ศพ – ตอนที่ 432 พักฟื้น

ตอนที่ 432 พักฟื้น

ขณะมองเสี่ยวม่าน ผมได้แต่ฉีกยิ้มอย่างล่าบากใจ

ถึงผมกับเสี่ยวม่านจะไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปี แต่มิตรภาพตั้งแต่สมัยเด็ก ยังคงอยู่ในใจพวก เรามาโดยตลอด

ผมเกาหัว “เอ่อ ตกลง! งั้นเดี๋ยวพอว่างแล้ว ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอนะ”

พอเสี่ยวม่านได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็อดทําปากไม่ได้ “ข้าวไม่ต้องหรอก นายเลี้ยงหนังฉันดีกว่า”

“ดูหนัง ?” ผมค่อนข้างงง ดูหนังอะไร และดูหนังมันจะเท่าไหร่เชียว คงไม่กี่สิบหยวนเท่านั้น

เสี่ยวม่านกลับดูจริงจังมาก “ทําไม ? ไม่เลี้ยงงั้นเหรอ ?”

“ไม่ไม่ไม่ เลี้ยง งั้นเดี๋ยวนัดกัน แล้วฉันจะพาเธอไปดูหนังนะ”

พอฟังผมพูดจบ เสียวม่านก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ” ออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าเธอดีใจมาก

“ห้ามคืนคํานะ !”

“อือ ไม่คืนคํา” ผมงงหน่อยๆ ดูหนังมันมีดีขนาดนั้นเลยเหรอ ต้องดีใจถึงขนาดนั้นเลย

แต่เสี้ยววินาทีต่อมา เสี่ยวม่านก็พูดต่อทันที บอกว่าพอถึงตอนนั้นให้ผมขับรถตัวเองไปรับเธอ ที่บริษัท

ผมเกาหัวรถผม นั่นเป็นแค่รถติดธรรมดาๆนะ แต่บ้านเสียวม่านกลับมีรถหรูระดับรถเบนซ์เลยนะ

“เสี่ยวม่าน รถของฉันคันนั้นมันเป็นรถตู้นะ ไม่ได้ดูหรูหราอะไร” ผมค่อนข้างอายนิดๆ

“ไม่เป็นไร ฉันชอบ แถมเจ้ารถคันนั้นของนายฉันยังไม่เคยนั่งเลย ครั้งหน้าฉันจะได้ถือโอกาส นั่งกินลมชมวิวพอดี” เสี่ยวม่านพูดอย่างมีความสุข

ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอได้ยินเสี่ยวม่านพูดถึงขนาดนั้น ผมก็รู้สึกว่าเธอคงนั่งรถเบนซ์ จนเบื่อแล้ว

คงอยากนั่งรถตู้ไม่กี่หมื่นหยวนดูบ้าง

ผมพยักหน้า รับปากเสี่ยวม่านหลังจากหายแล้ว ผมจะไปรับเธอที่บริษัท จากนั้นก็จะพาเธอไปดูหนัง

เพื่อตอบแทน ที่เธอมาดูแลพวกเราในช่วงไม่กี่วันนี้

ผ่านไปไม่นาน พยาบาลก็เข้ามา หลังจากเห็นผมฟื้นแล้ว เธอก็ไปตามหมอเข้ามาดูอาการสองคน

หลังจากตรวจและถามอาการเรียบร้อย พวกหมอก็กําหนดวิธีรักษาให้ผมใหม่

อันที่จริง ! ผมคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว อย่างมากก็ แค่กลับไปพักผ่อนอยู่บ้านหลายวันหน่อยเท่านั้น

แต่เสี่ยวม่านกลับยืนกรานบอกให้ผมนอนโรงพยาบาลต่ออีกสักสองสามวัน

ผ่านไปไม่นาน อาจารย์ ท่านนักพรตต์และคนอื่นก็กลับมา

หลังอาจารย์เห็นผมฟื้นแล้ว เขาก็ดูจะดีใจมาก

แต่หลังจากดีใจเสร็จ ผมก็เห็นอาจารย์ทําหน้าเข้ม “แกไปทําอะไรมาอีกฮะ ? ไม่ได้บอกไป งานเลี้ยงรุ่นหรือยังไง ทําไมถึงทําตัวเองเจ็บไปทั้งตัว จนต้องเข้าโรงพยาบาลฮะ ?”

ผมค่อนข้างไปไม่ถูก ตอนออกจากบ้าน ผมโกหกอาจารย์

“เอ่อ เอ่อคือแค่ไปเจอปัญหามานิดหน่อยน่า แต่ตอนนี้ก็ปลอดภัยดีไม่ใช่เหรอ ?”

อาจารย์ผมโมโหจนหน้าแดง แต่เห็นสภาพผมยังให้น้ําเกลืออยู่ เขาก็ด่าผมไม่ลง

ต่อจากนั้น เพราะที่บริษัทมีงาน เสี่ยวม่านเลยขอตัวกลับก่อน

พอเสี่ยวม่านกลับไปแล้ว ในห้องก็เหลือแต่พวกเราไม่กี่คน

อาจารย์และท่านนักพรตต์ทําหน้าเข้มอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “แกไปทําอะไรมากันแน่ฮะ ? ไปเจออะไรมา ถึงได้บาด เจ็บหนักขนาดนี้ ถึงกับนอนสลบไปตั้งสามวันสามคืน”

ผมปิดเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกแล้ว ผมก็บอกอาจารย์ว่าผมไปสาขาย่อยของ องค์กรตาผีมา

พออาจารย์และท่านนักพรตต์ได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้

จากนั้นก็รีบถามหาที่มาที่ไป ว่าที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ผมไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องที่เจอทั้งหมดให้พวกเขาฟังทันที

แน่นอน เรื่องมู่หลงเหยียนผมปิดเอาไว้ไม่มิดแน่ๆ

ดังนั้นผมเลยใช้คําว่า “ผู้พิทักษ์” มาแทนที่ บอกว่าพวกเราไปเขาเขี้ยวหมาป่าเพื่อขโมยน้ําลี่ลั่ว

พออาจารย์ได้ยินค่าว่า “ผู้พิทักษ์” ก็รู้ทันทีว่าผมก่าลังพูดถึงใคร

ตอนนี้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ทําไมตอนไปไม่บอกฉันฮะ ? แกดูซิมันอันตรายขนาดไหน เกือบ ไม่รอดกลับมาแล้วเห็นไหม”

ผมคลี่ยิ้มให้อาจารย์ “ก็แค่เกือบไงอาจารย์ ! พวกเราไม่เป็นอะไร แถมไปคราวนี้ ยังได้ข้อมู ลกลับมาไม่น้อยเลยนะ ผมเริ่มเข้าใจพลังอํานาจของสาขาย่อยองค์กรตาผีบ้างแล้ว……”

ต่อจากนั้น ผมก็เล่าสถานการณ์ในสาขาย่อยแห่งนั้นให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด

หลังจากท่านนักพรตต์และอาจารย์ฟังผมพูดจบ ก็อดสูดหายใจเข้าอีกรอบไม่ได้ พวกเขารู้สึก ช็อกกับสิ่งที่ผมเล่าเมื่อกี้มาก

พวกเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า ในสาขาย่อยขององค์กรตาผี จะมีทาสผู้จํานวนมหาศาลแบบนั้นอยู่ ด้วย

ทาสผีจํานวนมหาศาลขนาดนั้น หากถูกปล่อยออกมาจริงๆ เขาจะหยุดพวกมันไหวงั้นเหรอ

ผมเห็นตาแก่สองคนเงียบ เลยถามถึงอาการของพวกเหล่าเพิ่ง

อาจารย์และท่านนักพรตต์ตอบกลับผมว่า พวกเขายังสลบอยู่ อาการไม่แย่มาก กําลังอยู่ใน ช่วงพักฟื้น

หมอบอกว่า น่าจะฟื้นขึ้นมา ในช่วงไม่กี่วันนี้

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ

ต่อจากนั้น พวกเราก็คุยกันต่ออีกพักหนึ่ง จากนั้นตาแก่สองคนนี้ก็โดนพวกหมอไล่ออกไป บอกว่าต้องให้ผมพักผ่อนเยอะๆ

พอกินโจ๊กแล้ว ผมก็กลับไปนอนต่อ

แต่ในใจ กลับคิดถึงมู่หลงเหยียน หลังจากพวกเราออกมาแล้ว ไม่รู้พวกเธอเป็นยังไงบ้าง จะหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยไหม

ผมนอนหลับไปพร้อมกับใจที่กระวนกระวาย

ร่างกายผมก็ร้ายกาจเกิน พอหลับไป ก็กินเวลาไปถึงหนึ่งวัน

แต่หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็ได้ยินข่าวดี นุ่ยเฉิงจัง เหล่าเฟิงและยังมียัยจิ้งจอกน้อยต่าง ฟื้นหมดแล้ว

แต่ยัยจิ้งจอกน้อยไม่ใช่คน พอฟื้นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกไม่คุ้นกับทุกอย่างในห้อง หรือแม้แต่เกือบ ทําร้ายคน

โชคดีที่พวกอาจารย์เข้าไปทันเวลา อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาต้องร้า ยแรงมากแน่ๆ

ตอนนี้ทุกคนอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล อย่างมากก็ต้องอยู่อีกสองวันถึงจะออกจากโรง พยาบาลได้

วันนี้ผมสามารถลงมาเดินขยับร่างกายได้แล้ว ร่างกายยังดูมีพลัง ฟื้นตัวได้ดีมาก

ตอนผมไปเจอเหล่าเพิ่งและพวกจี่ยเฉิงจึง พวกเราก็ทักทายกัน หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง

เวลาสองวัน หายวับผ่านไปในพริบตา

วันนี้พวกเราตื่นกันแต่เช้า พักอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นอะไรที่ไม่สบายจริงๆ

เราให้พวกอาจารย์ไปทําเรื่องออกโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากนั้นก็ออกมาจากโรงพยาบาลทันที

ฉ่ยเฉิงจึงไม่ไปกับพวกเรา เธอบอกว่าจะกลับไปที่มหาลัย

หลังแยกกันที่ทางเข้า พวกเราก็ขับรถตรงกลับต่าบลชิงฉือทันที

พอมาถึงตําบลชิงฉือ ผมซื้อไก่มาหลายตัว ให้จิ้งจอกน้อยเอากลับไปกินที่ศาลเจ้าหลักเมือง

ส่วนพวกเราก็กลับไปพักที่บ้านของใครของมัน เพิ่งมาถึงบ้าน ผมก็จุดธูปให้น้องศพทันที

ในเวลาเดียวกันก็พูดกับป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนว่า “น้องศพ น้องศพ เธอกลับมาอย่างป ลอดภัยไหม ?”

ผมจ้องป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียน รอให้เธอตอบกลับ

หลังจากนั้นประมาณสองสามวินาที จู่ๆก็มีพลังหยินออกมาจากป้ายวิญญาณ

ต่อจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนดังอยู่ในหู “ฉันกลับมาแล้ว ซึ่งฝาน ตอนนี้นายสบาย ดีไหม ?”

จู่ๆก็ได้ยินคําพูดแบบนั้น ผมเลยอดไม่ได้ที่จะดีใจ

มู่หลงเหยียนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่ผมกลับเงียบไปพักหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อกี้มู่หลงเหยียนเรียกชื่อผม ไม่ใช่ “เจ้ากาก” อะไรนั่นแล้ว สําหรับผู้หญิงเจ้าอารมณ์ระดับ มู่หลงเหยียน เรื่องนี้เป็นอะไรที่เจอได้น้อยมาก

สงสัยการเดินทางไปเขาเขี้ยวหมาป่าครั้งนี้ จะทําให้ภาพผมในใจของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

ผมดีใจมาก คิดว่าระยะห่างระหว่างผมกับเธอ เริ่มน้อยลงเรื่อยๆแล้ว

หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ก็ได้ยินผมพูดว่า “เอ่อ ฉันพักที่โรงพยาบาลมาสองสามวันแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เอ่อฉันไปหาเธอดีไหมคืนนี้”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset