ศพ – ตอนที่ 442 กินข้าว ช้อปปิ้ง ดูหนัง

ตอนที่ 442 กินข้าว ช้อปปิ้ง ดูหนัง

สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อกี้ลูกเศษรฐยังทําท่าทางจองหอง แต่ตอนนี้กลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์

เรื่องนี้ทําให้ใครหลายๆคนแปลกใจ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะมาถึงขั้นนี้ได้

ในเวลาเดียวกัน สาวน้อยไม่กี่คนที่โดนตัวละครประธานใจดําในนิยายล้างสมองทุกวันก็ดูตื่นเต้นมาก

แต่เสี่ยวม่านกลับเข้ามาห้ามผมเอาไว้ “พอแล้ว…เป่า เล็กอัดเขาได้แล้ว”

พอเห็นเสี่ยวม่านเข้ามาห้าม ผมก็หยุดลงมือลงไม้ “ ไอ้หน้าอ่อน ต่อไปอย่ามาตอแยเสียวม่านอีก

ถ้าฉันเจอแกฉันอัดแกแน่ ”

“ไม่ ไม่กล้าแล้วไม่กล้าแล้ว” เจ้าหมอนโดนอัดจนกลัวหัวหด ไม่กล้าจองหองเหมือนตอนแรกอีก

หลังมองเจ้าแว่นกันแดดแวบหนึ่งแล้ว ผมก็บอกให้เสี่ยวม่านขึ้นรถ

ต่อจากนั้นผมก็ขับรถตู้ พาเสียวม่านออกไปจากที่นี่

ทิ้งไว้เพียงลูกเศษรฐที่ตัวเต็มไปด้วยบาดแผล โดนอัดจนหน้าเขียวหน้าช และพนักงานบริษัทฮงหยูนพัฒนาอีก 20 กว่าชีวิตที่ยืนตะลึงอยู่ที่เดิม

พอขึ้นรถแล้ว ผมก็ขับไปพูดกับเสี่ยวม่านไป “คนพันนี้ควรโดนสั่งสอนแบบนี้แหละรับรองมันไม่กล้ามากวนใจเธออีกแน่”

4.เป่า นายนี่เป็นคนหัวรุนแรงมากเลยนะ !” เสี่ยวม่านทําตาขวาง

“ฮ่าๆๆ พอได้อยู่ ! แต่เราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เที่ยงนี้จะกินอะไร ? ฉันเลี้ยงเอง” ผมพูดด้วยรอย

แต่ไม่รอเสี่ยวม่านได้พูดออกมา ผมก็เสริมอีกรอบ “เอ่อ เอ่อคือกินแพงไปไม่ได้นะ ! เพิ่งซื้อรถมาฉันไม่มีเงิน”

ผมพูดความจริง อยู่ต่อหน้าเสี่ยวม่านผมก็เหมือนได้กลับไปอยู่ในช่วงวัยเด็กที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง

ไม่รู้สึกเขินเลยสักนิด

เสี่ยวม่านกลับกลอกตา พอเห็นผมกําลังยิ้ม เลยทําปากมุ่ยขึ้นมา “ตกลง ! เที่ยงนี้พวกเราไปกินบุฟเฟต์กันเถอะ ! ฉันรู้จักร้านดีๆอยู่ร้านหนึ่ง ราคา 88 หยวน มีของให้เลือกเยอะและมีสเต็กเนื้อด้วยแผนกฉันไปกินมื้อเย็นที่นี่กันบ่อยๆไปกินที่นั่นก็แล้วกันทั้งถูกและคุ้ม”

ราคา 88 หยวน ทําให้ผมเริ่มอยากอาหารขึ้นมา เลยบอกให้เสี่ยวม่านนําทางทันที

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงร้านบุฟเฟต์ที่เสี่ยวม่านบอก

คนที่มากินอาหารที่นี่เยอะมาก ผมสองคนเลือกนั่งโต๊ะสําหรับสองคนจากนั้นก็เริ่มออกไปหยิบอาหารกัน

แต่หลังหยิบอาหารเสร็จ ผมกลับต้องตะลึงกับภาพตรงหน้า

เสี่ยวม่านหยิบอะไรมากินละ สลัดผลไม้ สลัดผัก เค้กชิ้นเล็กๆ หรือไม่ก็ติ่มซําไม่มีเนื้อเลยสักนิด

มองย้อนกลับมาที่ผม ทั้งเนื้อทั้งปลาจานใหญ่ ไม่มีผักเลยสักนิด ในมือถือถาดใบใหญ่

เสี่ยวม่านเห็นที่ผมหยิบมา เลยตะลึงเช่นกัน “เป่า เอามาเยอะขนาดนี้นายกินหมดเหรอ ?”

“กินไม่หมดก็ต้องหมด ราคา 88 หยวนยังไงก็ต้องกินให้ถึงต้นทุน เธอดูตัวเองซิเถ้าแก่ชอบลูกค้าแบบเธอนี่แหละกินแต่มังสวิรัติ”ผมส่ายหัว

เสี่ยวม่านกลับเบะปาก “ฉันก่าลังลดน้ําหนักย่ะ”

ผมเหลือบมองเสี่ยวม่านแวบหนึ่ง รู้สึกว่าหน้าอกของยัยนี่อวบออกมาให้เห็นแค่นิดเดียวเท่านั้น ตัวก็ดูไม่เหมือนจะมีไขมันเลยสักนิด “สภาพอย่างเธอยังต้องลดอีกเหรอ ? ล้มเลิกเถอะถ้าลดไปมากกว่านี้คงได้เหลือแต่กระดูกแล้ว มาๆกินกุ้งหน่อย !”

ขณะพูด ผมก็คีบกุ้งสองสามตัวให้เสียวม่าน

เสียวม่านอ้าปาก เดิมที่คิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็กลืนมันลงไปไม่ได้ปฏิเสธผม

ตอนเที่ยงผมกินอิ่มเป็นพิเศษ รู้สึกว่าไม่กินไปจนถึงเที่ยงวันพรุ่งนี้ก็ยังได้

ส่วนเสี่ยวม่าน หลังกินน้อยแค่นั้นแล้วเธอก็ไม่กินอะไรอีก เพียงนั่งมองผมกินเท่านั้น

หลังออกจากร้านบุฟเฟต์แล้ว ผมก็ถามเสี่ยวม่านว่าอยากดูหนังอะไร

เสี่ยวม่านบอกว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ ให้ผมไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนเธอ

สําหรับเรื่องช้อปปิ้ง ที่จริงผมไม่อยากไปเท่าไหร่

แต่เห็นแก่ที่ก่อนหน้านี้เสียวม่านดูแลพวกเราสามวันสามคืนติด จนขอบตาเป็นหมีแพนด้ากันเลยก็ว่าได้

ผมเลยไม่ปฏิเสธเธอ

บอกว่าได้ ! ดังนั้นช่วงบ่าย ผมเลยไปเดินห้างกับเสียวม่าน
เสี่ยวม่านใส่ร้องเท้าที่มีส้น เดินทั้งบ่ายก็ยังไม่มีปัญหา แต่ผมกลับเดินจนขาลาก รู้สึกว่าช้อปปิ้งลําบากยิ่งกว่าตอนไล่ล่าภูติผีซะอีก

เสียวม่านซื้อเสื้อผ้าสวยๆหลายชดๆ แต่ราคาของพวกมันแพงเว่อร์
ไม่ใช่แค่นั้นเสี่ยวม่านยังคิดจะซื้อให้ผมด้วย

ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่ง จะไปรู้สึกดีได้ยังไง ผมเลยปฏิเสธเธอบอกว่าไม่อยากได้

เราเดินกันมาตลอดทั้งบ่าย พอมาถึงช่วงห้าโมงกว่าเราก็เดินออกจากห้าง

ที่นี่ก็มีร้านอาหารไม่น้อย แต่เป็นเพราะตอนเที่ยงกินเยอะเกินไป ผมเลยไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด

แต่ต้องดูแลเสียวม่าน เลยถามเธอว่าอยากกินอะไรไหม พอกินแล้วเราจะได้ไปดูหนังต่อ

เสี่ยวม่านไม่ได้รู้จี้ เธอเลือกกินก๋วยเตี๋ยวต้มย่าข้างทาง ถือว่าจัดการปัญหาเรื่องท้องเสร็จแล้ว

ตอนนี้ช้อปปิ้งแล้ว ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเราเลยไปที่โรงหนัง

ผมกวาดสายตามองรายการหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีหนังสยองขวัญ หนังสืบสวน การ์ตูนหนังรักสามเรื่องและหนังแนววิทยาศาสตร์อีกหนึ่งเรื่อง ถือว่ามีหนังให้เลือกเยอะมาก

ผมดูหนังอะไรก็ได้ ประเด็นอยู่ที่เสี่ยวม่านจะดูอะไร

แต่ในสายตาของผม เสี่ยวม่านน่าจะเลือกหนังรัก ผู้หญิงย่อมชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

แต่ผลลัพธ์ เสี่ยวม่านกลับบอกว่าจะดูหนังสยองขวัญ

ตอนนั้นผมอึ้งไปพักหนึ่ง “เสี่ยวม่าน เธอแน่ใจนะ ? นี่มันหนังผีนะ เธอจะดูจริงๆเหรอ ?”

“อ๋อ ฉันจะดู” เสี่ยวม่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น

พอเห็นเสี่ยวม่านเป็นแบบนั้น ผมก็ซื้อตั๋วที่นั่งตรงกลางโรงสองใบ

หนังสยองขวัญเป็นเรื่องที่มีคนชอบน้อย พอเราเข้ามาในโรงหนัง ก็ไม่มีใครนั่งอยู่เลยสักคน

จนกระทั่งหนังเริ่มฉาย ที่นั่งด้านหลัง ถึงได้มีคนเพิ่มมาไม่ถึง 10 คน

ผมเป็นคนปราบภูติผี สําหรับพวกเทพ ผี ปีศาจอะไรที่อยู่ในหนังพวกนั้น !ต่างก็คุ้นเคยดีอยู่

แล้ว

ประสบการณ์ที่ผมเจอมาจากข้างนอก หรือเวลาเผชิญหน้ากับผีร้าย ผมยังรู้สึกว่ามันน่ากลัวและเสี่ยงอันตรายกว่าในหนังเยอะ

ดังนั้นผมเลยไม่มีความกลัวอยู่เลยสักนิด แต่ผลลัพธ์พอหนังเริ่มฉายแล้วผมกลับต้องเสียใจ

แม่งเอ้ยผมไม่แค่ดูไปตกใจไป มันยังทําให้คนปราบผีอย่างผมต้องกลัวตลอดทั้งเรื่อง

ถึงจะรู้ว่านี่คือหนัง ไม่ใช่ของจริง และไม่ได้น่ากลัวเหมือนตอนเผชิญหน้ากับภูติผีพวกนั้น

แต่หลังจากโดนหนังดึงเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผมกลับรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์

แม้แต่คนที่ทําอาชีพแบบผม ก็ยังดูจนขนลุกขนพอง

ส่วนเสี่ยวม่านที่อยู่ข้างๆผม ไม่ต้องพูดถึงเลยรายนั้น

ดๆไปแล้วก็มีอาการเหมือนผู้หญิงคนอื่น “อร้าย” กดตลอดทั้งเรื่อง หลังจากนั้นก็จับมือผมเอาไว้แน่น

ทั้งกลัวทั้งอยากดู…..

พอดูหนังจบแล้ว ผมกับเสี่ยวม่านมีความรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว

แต่ผมเห็นตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว เลยบอกว่าจะไปส่งเสี่ยวม่านกลับบ้าน

ผลลัพธ์เสี่ยวม่านกลับพูดกับผมว่า “ดูหนังเรื่องนั้นแล้วฉันกลัวมาก ตอนนี้ก็ไม่ได้อีกมาก ! ปกติฉันนอนตั้งเที่ยงคืน เอาแบบนี้ก็แล้วกันพวกเราไปดื่มกันย้อมใจ ดื่มด่บรรยากาศความสุขกันหน่อย ไม่อย่างงั้นคืนนี้ฉันอยู่คนเดียวต้องนอนไม่หลับแน่ !”

ตอนพูดเสี่ยวม่าน เผยสีหน้าน่าสงสารออกมา

พอได้ยินเสี่ยวม่านพูดแบบนั้น ผมก็คิดว่าเธอเองก็พูดถูก

ตอนดูหนังสยองขวัญ เสียวม่านตกใจจนกรด “อยๆ” ออกมาตลอด ตอนนี้เธอก็อยู่คนเดียว

กลับตอนนี้ ต้องนอนไม่หลับแน่ๆ

ไปย้อมใจที่บาร์ เปลี่ยนอารมณ์ก่อนก็ดี

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็พยักหน้าตกลง

เสี่ยวม่านเห็นผมตอบตกลง เลยดีใจมาก รีบพาผมไปที่บาร์ตรงถนนเส้นข้างๆทันที !

บาร์ใหญ่มาก คนที่ร้องเพลงออกสเต็ปแดนซ์อยู่ที่นี่เยอะมาก

เพิ่งเข้ามาในร้าน เราก็โดนคลื่นเสียงต่างๆโจมตีทันที ชายหญิงนับไม่ถ้วนพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง

สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นออกมา

คนที่เคยชินกับบ้านผีสิงอย่างผม จู่ๆก็ได้เข้ามาอยู่ในโลกที่อบอุ่นแบบนี้ทําให้รู้สึกปรับตัวไม่ทันพอสมควร

เสี่ยวม่านพาผมมานั่งที่ด้านหน้า แล้วสั่งไวน์สองแก้วและผลไม้อีกหนึ่งจาน

เดิมที่มันก็ไม่มีอะไร เหมือนชีวิตธรรมดาของมุนษย์กลางคืนทั่วไป ในแต่ละวันจะมีการแสดงที่จัดขึ้นตามเมืองต่างๆ

แต่ที่ทําให้ผมคาดไม่ถึงคือในเมืองที่มืดมิดแบบนี้และยังเป็นบาร์ในคืนนี้ ยังมีการแสดงที่แหวกแนวอยู่ด้วย“เกมจับวิญญาณ”…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset