ศพ – ตอนที่ 441 ฉันจัดการเอง

ตอนที่ 441 ฉันจัดการเอง

ผมกับเจ้าแว่นกันแดดอยู่ที่เดียวกันเสี่ยวม่านเลยวิ่งมาทางพวกเรา

และตอนนี้ ผู้ชายที่ถือช่อดอกไม้ตรงหน้าผมก็ดูตื่นเต้นมาก

พอเห็นเสี่ยวม่านวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางดีใจเขาก็แทบจะตัวลอยอยู่แล้ว หน้านี้เปล่งประกายยิ่งกว่าอะไรดี

ตอนเสี่ยวม่านกําลังเข้ามาใกล้เขา เขากลับหยุดยืนอยู่ที่เดิม แล้วทําหน้าดีใจและมีความสุขออกมา

“เสี่ยวม่าน เธอดซิฉันซื้อช่อดอกไม้มาให้เธอด้วยนะ แล้วฉันยังขับรถเฟอร์รารี่มาด้วยนะ พวกเราไปกินข้าวขับรถกินลมชมวิวกันเถอะ”

หลังจากพูดจบเขาก็ยื่นช่อดอกไม่ให้เสียวม่าน

เจ้าหมอนเข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวม่านต้องดีใจ แล้วพยักหน้าตอบรับทันที

แต่ผลลัพธ์กลับอยู่เหนือความคาดหมาย สีหน้าที่เคยดูมีความสุขของเสียวม่าน เปลี่ยนเป็นการกดหน้าลง

เธอเผยสีหน้าเย็นชาออกมา “ไอ้ปื้อ ไสหัวไปซะยิ่งไกลยิ่งดี !”

พอเจ้าแว่นกันแดดได้ยินคําพูดนี้ ก็มีนในทันที

เสี่ยวม่านเจอฉันแล้วไม่ได้ทําหน้าดีใจเหรอ ? เมื่อเธอตอนเห็นฉันเธอไม่ได้ดูตื่นเต้นมากเหรอ ?

แต่ แต่ทําไมท่าทางถึงเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ละ

ไม่รอให้เจ้าแว่นกันแดดได้ทําอะไร อย่าว่าเสี่ยวม่านจะรับช่อดอกไม้ของเจ้าแว่นกันแดดเลย

เธอยังผลักเจ้าแว่นกันแดดให้หลีกทางจากนั้นก็วิ่งไปข้างหลังเขาทันที

เจ้าแว่นกันแดดขมวดคิ้วเล็กน้อยทําหน้าไม่เข้าใจ “เสี่ยวม่าน เสี่ยวม่านเธอจะไปไหน ?”

หลังจากพูดจบเจ้าแว่นกันแดดก็หันมา แต่ตอนที่หันไปเห็นเสี่ยวม่านอีกครั้ง เขากลับอึ้งในทันที

เพราะเขาเห็นเสียวม่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม และเผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมาอีกครั้ง

แถมอีกฝ่ายยังเป็นแค่เจ้าหน้าจืดที่ขับรถตู้มาในสายตาของเขา

แต่สิ่งที่น่าแค้นที่สุดคือ พวกเราสองคนยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กันพอเทียบกับท่าทีที่มีต่อเขาแล้ว

มันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงมันเลยทําให้เขาอดตกใจไม่ได้

“…..เป่า นายมาได้ยังไง ?” เสี่ยวม่านพูดอย่างมีความสุข เธอตะโกนชื่อที่ตัวเองตั้งให้ผมในสมัยเด็กออกมา

ผมยิ้ม “ ก็หายแล้วนี่นา ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทํา ดังนั้นเลยมาหาเธอ กะจะถามว่าตอนบ่ายเธอว่างไหม

ฉันมาจ่ายหนี้พาเธอไปดูหนังน่ะ ! ”

ผมพูดด้วยรอยยิ้ม เสี่ยวม่านกลับกัดปาก แล้วรีบพยักหน้าทันที “ว่าง ว่างซิ”

พอเจ้าแว่นกันแดดที่ยืนอยู่ห่างออกไปเห็นฉากนี้แล้วก็ตีหน้ามนหมดกว่าเดิม

“บึก” ช่อดอกไม้ในมือล่วงลงพื้น เขาอ้าปากมองตาค้าง

เมื่อกี้เขายังคุยโวต่อหน้าผม บอกว่าขอแค่ขับรถหรูแบบเขาถึงจะหาแฟนได้

แต่ตอนนี้ มันกลับกลายเป็นการตบหน้าเขาแรงๆ

เจ็บ เจ็บจนเข้ากระดูกเจ้าแว่นกันแดดมีความรู้สึกเหมือนโดนกดไว้บนพื้น แล้วจากนั้นก็ โดนคนปาถังขยะใส่อีกที

ตอนนี้ ผมกวาดตามองเจ้าแว่นกันแดด ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเย็นชา

เดิมที่เจ้าแว่นกันแดดก็โมโหจนควันออกหูอยู่แล้ว เขาชอบเสี่ยวม่านมาก เมื่อกี้ยังคุยโวต่อหน้าผม

แถมก่อนหน้านี้ก็เกือบมีเรื่องกันแล้ว

สุดท้ายละ กลับได้จุดจบแบบนี้ มันเลยทําให้เขาอารมณ์เสียมาก

ในเวลานี้ยังเห็นสายตาดูถูกของผมอีกเขาเลยโมโหเลือดขึ้นหน้าทันที

เขาถอดแว่นกันแดดออกทันทีเผยให้เห็นดวงตาเล็กที่ของตัวเองจากนั้นก็เดินเข้ามาหาผม

“เฮ้ยแกน่ะ กล้แย่งแฟนฉันเหรอฮะ ?”

พอได้ยินน้ําเสียงโมโห ผมกับเสี่ยวม่านก็หันไปมอง เราเห็นเจ้าแว่นกันแดดเดินเข้ามาด้วยท่าทาง

ไม่สบอารมณ์พอดี

เพราะตอนนี้เป็นช่วงพักเที่ยง พนักงานจํานวนมากในบริษัทฮงหยูนพัฒนา เลยกําลังออกมากินข้าว

และเห็นฉากนี้เข้าพอดี

ทุกคนต่างหยุดดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นพวกเขามองมาทางพวกเรา และเริ่มซบซิบกัน

“ว้าว รถเฟอร์รารี่”

“นี่มันรถเฟอร์รารี่ 458 รถหรูราคาหลายล้าน พระเจ้า ทํางานทั้งชีวิต ยังซื้อไม่ไหวเลย”

พนักงานชายสองคนพูดด้วยความตื่นเต้น แต่พนักงานสาวหลายคนที่อยู่ข้างๆกลับจดจ้องไปที่สถานการณ์ของพวกเรา

“พวกเธอรีบมาดูเร็ว รองผู้จัดการ กับผู้ชายสองคนงั้นเหรอ ?”

“ต้องมีเรื่องกันแน่ๆ !”

“ เมื่อกี้ฉันเห็นผู้ชายขับรถสปอร์ตคนนั้นเอาดอกไม้มาให้รองผู้จัดการ ผลลัพธ์รองผู้จัดการไม่เอา

จากนั้นก็วิ่งไปหาผู้ชายอีกคน ! ”

“ผู้ชายขับรถเฟอร์รารี่ กับผู้ชายขับรถตู้ พวกเขาคงไม่ได้เป็นศัตรูหัวใจกันหรอกนะ ?”

“เอ่อ อาจเป็นไปได้นะ….”

ระหว่างนั้น คนรอบๆหลายสิบคนก็กระซิบกันเป็นครั้งคราว

แต่พวกเราไม่สนคนพวกนี้ ผมเห็นเจ้าลูกเศรษฐีคนนี้เดินมาทางผม ทําท่าเหมือนอยากจะมีเรื่อง

ผมก็ยืดเส้นยืดสายเตรียมสั่งสอนเจ้าหมอนทันที

พอเสี่ยวม่านเห็นท่าทางแบบนั้น เธอก็หมุนตัวมายืนขวางหน้าผม แล้วทําเสียงดุใส่เจ้าแว่นกันแดด

“ฟานธง นายไม่จบใช่ไหมฮะ ?”

พอได้ยินค่าว่าฟานธง “พรึบ” ผมก็คลี่ยิ้มออกมาทันที

ที่แท้เจ้าหมอนี้ ก็มีชื่อว่าร้ายกาจ

เจ้าแว่นกันแดดเห็นผมยิ้ม เลยชี้หน้าผมทันที “ไอ้นี่ ห้ามยิ้มนะ !”

“เสี่ยวม่าน ฉันชอบเธอจริงๆนะ เธอดูเจ้าหมอนี่ซิ จนจะตายไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เธอดรถเฟอร์รารี่ของฉันนี่ต่างหากที่เหมาะกับเธอ ! มาเธอมาขึ้นรถฉันเถอะ !” เจ้าหมอนพูดต่อ

เขายังไม่หยุดอวดรถเฟอร์รารี่ของตัวเอง

เดิมที่เสี่ยวม่านยังคิดจะพูดต่อ แต่ผมกลับเข้ามาคว้ามือเธอ แล้วดึงตัวเธอไปอยู่ข้างหลัง

“เรื่องพันนี้ให้ฉันจัดการจะดีกว่า”

ผมยิ้ม เห็นได้ชัดว่ากําลังทําตัวสบายๆ

พอเสี่ยวม่านได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็เงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

ส่วนผมกลับเดินไปข้างหน้ามาถึงตรงหน้าผู้ชายที่โดนเรียกว่าฟานธง

ระยะห่างเรามีไม่ถึงครึ่งเมตรดวงตาปะทะกันตรงๆ

ดวงตาของฟานธงลุกเป็นไฟ กําหมัดแน่น ส่วนผมกลับทํามือเท้าเอว ทําหน้าเฉยชา

ระหว่างนั้น เหมือนอากาศจะน้อยลงเต็มไปด้วยกลิ่น…แทน

ส่วนพนักงานบริษัทฮงหยูนพัฒนากลับมารวมตัวกันมากกว่า 20 คนแล้ว

พนักงานหญิงคนหนึ่งเป็นสาวน้อยอารมณ์อ่อนไหว ตอนนี้เธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ “ว้าว นี่ นี่คือฉากในนิยายที่นางเอกกําลังโดนแย่งเหรอ ?”

“หนุ่มหล่อรวย สู้กับเด็กยากจนงั้นเหรอ ?

ระหว่างที่ผู้หญิงพวกนั้นนินทากัน ผมก็สบตากับเจ้าแว่นกันแดดแล้ว “ไอ้หนู ได้ยินว่าแกมาตอแยเพื่อนฉันเหรอ !”

ผมพูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ แต่เจ้าแว่นกันแดดกลับดูโมโห เขาเดินเข้ามาหนึ่งก้าว เชิดหน้าขึ้นจ้องผมอย่าง

ดุร้าย “ไปถามแม่แกซ์ เสี่ยวม่านเป็น….”

คําว่า “ของ” ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ผมก็ยกขาขึ้นอย่างรวดเร็ว เข่าโดนท้องของเจ้าหมอนั้นเต็มๆ

“อ้า” เจ้าหมอนั้นร้องออกมามันรู้สึกเจ็บท้องมาก

แต่มันยังไม่จบเท่านั้น ผมยังใช้ศอกกระแทกลงไปที่หลังของเจ้าหมอน

“ปัก” ผมไม่ได้ออกแรงเลยสักนิดเจ้าหมอนี่ก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว

“แก แกกล้าทําร้ายฉัน !” เจ้าหมอนั้นตะโกนและยังคิดจะลุกขึ้นมาอีก

ผลลัพธ์ไม่รอให้เขาได้ลุกขึ้นมาอีกครั้งก็โดนผมเตะไปอีกสองสามครั้ง

ลูกเศรษฐีพวกนี้ โดนพวกเหล้าทําลายหมดแล้ว ร่างกายเทียบไม่ได้กับคนธรรมดาด้วยซ้ํา

เลยไม่ต้องพูดถึงจะมาสู้กับผมที่อยู่ร่วมกับความเป็นตายในการไล่ล่าภูติผีเลย

เจ้าหมอนี่ไม่มีแรงโต้กลับเลยสักนิด เขาโดนเตะจนร้อง “โอ๊ย” ออกมาต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นไปไม่ได้อีกพักใหญ่

พอคนรอบๆเห็นแบบนั้น ก็อดทําตาโต และสีหน้าตกใจออกมาไม่ได้

“ว้าว ! หล่อมาก แมนมาก ฉันชอบมาก….” เด็กฝึกงานคนนึงตื่นเต้นจนกระโดดตัวลอย

“นั่นคือแฟนของรองผู้จัดการเหรอ ฉันเองก็ชอบนะ……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset