับรถเป็นไหม ?”

“ขับรถ” ลุงลั่วสงสัยนิดหน่อย

“อ๋อ ! ขับรถ ไปส่งพวกเราที่โรงพยาบาลในเมืองหน่อย” ผมพูดต่อ

“เอ่อคือ เป็น เป็น เมื่อก่อนเคยขับรถขนถ่าน แค่ไม่มีใบขับขี่……” ลุงลัวพูดแบบอึดอัดนิดหน่อย

พอได้ยินว่าลุงลั่วขับเป็น ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด ยื่นกุญแจให้เขาทันที บอกให้ลุงลั่วไปส่งพวกเราที่โรงพยาบาล

ขอแค่พวกเราได้ออกห่างจากเขาเขี้ยวหมาป่า เราก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว สิ่งที่ยังกังวลอยู่ก็คือผลข้างเคียงหลังยาหมดฤทธิ์แล้ว

ลุงลัวเห็นพวกเราแต่ละคนบาดเจ็บไม่น้อย เลยไม่คิดอะไรมาก รีบรับกุญแจไว้ แล้วถามว่ารถอยู่ที่ไหนทันที

ผมบอกเขาว่าจอดไว้ที่ถนน พอลุงลั่วได้ยินแบบนั้น ก็บอกให้พวกเรารอแป๊บนึง เขาจะรีบไปขับมารับเดี๋ยวนี้

ลุงลั่วเพิ่งออกไป ยายโม่ก็พูดกับผมว่า “คุณผู้ชาย พวกคุณกลับไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะกลับไปดูคุณหนู !”

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็พยักหน้าให้ทันที “ตกลงยายโม่ พวกยาย พวกยายต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ !”

ยายโม่ยิ้มให้ผม “วางใจได้เจ้าค่ะคุณผู้ชาย แล้วก็ พอยาหมดฤทธิ์แล้วห้ามใช้พลัง อย่าพยายามฝืนต้านความเจ็บปวดพวกนั้น ไม่อย่างนั้นมันจะยิ่งทรมานกว่าเดิมนะเจ้าคะ”

พวกเราพยักหน้าเล็กน้อย ทุกคนต่างจําขึ้นใจ

ส่วนยายโม่ เธอไม่คิดจะอยู่ต่อ หลังจากนั้นเธอก็หมุนตัวกลับกลายเป็นเงาดํา แล้วพุ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว

ขณะมองทางที่ร่างของยายโม่หายไป ผมก็รู้สึกเป็นห่วงพวกมู่หลงเหยียนไม่น้อย

ทาสผีกับพวกศพเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ตอนนี้พวกมู่หลงเหยียนจะเป็นยังไงบ้าง

และยายโม่เพิ่งจากไป ฉยเฉิงจึงก็พูดกับผมว่า “ติงฝาน พวกผี พวกผีก่อนหน้านี้ เป็นวิญญาณคุ้มครองนายจริงๆเหรอ ?”

ฉียเจ๋งจึงเริ่มพูดแบบหอบหายใจ ท่าทางล่าบากพอควร

พอได้ยินเธอถามแบบนั้น ผมก็พยักหน้าเล็กน้อย “คือ คือใช่ !”

ฉัยเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะทําตาโต “ งั้นพวกเขา พวกเขาก็ร้ายกาจมากเลยนะ แต่ทําไมนายถึงมี

มีวิญญาณคุ้มครองได้ละ ? แถมทําไมยายที่เพิ่งไปเมื่อกี้ ถึงเรียกนายว่า เรียกนายว่าคุณผู้ชายละ?

จุ่ยเฉิงจึงถามเพิ่มอีกสองคําถาม พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายกับเธอยังไงดี

เหล่าเฟิงและเสี่ยวเหมย ก็หันมามองหน้าผมเช่นกัน

เพราะเสียวเหมยมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางพญา เลยรู้เรื่องผมกับมู่หลงเหยียนพอสมควร แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ถึงเหล่าเพิ่งจะรู้นานแล้วว่าข้างกายผมมีผีผู้หญิงที่แข็งแกร่งคอยปกป้อง แต่เขาก็ไม่เข้าใจมาตลอดว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกครั้งที่ผมแถเพื่อให้ผ่านไป เขาก็จะไม่ไล่ถามต่อ

ตอนนี้พอได้ยินจี่ยเฉิงจึงถามขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

แต่ผมจะตอบยังไงละ บอกว่าผมแต่งงานกับผี นี่มันเรื่องต้องห้ามของลัทธิ เป็นข้อห้ามร้ายแรงเลยนะ

และก่อนหน้านี้มู่หลงเหยียนกับอาจารย์ก็เคยพูดว่า ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครทั้งนั้น

แม้แต่ท่านนักพรตตู้ อาจารย์กับเหล่าฉันก็ไม่เคยพูดออกไปแม้แต่น้อย

ผมเงียบไปพักหนึ่ง แต่ก็รู้ว่าควรตอบกลับยังไงดี

สุดท้ายหลังจากเงียบมาพักหนึ่ง ผมถึงพูดขึ้นมาว่า “อ่อ ! เรื่องนี้ เรื่องนี้ ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ

แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็จุดธูปให้พวกเขา เวลามีอันตราย ก็จะสามารถเชิญพวกเขาออกมาช่วยได้”

àยเฉิงจึงและเหล่าเฟิงไม่ได้โง่ พวกเขารู้ดีว่าผมกําลังเลี่ยงคําถาม และพูดออกมาพอเป็นพิธี

พอเห็นผมไม่อยากพูด นุ่ยเฉิงจิงก็ไม่ถามต่อ เพียงทําเสียง “อือๆ” สองครั้ง “คืนนี้ คืนนี้ต้องขอบคุณพวกเขามาก ถ้าครั้งหน้านายเจอพวกเขาอีก ฝากขอบคุณแทนพวกเราด้วยนะ”

ผมรีบฉีกยิ้ม “อือ วางใจได้ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา……”

เสียงเพิ่งเงียบลง แสงไฟของรถคันหนึ่งก็ส่องเข้ามา ลุงลัวขับรถเข้ามาแล้ว

เพิ่งถึงตรงหน้าพวกเรา ลุงลั่วก็โผล่หัวออกมาครึ่งหัว “รีบขึ้นมาเถอะ !”

พวกเราไม่ได้ลลา ผืนผลข้างเคียงของยาเอาไว้ แล้วรีบขึ้นรถทันที

เพิ่งนั่งลง ลุงลัวก็กลับรถ แล้วขับไปทางในเมืองทันที

ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ท่านนักพรตวางใจได้ นอกจากผมจะเก่งเรื่องเก็บสมุนไพรแล้ว ตอนขับรถขนถ่าน ผมยังมีฉายาอีกอย่างหนึ่งก็คือราชาแห่งการแข่งรถ ผมต้องพาพวกคุณไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดแน่นอน….”

เสียงเพิ่งเงียบลง หัวรถก็ถูกกลับอย่างรวดเร็ว เสียงยางเสียดสีกับพื้นถนนและเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอย่างรุนแรง
เสี้ยววินาทีต่อมา ลุงลั่วก็เหยียบคันเร่ง พาพวกเราออกไปจากตําบลเล็กๆแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

และเขาเขี้ยวหมาป่าที่อยู่ห่างออกไป ยังเต็มไปด้วยหมอกหนา และพลังชั่วร้ายที่ลอยขึ้นตลบอบอวล……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset