ศพ – ตอนที่ 437 ไขความลับ

ตอนที่ 437 ไขความลับ

หลังจากยายโม่ปล่อยพลังหยินเข้าไปจํานวนหนึ่ง เกล็ดปลาสีม่วงทองอันนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิดๆ

ในสายตาของผม แสงสีแดงระเบิดออกมาทันที

ภายใต้แสงสีแดงพวกนั้น อักษรและเครื่องหมายพิเศษบางอย่างเริ่มปรากฏขึ้น

มันเหมือนกับโปรเจคเตอร์ ที่กําลังฉายแสงออกมา

ไม่เพียงแค่นั้น ในขณะที่อักษรและเครื่องหมายพิเศษเหล่านั้นปรากฏขึ้น มันก็ยังฉายพวกภาพเส้นลมปราณออกมาด้วย

ภาพเส้นลมปราณพวกนั้น แค่มองก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร

มันคือภาพการเคลื่อนพลังลมปราณ หรือก็คือภาพเส้นลมปรารณในตัวคน
พวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตน เรื่องแค่นี้เข้าใจได้ไม่ยาก เป็นอะไรที่เข้าใจง่ายมาก

ตอนผมเห็นถึงตรงนี้ ตัวผมก็ดูตกใจมาก “ออก ออกมาแล้ว นี่ นี่คือภาพเดินลมปราณและคำอธิบายของวิชาเฟินเทียนกงงั้นเหรอ ?

ผมตาโต มองไปรอบๆอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็หันกลับมามองทุกอย่างตรงหน้าอีกครั้ง

แต่ยายโม่ที่กระตุ้นพลังหยินอยู่ กลับทําหน้าไม่เข้าใจ “คุณผู้ชาย พูดอะไรเจ้าคะ คุณเห็นภาพเดินลมปราณกับคําอธิบายเหรอเจ้าคะ ?”

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็มันไปพักหนึ่ง “อ๋อ ! ใช่ หรือว่ายายมองไม่เห็นเหรอ ?”

ยายโม่กวาดตามองรอบๆพักหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ําเสียงสงสัย “คุณผู้ชาย ข้าไม่เห็นอะไรเลยจริงๆเจ้าค่ะ !”

เมื่อได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็ตกใจทันที

มันลอยอยู่รอบๆชัดๆ แต่ทําไมยายโม่ถึงมองไม่เห็นละ

หรือว่า นี่จะเป็นคุณสมบัติพิเศษของเจ้าเกล็ดสีม่วงทองอันนี้

ภายใต้สถานการณ์ปกติ คนเป็นไม่เห็นความผิดปกติใดๆ

แต่ในสายตาของพวกวิญญาณ กลับเห็นแสงสีแดงจางๆ

เหมือนกับไข่มุกราตรีที่กําลังส่องแสงอ่อนๆออกมา

และหลังจากใส่พลังหยินเข้าไปแล้ว ภาพเดินลมปราณและอักษรต่างๆก็ปรากฎขึ้น แต่พวกวิญญาณ

กลับมองไม่เห็นพวกมัน

หรือว่านี่ก็คือสาเหตุที่ทําไมเหล่าผู้สืบทอดทดลองมาตั้งนานขนาดนั้น แต่กลับมีแค่คนเพียงน้อยนิดที่สามารถอ่านเจ้าสิ่งนี้ได้

เจ้าสิ่งนี้ ต้องให้วิญญาณตนหนึ่งร่วมมือด้วย ถึงจะสามารถมองเห็นความลับด้านในได้

พอลองคิดดูแล้ว ผมคิดว่ามันอาจเป็นแบบนั้นก็ได้

ในแนวคิดของลัทธิเต๋ แทบไม่มีการร่วมมือกับผีเขียนเอาไว้เลย

สําหรับพวกผี มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเคารพอย่างห่างๆ

เกล็ดปลาสีม่วงทองของผมอันนี้ ยังเป็นของที่ตกทอดกันมาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ย่อมไม่ใช่ว่าใครก็อาจเห็นมันได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงต่อหน้าเหล่าวิญญาณไม่ได้เด็ดขาด

แถมเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่ผู้สัมผัสมัน เมื่อเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ

ความลับในเกล็ดม่วงทองอันนี้ ก็จะไม่มีใครค้นพบ

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็รู้สึกโลกสดใสขึ้นมาทันที

นี่คือสาเหตุว่าทําไมพวกอาจารย์ถึงไม่สามารถอ่านเคล็ดวิชาบนนี้ได้

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมาเสียงดังลั่น “ยายโม่ ยายทําต่อไปนะ นี่คือเคล็ดวิชาฝึกพลังที่ผมได้รับตกทอดมาจากอาจารย์ แต่คิดไม่ถึงว่าต้องใช้วิธีนี้ เคล็ดวิชาถึงจะออกมาให้เห็น”

“อ่อ เป็นวิชาฝึกพลังนี่เอง แถมยังต้องใช้วิธีแปลกๆซ่อนเอาไว้ คุณผู้ชาย นี่ต้องเป็นวิชาลับที่ร้ายกาจมากแน่นอนเจ้าค่ะ คุณต้องจําให้ขึ้นใจเลยนะเจ้าคะ” ยายโม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง

ในเรื่องนี้ ผมไม่กล้าลีลาและพลาดอยู่แล้ว

ผมไม่สนอย่างอื่นอีก รีบจําภาพเดินลมปราณพวกนี้อย่างรวดเร็ว

เจ้าพวกนี้จําได้ค่อนข้างง่าย ขอแค่จ่าตําแหน่งจุดต่างๆ และทิศทางที่ลมปราณเคลื่อนไปก็พอ

เพียงแต่อักษรพิเศษพวกนี้ กลับไม่ได้จําง่ายขนาดนั้น

และอักษรที่ปรากฏออกมานี้ ล้วนเป็นตัวเต็มทั้งหมด

แถมยังเป็นตัวเต็มแบบพิเศษด้วย มองจากรูปร่างแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับตัวอักษรผีเลยสักนิด เหมือนกับอักษรอียิปต์โบราณไม่มีผิด

แต่ถ้าให้ทําความเข้าใจกับมัน ผมแทบทําไม่ได้เลยสักนิด

และหลังจากมองทุกตัวอักษรแล้ว มีเพียงตัวเต็มของคําว่า “เทียน” เท่านั้น ที่ผมเข้าใจ

ตรงนั้นน่าจะเขียนคําว่า “เฟินเทียนกง” เพราะอาจารย์พูดว่านี่คือวิชาเฟนเทียนกง ผมเลยคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

ผมทําความคุ้นเคยกับภาพเดินลมปราณพวกนั้นก่อน หลังจากนั้นถึงค่อยๆจ่าอักษรพวกนั้น

เพราะเจ้าพวกนี้ไม่ได้จําง่ายขนาดนั้น ผมเลยเริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายเอาไว้ พอทําแบบนี้แล้วผมคงปวดหัวน้อยลง

แต่แล้วเรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง กล้องผมไม่มีปัญหามันทํางานปกติ

แต่รูปที่ถ่ายออกมา กลับไม่มีอะไรติดมาเลยสักอย่าง

หรือแม้แต่แสงสีแดงพวกนั้น ก็ไม่เปล่งแสงอะไรเลยสักนิดในภาพ จะเห็นได้ว่าเจ้านี่ประหลาดขนาดไหน

ทําอะไรไม่ได้ ผมเลยบอกให้คนกระดาษไปหากระดาษมาให้ผม จากนั้นผมก็เริ่มจด ต่อไปค่อยหาใครสักคนมาแปลให้ผมอีกที

อักษรพวกนี้มีไม่มาก แต่น่าจะเป็นรายละเอียดและขั้นตอนในการฝึกเดิมลมปราณ จะต้องเป็นสิ่งที่สําคัญมากแน่ๆ

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยมองอย่างละเอียด และจุดอย่างระมัดระวัง

ผลลัพธ์ผมเพิ่งจดไปได้หนึ่งในสาม กลับพบว่าท่าทางของยายโม่แปลกไป เธอตัวสั่นไปทั้งตัว

พอเห็นยายโม่เป็นแบบนั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เลยถามเธอว่า “ยายโม่ ยายเป็นอะไรไป 2

ตอนนี้ยายโม่กําลังตัวสั่น เหมือนกับคนเป็น เธอทําท่าทางหายใจหอบเหนื่อยออกมา

“คุณ คุณผู้ชาย ดู ดูเหมือนเจ้าสิ่งนี้จะกินพลังหยินเป็นอาหาร แถมยังกินเยอะขึ้นเรื่อยๆ ข้าน้อยเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว” ยายโม่พูดเสียงติดอ่างหน่อยๆ

พอได้ยินถึงตรงนี้ ในใจผมก็มีเสียงดัง “บิ๊ก” เจ้าเกล็ดปลานี่ร้ายกาจถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ? ถึงกับสามารถกินพลังหยินเป็นอาหารด้วย

แม้ในใจจะยังสงสัยอยู่ แต่พอเห็นยายโม่จะทนไม่ไหวแล้ว ผมก็พูดออกมาว่า “ยายโม่ ยายไปพักก่อนเถอะ ! ผมยังมีเจ้านี่อยู่ รอให้ยายพักเสร็จแล้ว ค่อยมาช่วยผมเปิดมันใหม่ก็ได้”

ยายโม่ดูอ่อนแรง หลังฟังผมพูดจบ เธอก็พยักหน้าเล็กน้อย “แบบ แบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ!”

หลังจากพูดจบ ยายโม่ทํามือหยุดพลัง ตัดพลังหยินที่ออกมา

ผลลัพธ์พลังหยินเพิ่งขาดหายไป อักษรและภาพวาดสีแดงพวกนั้น ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“ลาบากยายโม่แล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าเจ้านี้ต้องใช้พลังหยินเยอะขนาดนั้น !” ผมค่อนข้างลําบาก

แต่ยายโม่กลับคลี่ยิ้มออกมาเบาๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ รอข้าน้อยพักครู่นึง แล้วจะมาเปิดเจ้านี่ให้ใหม่นะเจ้าคะ ของที่อยู่ในนั้น ต้องเป็นวิชาที่สุดยอดมากแน่ๆเจ้าค่ะ ถ้าคุณผู้ชายฝึกสําเร็จ ต้องสร้างประโยชน์ใหญ่หลวงให้คุณแน่ๆเจ้าค่ะ !”

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกดีใจไม่น้อย

เพราะก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่า ถ้าฝึกวิชานี้สําเร็จ ฝีมือจะพัฒนาขึ้นหลายเท่า

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็จะพัฒนาเร็วขึ้น และสามารถกลายเป็นผู้ชายที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่หลงเหยียนได้เร็วกว่าเดิม

หลังจากขอบคุณยายโม่แล้ว ผมก็เริ่มเรียบเรียงอักษร และยังมีภาพเดินลมปราณที่ผมจดเอาไว้

แต่ผมก็จดมาได้แค่หนึ่งในสามเท่านั้น ยังมีอีกตั้งเยอะที่จดไม่หมด

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ยายโม่ก็ฟื้นพลังขึ้นมาเล็กน้อย

เธอบอกว่าจะเปิดเกล็ดสีม่วงทองให้ผมอีกรอบ เพื่อช่วยให้ผมได้จดทุกอย่างที่อยู่ในนั้น

ผมเองก็พยักหน้าตอบรับ เตรียมจะจดต่อ

แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น ตอนยายโม่ลงมือเปิดเจ้านี่อีกครั้ง ไม่ว่าเธอจะส่งพลังหยินเข้าไปเยอะขนาดไหน

หรือจะกระตุ้นพลังหยินยังไง เจ้าเกล็ดปลาสีม่วงทองนี่ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นของคนละชิ้น มันไม่ขยับเลยสักนิด

“เอ๊ะ ! เกิดอะไรขึ้น ทําไมเจ้านี่ไม่ตอบสนองแล้วละ ?” หลังลองดูสิบกว่าครั้ง ยายโม่ก็เริ่มพูดด้วยความสงสัย

ผมเองก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

สุดท้ายหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ผมก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ยายโม่ บางทีอาจเป็นความแปลกประหลาดของเจ้านี่ หรือไม่ก็เพราะเป็นการจํากัดเวลาในการเปิด เช่นหนึ่งวันเปิดได้แค่หนึ่งครั้ง”

ผมเดา จากนั้นก็รับเกล็ดม่วงทองมาถือ

ยายโม่พยักหน้าเบาๆ เธอเองก็คิดว่ามันอาจเป็นแบบนั้น ในเมื่อเจ้าสิ่งนี้ยังเป็นอันเดิมกับตะกี้ ดังนั้นเลยมีคําอธิบายเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ เวลาเปิดของเจ้านี่มีจํากัด

ยายโม่ให้ผมเก็บไว้ดีๆ บอกว่าวันหลังค่อยมาลองกันใหม่

ตอนนี้ดูเหมือน จะต้องเป็นแบบนั้นแหละ

แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไม่ว่ายังไงผมก็จดส่วนแรกเอาไว้แล้ว

ตอนนี้ผมต้องจัดการส่วนแรกให้ชัดเจนก่อน ดูและฝึกตามที่จดไว้ก็พอ

สําหรับส่วนหลัง เดี๋ยวค่อยพูดกันอีกที !

ต่อจากนั้น ผมก็อยู่จวนมู่หลงต่ออีกพักหนึ่ง สุดท้ายยายโม่ยังลองอีกสองครั้ง แต่เธอก็เปิดเกล็ดม่วงทองไม่ได้ดังเดิม

ผมเห็นคืนนี้คงเปิดเกล็ดปลาไม่ได้แล้ว เลยไม่คิดจะอยู่ต่อ

ผมบอกลายายโม่ หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกมาจากจวนมู่หลง เดินตรงออกไปจากป่าก่ยหม่าทันที่……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset