ศพ – ตอนที่ 443 เสียงฉากรัก

ตอนที่ 443 เสียงฉากรัก

โต๊ะเล็กมาก วางได้แค่ไวน์สองแก้วและผลไม้อีกหนึ่งจานเท่านั้น

ผมกับเสี่ยวม่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ยกสูงทั้งคู่ การจะคุยกันในที่นี่ เราต้องตะโกนใส่กัน

เพราะบรรยายกาศของที่นี่คึกคักมาก ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็ลืมเรื่องหนังไปจนเกือบหมดแล้ว

แต่ทันใดนั้นเอง ผมกลับรู้สึกปวดท้องขึ้นมา เลยตะโกนบอกเสี่ยวม่านว่า “ เสี่ยวม่าน ฉันปวดท้อง

จะไปเข้าห้องน้ําหน่อยนะ

เสียงในนี้ดังมาก เสี่ยวม่านไม่ได้ยิน ผมเลยต้องพูดกับเธออีกรอบ

คราวนี้เสี่ยวม่านเข้าใจแล้ว เธอเลยพยักหน้าให้ผม “อ่อ ! ห้องน้ําอยู่ทางนั้น !”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านยังชี้ไปทางด้านหนึ่ง

พอเห็นแบบนั้น ผมก็พยักหน้าให้เสี่ยวม่าน จากนั้นก็เบียดตัวเข้าไปในฝูงชน เพื่อไปยังห้องน้ํา

ห้องน้ําอยู่ข้างหลังเวที ที่นี่เสียงเบากว่าข้างนอกมาก

เพิ่งเข้ามาตรงนี้ ผมก็เห็นตรงหน้ามีวัยรุ่นทําผมสไตล์ร็อคอยู่สองสามคน

ชายหญิงสองคู่ นอกจากสองคนนี้จะทําผมหลากสีแล้ว ยังใส่ห่วงที่จมูกของตัวเอง ผู้หญิง แต่งตาแบบสโมคกี้ ทาปากตัวเองให้เป็นสีม่วง

ไม่ใช่แค่นั้น ในเวลานี้ผู้ชายทั้งสองคนยังกดผู้หญิงสองคนนั้นไว้กับผนัง และเริ่มบทรักอย่างเร้าร้อน

พอเห็นผมเข้ามา ทั้งสี่คนก็หยุดทํา ผู้ชายสองคนนั้นเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ หันมาจ้องผม อารมณ์ประมาณว่าผมไปทําลายบรรยากาศดีๆของพวกเขา

ผมเองก็ไม่ได้สนใจ ผมรีบเบียดตัวเข้าไปด้านข้าง ไม่อยากรบกวนบทรักอันเร้าร้อนของพวกเขา

เมื่อมาถึงห้องนี้ ผมก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว แบบฟินสุดๆไปเลย

แต่ผมเพิ่งนั่งได้ไม่นาน ห้องขนาบข้างของผมก็มีคนเข้ามา

เดิมที่มันก็ไม่มีอะไร แต่ผ่านไปไม่นาน ผมก็ยินเสียงลมหายใจของผู้หญิง และยังมีเสียงแปลกๆตามมาด้วย

ต้องรู้ว่าที่นี่คือห้องน้ําชาย แล้วจะมีเสียงหอบหายใจของผู้หญิงได้ยังไง ?

ผมเพิ่งสงสัย ผมก็ได้เสียง “ปับๆ” ดังขึ้น และยังมีเสียง “อ่าอือ” ตามมา

ทันใดนั้น ผมก็เข้าใจทันที

นี่คือเสียงฉากรักอันเร้าร้อนของห้องน้ําห้องข้างๆ นี่ยังไม่นับว่าเป็นอะไรมาก สิ่งที่สําคัญก็คือ

ผมอยู่ตรงกลางของทั้งสองห้องนั้น

ห้องทางซ้ายเพิ่งมีเสียงดังขึ้น ห้องทางขวาก็มีเสียง “ปับๆๆ” ดังตามมาติดๆ

และฉากรักของทั้งสองคู่นี้ก็ไม่รู้ว่ามาเกิดขึ้นพร้อมกันได้ยังไง ทําเอาเสียงดังลั่นห้องเลยทีเดียว

แม่เจ้า พวกนี้ต้องเป็นคู่รักหน้าร็อคที่ทางเดินเมื่อกี้แน่ๆ

ผู้หญิงทั้งสองห้องก็ดูจะไม่สนอะไรเลยสักนิด พวกเธอร้อง “อืออออ่าอ่า” ดังเป็นพิเศษ แล้วสภาพแบบนี้จะทําให้คนอื่นนั่งอีต่อได้ยังไง

ผมนั่งบนชักโครก กลอกตาครั้งหนึ่ง แล้วคิดว่าจะออกไป

ผลลัพธ์ในวินาทีที่ผมลุกขึ้นและกําลังจะเดินออกไปข้างนอก ทันใดนั้นผมกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป

ต่อจากนั้น สายลมที่เยือกเย็นยิ่งกว่าอะไรดีก็พัดเข้ามาจากทุกสารทิศ

เมื่อความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้น ผมก็ตัวสั่นตามสัญชาตญาณ

ดูเหมือนอุณหภูมิรอบๆ จะลดลงประมาณ 7-8 องศา

ไม่เพียงแค่นั้น ในระหว่างนั้น ภายในห้องน้ํา ยังมีลมอันเยือกเย็นอีกระลอกหนึ่งปรากฏขึ้น

ผมเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย พอเจอความรู้สึกแบบนี้และสัมผัสนี้เพิ่งเกิดขึ้น ในใจผมก็มีเสียงดัง “ถูก” ขึ้นมาทันที ต่อจากนั้นก็เผยท่าทางเคร่งขรึมออกมาเล็กน้อย

นี่คือ นี่คือพลังหยิน และเป็นพลังหยินที่ทรงพลังมาก

ผมค่อยๆขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยดี

พลังหยินที่ทรงพลังแบบนี้ ปรากฎขึ้นในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่นขนาดนี้ มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่

ผีเร่ร่อนทั่วไป มีพลังหยินที่ทรงพลังขนาดนี้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากล้าปรากฏตัวในสถานที่ที่มีคนเยอะแบบนี้เลย

เพราะคนเยอะ พลังหยางก็ยิ่งเข้มข้น

พลังหยางเข้มข้นขนาดนี้ สามารถทําให้ผีเร่ร่อนพวกนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในกองไฟ ทําให้พวกนั้นทรมานมาก

แต่ทําไม ที่นี่ถึงมีพลังหยินปรากฏขึ้นได้ และยังทรงพลังขนาดนี้ด้วย

สัญชาตญาณคนปราบสิ่งชั่วร้าย บอกผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป

ภายในบาร์แห่งนี้ อาจซ่อนวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจมากเอาไว้ หรือแม้แต่มันอาจทนพลังหยางที่เข้มข้นถึงขนาดนี้ได้ และคอยทําเรื่องชั่วช้าอยู่แถวนี้

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็ตัดสินใจทันที

ใช่ อาจเป็นแบบนั้น

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นก็เก็บวิญญาณร้ายแบบนี้ไว้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต้องมีคนตายอีกแน่ ถึงจะไม่ใช่วิญญาณร้าย ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย ผมปล่อยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้

ผมไม่ลังเลเลยสักนิด หยิบขวดน้ําตาวัวที่พกติดตัวออกมา แล้วป้ายไปที่เปลือกตาอย่างรวดเร็ว

ความรู้สึกเย็นๆปรากฏขึ้น หลังลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตาสวรรค์ก็เปิดขึ้นแล้ว

ตาสวรรค์เพิ่งเริ่มเปิดออก ผมก็เห็นพลังหยินที่กระจายอยู่ในห้องน้ํา

มันเข้มข้นมาก ต่างกลายเป็นหมอกขาว

พลังหยินที่เข้มขันขนาดนี้ จะเป็นผีอะไรกันแน่ ขณะที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ผมก็เปิดประตูห้องน้ําออก อยากจะหาที่มาของพลังหยินพวกนั้น

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงแปลกๆของใครบางคน ก็ดังขึ้นมาจากข้างนอกห้องน้ํา “เต้าเทียนหยู่ ฉู ตงอี ลู่เจียฮุย โฉวเจียซุ่น……ถึงเวลาแล้ว……”

จู่ๆเสียงแปลกๆนั่นก็ดังขึ้น และเพิ่งเริ่มดังขึ้น เสียง “ปับๆๆ” “อือๆๆ” ในห้องน้ําข้างๆ ก็เงียบลงทันที

หรือแม้แต่มีเสียง “บึกๆ” ของการล่มดังขึ้น ไม่ใช่แค่นั้น ในขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น

ผมก็สัมผัสได้ว่ามีพลังวิญญาณเอ่อล้นออกมา ต่อจากนั้นวิญญาณสองดวง ก็เดินออกมาจากในห้องน้ํา

วิญญาณสองดวงนี้เพิ่งปรากฏขึ้น ผมก็จําพวกเขาได้ทันที

พวกเขาก็คือคู่รักที่บรรเลงฉากรักสุดเร้าร้อน ไม่ใช่แค่นั้น วิญญาณคู่รักหน้าร็อคสองตนนี้เพิ่งปรากฏตัว ด้านหลังของพวกเขาก็มีวิญญาณอีกสองดวงตามออกมาติดๆ

ร่างกายของพวกเขาทะลุประตูห้องน้ําออกมาดื้อๆ สีหน้าหมองคล่า ค่อยๆเดินออกไปทีละก้าวๆ

ภายใตดวงตาสวรรค์ ผมเห็นพวกเขาเต็มสองตา

ตอนนี้ ผมรู้สึกเย็นหลังขึ้นมาทันที

นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน คู่รักสองคู่นี้ไม่ได้กําลังบรรเลงฉากรักกันอยู่ดีๆเหรอ ? เมื่อกี้ยังดูสนุกกันถึงขนาดนั้น แต่ทําไมตอนนี้ถึงลอยออกมาเป็นวิญญาณละ แถมสีหน้ายังหมองคล้ําอีก

ผมเริ่มกลัวหน่อยๆ สิ่งที่คิดได้ในตอนแรกสุดคือ มีคนจับวิญญาณออกจากร่าง และพลังหยินพวกนั้นก็ออกมาจากคนจับวิญญาณ

คู่รักสี่คนตรงหน้า กลายเป็นเป้าหมายของคนจับวิญญาณคนนั้น ดังนั้นวิญญาณเลยออกจากร่างในเวลานี้

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็อยากเข้าไปขวางแล้วปลุกพวกเขาให้ได้สติ ทําให้พวกเขากลับเข้าร่างของตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจตายได้

ดังนั้นผมเลยเอื้อมมือออกไปจับตัววัยรุ่นคนหนึ่ง แล้วตบเขาทีนึง “ไอ้หนู ไอ้หนูตื่นเร็ว !”

แต่ไม่ว่าผมจะตบเขายังไง เจ้าหนูนี่ก็ไม่ตอบสนองเลยสักนิด เขาเป็นเหมือนศพเดินได้ เหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ผมเห็นไม่มีประโยชน์ เลยหันไปตีวิญญาณตนอื่นบ้าง หวังว่าพวกเขาจะโดนตีแล้วได้สติขึ้นมา

แต่ผลลัพธ์กลับทําให้ผิดหวัง ผมล้มเหลวไม่เหลือชิ้นดี ทุกตนเหมือนกับวิญญาณตนแรก

ผมไม่มีเครื่องมือติดตัว จึงหยุดพวกเขาไม่ได้ ได้แต่มองพวกเขาค่อยๆเดินออกไปจากห้องน้ํา

ผมเริ่มกระวนกระวายแล้ว และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าผม ผมเลยจะปล่อยผ่านไปทั้งๆแบบนี้ไม่ได้

ในเวลาเดียวกันผมก็อยากรู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนจับวิญญาณ ต้องจัดการคนจับวิญญาณเท่านั้น

ถึงจะช่วยชีวิตทั้งสี่คนนี้ได้

ผมดึงหน้าลง จากนั้นก็เดินตามพวกเขาไปทันที

เพิ่งออกมาจากห้องน้ํา ผมก็เห็นวิญญาณทั้งสี่ตนเดินไปที่ประตูหลัง

ผมรีบตามไปทันที แต่ร่างของวิญญาณทั้งสี เพิ่งสัมผัสกับประตู พวกเขาก็ทะลุผ่านไปทันที

ผมทําไม่ได้ เมื่อมาถึงหน้าประตูผมก็เอื้อมมือออกไปถึงประตู กําลังจะเดินตามเข้าไป

แต่เพิ่งเข้าไป พอเห็นภาพที่อยู่ด้านหลังประตูเท่านั้น ตัวผมก็เหมือนโดนไฟฟ้าช็อต ยืนนิ่งอยู่กับที่

แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ในสมองมีเสียงระเบิดดัง “ตูม” เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ วินาทีนั้นผมก้าวต่อไปข้างหน้าได้ยากมาก

ไม่ใช่แค่นั้น ในวินาทีนั้นในใจของผมยังมีคลื่นพายเกิดขึ้น

“พรึบ” สีหน้าผมเปลี่ยนไปอย่างแรง ดวงตาเบิกกว้าง ขนลุกอย่างกับหนังไก่ รู้สึกหวาดกลัวไปทั้งตัว

แม้แต่หลัง ก็ยังมีเหงื่อเย็นๆไหลออกมา

มันเป็นความกลัวและความตกใจที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ว่ายังไงผมก็คิดไม่ถึง ว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องที่น่ากลัวถึงขนาดนี้

ฉากนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป และฉากนี้ ก็ไม่มีคนเป็นคนไหนได้มาเห็น……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset