ศพ – ตอนที่ 431 ผลข้างเคียง

ตอนที่ 431 ผลข้างเคียง

ในเขาเขี้ยวหมาป่า ยังคงมีการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเรามองไม่เห็นแล้ว

ส่วนพวกเรา ยิ่งออกห่างจากเขาเขี้ยวหมาป่าได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น

ไม่พูดไม่ได้ ทักษะการขับรถของลุงลั่วคนนี้ ใช้ได้เลยทีเดียว

ลุงลัวพาพวกเราออกจากตําบลเล็กๆแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

ขณะอยู่บนรถ ลุงลัวเริ่มเอ่ยปากถามพวกเรา

ถามว่าทําไมพวกเราถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้ เป็นเพราะเจ้าเดรัจฉานที่อยู่ในนั้นเป็นคนทําหรือเปล่า

พอได้ยินลุงลั่วพูด ผมก็พยักหน้าให้เบาๆ “ใช่ ตอนพวกเราเข้าไปโดนจับได้ ก็เลยต้องหนีเอาชีวิตรอดออกมา”

“งั้น งั้นต่อไปจะทํายังไง ?” ลุงลั่วพูดต่อ น้ําเสียงปนด้วยความสงสัย

“วางใจได้ อีกไม่นานของในรังนั่น ก็จะถูกกวาดล้าง !” ผมพูดด้วยน้ําเสียงเย็นชาเล็กน้อย

หลังฟังจบ ลุงลั่วก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
สําหรับคนเก็บสมุนไพรอย่างพวกเขา ภูเขาแถวนี้เป็นแหล่งทํามาหากินของพวกเขา

ตั้งแต่ที่ราบใจกลางหุบเขาเขี้ยวหมาป่า กลายเป็นสาขาย่อยขององค์กรตาผี

เริ่มเลี้ยงผีสร้างศพ จํานวนการเก็บสมุนไพรของลุงลั่วก็ลดลงมาเรื่อยๆ ของที่เก็บได้เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลยสักนิด

และทุกครั้งที่ขึ้นเขา ก็ต้องคอยหวาดระแวงตลอดเวลา กลัวตัวเองจะตายอยู่ในภูเขาออกมาไม่ได้อีกตลอดกาล

พอได้ยินค่าพูดของผม ลุงลัวก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

แต่เสียงของผมเพิ่งเงียบลง เหล่าเพิ่งกลับเอามือกดหน้าอกไว้ แล้วถามขึ้นมาด้วยเสียงอ่อนแรง

“ลุงลั่ว ดึก ดึกขนาดนั้นแล้ว ทําไมลงยังอยู่ที่ถนนสายนั้นอีกละ ?”
ลุงลัวขับไปตอบไป “อ่อ ! หลังจากที่พวกคุณขึ้นเขาไปแล้ว ผมก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ก็เลยรออยู่ข้างนอกทั้งวัน หวังว่าพวกคุณจะออกมาได้เร็วๆ สุดท้ายคืนนี้ก็ออกมารอพวกคุณอีก”

พอได้ยินลุงลั่วพูดถึงขนาดนั้น ผมก็รู้สึกแปลกใจมาก
คิดไม่ถึงว่าคนเก็บสมุนไพรที่เจอกันแค่ชั่วข้ามคืน จะเป็นห่วงความเป็นตายของพวกเราขนาด

แต่ลุงลั่วคนนี้ก็ใช้ได้จริงๆ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะชายคนนี้ พวกเราก็คงไม่รู้จะเข้าในเมืองมาได้ยังไง

ต่อจากนั้น พวกเราก็คุยต่ออีกพักหนึ่ง แต่เพราะผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง คําพูดเลยเริ่มลดลงเรื่อยๆ

เรื่องในเขาเขี้ยวหมาป่าพวกเราไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงบอกว่าในนั้นยังอันตรายอยู่ ให้ลุงลั่วยังไม่ต้องเข้าไปในเขาตอนนี้

ลุงลั่วเองก็เป็นคนตรง ไม่ได้คิดอะไรอีก บอกพวกเราออกมาได้ สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

ลุงลั่วเห็นพวกเราไม่อยากพูดเท่าไหร่ และแต่ละคนยังทําท่าทางทรมานออกมา เลยเริ่มเล่าถึงเรื่องในอดีตของเขา ให้พวกเราไม่ต้องไปโฟกัสเรื่องพวกนั้น เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

เพราะผลข้างเคียงออกฤทธิ์แล้ว เลยทําให้ผมรู้สึกทรมานจนเกินจะรับไหว

ส่วนใหญ่จะจําอะไรไม่ได้ จําได้เพียงนุ่ยเฉิงจึงถามลุงลั่วว่า “ลุงลั่ว ลุง ลุงขับรถเก่งขนาดนี้ แต่ทํา ทําไมถึงไม่มีใบขับขี่ละ ?”

ผลลัพธ์ลุงลั่วกลับตอบกลับมาว่า “พอดื่มเหล้าขาวเข้าไป ก็ไม่ต่างอะไรกับคนขับรถแข่งแล้ว”

พอได้ยินคําพูดนี้ พวกเราก็อดทําหน้าอึดอัดใจไม่ได้

ที่แท้ตาลุงคนนี้ก็เมาแล้วขับรถแข่ง ถึงว่าทําไมเขาถึงไม่มีใบขับขี่

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ลุงลั่วคุยกับพวกเรา และขับรถไปโรงพยาบาลในเมืองพร้อมๆกัน

แต่หลังขับไปได้ครึ่งชั่วโมง ยาในร่างกายของทุกคนก็หมดฤทธิ์อย่างสมบูรณ์

ผลข้างเคียงออกฤทธิ์เต็มที่ สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือความเจ็บปวด หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว และยังมีอาการใจสั่น

àยเฉิงจึงทนไม่ไหวคนแรก ตอนนี้เธอพูดกับผมว่า “ติง ติงฝาน ฉันทนไม่ไหวแล้ว มันทร ทรมานมากเลย !”

หลังจากพูดจบ “อัก” ฉุ่ยเฉิงจังก็กระอักเลือดออกมา

เหล่าเฟิงหายใจหอบเหนื่อย “อย่าตื่นตูม หายใจ หายใจช้าๆเข้าไว้

หลังจากกระอักเลือดออกมา จุ่ยเฉิงจิงก็หน้าซีดมาก แล้วสุดท้ายก็เอนตัวพิงเบาะ แล้วสลบไปในทันที

ต่อจากนั้น จิ้งจอกน้อยเสี่ยวเหมย ผมและเหล่าเพิ่ง

ก็ทําท่าทางทรมานมากออกมา รู้สึกเจ็บไปทุกอณรูขุมขน เหมือนกับตัวจะฉีกเป็นเสี่ยงๆ

เหงื่อไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวถูกเหงื่อย้อมจนเปียกชุ่ม ทนไม่ไหวจนต้องตัวสัน

โดยเฉพาะผม ก่อนหน้านี้ผมให้นางพญาสถิตร่าง

นางพญาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังถึงขนาดนั้น ใช้ร่างของผมรองรับพลังปีศาจถึงขนาดนั้น

ผลข้างเคียงยาในตอนนี้ ผมทนไม่ไหวเลยแม้แต่น้อย

พอยาหมดฤทธิ์ ก็เหมือนกับยาชาหายไป ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างจนผมพูดอะไรไม่ออก

ช่วงเวลาต่อจากนั้น ผมมีสติอยู่แบบเลือนลางเท่านั้น

ลุงลั่วเห็นพวกเราแต่ละคนมีสภาพเป็นแบบนั้น ตอนนี้ทําหน้าทรมานมากออกมา แถมยังร้องโอดครวญออกมาอย่างต่อเนื่อง หน้าซีดขาว เลยทําให้เขาต้องเร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม

ในเวลาเดียวกันก็พูดไม่หยุด บอกให้พวกเรามีสติไว้ อย่าเพิ่งหลับ เขาจะพาพวกเราไปให้ถึง โรงพยาบาลเร็วที่สุด

พลังกายของพวกเราหมดไปนานแล้ว แล้วตอนนี้พวกเราจะเอาอะไรมารักษาสติไว้

ผลลัพธ์ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พวกเราแต่ละคนก็เริ่มนอนสลบคารถ

ลุงลั่วเห็นพวกเราสลบไป เลยร้อนใจหนักกว่าเดิม หัวเต็มไปด้วยเหงื่อ

โชคดีที่ลุงลั่วเป็นคนดี ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา

ต่อมาผมมีสติแบบลางเลือน แต่ก็ยังจําได้ว่า ลุงลั่วพาพวกเรามาส่งที่โรงพยาบาล แล้วยังถามหาโทรศัพท์จากผม

เดิมที่ผมคิดจะบอกเบอร์อาจารย์กับเขา ผลลัพธ์เพิ่งอ้าปาก ผมก็นอนสลบไม่ได้สติแล้ว

เรื่องต่อจากนั้น พวกเราแทบไม่รู้เรื่องเลย

ผมจําได้แค่ว่า ตอนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เป็นตอนกลางวันแล้ว

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา รู้สึกได้ว่ามีแสงอาทิตย์อุ่นๆอยู่ตรงหน้า

ผมสบัดหัวพักหนึ่ง ในขณะที่กําลังจะลุกขึ้น

ผมกลับพบว่าร่างกายของตัวเองยังเจ็บมากอยู่ โดยเฉพาะตรงจุดตันเถียนในร่างกาย มันเจ็บเหมือนจะฉีกออกมาแบบนั้น

ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังพบว่ามือของตัวเองโดนเจาะสายน้ําเกลือเข้าไป

สถานที่ที่ผมอยู่ น่าจะเป็นห้องพักในโรงพยาบาล

ผมหายใจสองสามครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นมา

ผมเพิ่งลุกขึ้นมา ก็พบว่าข้างเตียงของตัวเอง มีผู้หญิงคนนึงนอนฟุบอยู่

ผมลอนสีแดง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ

พอผมขยับ ผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง

ทําหน้าง่วงเหงาหาวนอนใส่ผม หรือแม้แต่ยังมีขอบตาดําคล้ําปรากฏให้เห็น จนคนที่เห็นอดตกใจขึ้นมาไม่ได้

นี่มัน เสี่ยวม่าน

“เสี่ยวม่าน….” ผมพูดเสียงแหบ ค่อนข้างตกใจพอสมควร

เสี่ยวม่านเห็นผมลุกขึ้นมานั่ง จากหน้าง่วงเมื่อกี้ ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ติงฝาน ในที่สุดนายก็ตื่นขึ้นมา !”

“เสี่ยวม่าน ทํา ทําไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ละ ?” ผมพูดด้วยน้ําเสียงสงสัย
เสี่ยวม่านกลับยิ้มอย่างดีใจ “เป็นเพราะคุณปู่ที่ชื่อลั่วยคนหนึ่งโทรหาฉัน บอกว่านายบาดเจ็บ ถามฉันว่ารู้จักนายไหม หลังจากนั้นฉันก็มาหานายแล้ว”

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดทําหน้าอึดอัดใจไม่ได้

ลุงนั่นคงไม่ได้เข้าไปดูรายชื่อในโทรศัพท์ฉันใช่ไหมเนี่ย

หรือเขาจะโทรแบบมั่วๆ โทรไปหาเสี่ยวม่าน

ผมสงสัยในใจ ขณะเดียวกันก็ถามต่อทันที “แล้วลุงลัวละ ?”

“พอฉันมาถึง ปลั่วยี่ก็ออกไปในวันถัดมา หลังจากนั้นฉันก็เป็นคนดูแลพวกนาย” เสียวม่านพูดตามความจริง

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ “งั้นพวกอาจารย์ของฉัน ยังไม่รู้เหรอว่า พวกฉันเข้าโรงพยาบาลแล้ว”

“รู้แล้ว ตอนนี้ออกไปกันแล้ว เสี่ยวม่านพูดต่อ

ส่วนผม ถามถึงเรื่องหลังจากผมเข้าโรงพยาบาล จนถึงตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

เสี่ยวม่านเองก็เล่าเรื่องที่เธอรู้ให้ผมฟังทั้งหมด เธอบอกว่าผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสามวันติดแล้ว

ตอนนั้นเป็นเวลาหกโมงเช้า พอเธอรับโทรศัพท์จากลุงลั่วแล้ว ก็รีบมาที่นี่ทันที

ส่วนลุงลั่ว หลังจากกดโทรหาจ้าวเสี่ยวม่านแบบมั่วๆแล้ว โทรศัพท์ของผมก็แบตหมด

สุดท้ายพอจ้าวเสี่ยวม่านมาถึง เธอก็โทรไปบอกพวกอาจารย์ผม หรือแม้แต่ยังจ่ายค่ารักษาให้พวกเราล่วงหน้าอีกด้วย

ในสามวันนี้ พวกเราทุกคนต่างอยู่ในอาการโคม่ามาโดยตลอด

จ้าวเสี่ยวม่านเป็นห่วงผมมาก ช่วงหลายวันนี้ เธอแทบอยู่เฝ้าผมกับพวกอาจารย์ที่โรง พยาบาลตลอด

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว พวกอาจารย์เลยออกไปกินข้าว ส่วนจ้าวเสียวม่านอยู่เฝ้าผมที่นี่

เพราะช่วงสองสามวันนี้จ้าวเสี่ยวม่านไม่ได้เอาแต่ทํางานที่บริษัท แต่ยังคอยมาเฝ้าผมด้วย เธอเลยไม่ได้พักผ่อนดีๆ

ดังนั้นเธอเองก็ง่วงมาก ผลลัพธ์เพิ่งผ่านไปไม่นาน เธอก็นอนฟุบข้างเตียงผมแล้ว

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก

เพื่อนทําถึงขนาดนี้ เป็นอะไรที่มีความหมายมาก

ดังนั้นผมเลยพูด “ขอบใจ” กับเธอ ผลลัพธ์เสี่ยวม่านกลับกลอกตาใส่ผม “ปัญญาอ่อน จะมาพูดขอบจงขอบใจอะไรกับฉัน……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset